Masukเอกอีเอ้กเอ้ก~~~
เสียงไก่ขันกับเสียงขับขานของนกร้องตอนเช้าตรู่เป็นเสียงเตือนให้เหล่าบ่าวไพร่ลุกขึ้นจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่เว้นแม้แต่ซูซินสาวใช้คนสนิท
“คุณหนู...ท่านได้นอนหรือยังเจ้าคะ”
ซูซินตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสาง แต่ในห้องยังจุดเทียนเอาไว้ทำให้นางเดินมาดู พบว่าคุณหนูยังคร่ำเคร่งในการอ่านหนังสือพวกนั้นที่นางก็ไม่รู้ว่าหนังสืออะไร เพราะนางอ่านหนังสือไม่ออก
“อีกนิดเดียว...จะจบเล่มนี้แล้ว”
น่าจะอีกนิดเดียวมาตั้งแต่ก่อนไก่ขันด้วยซ้ำ จนตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างนางก็ยังวางไม่ลงไม่พอ ยังกัดฟันแน่นพลางอ่านไปเรื่อยเหมือนนิยายที่ดูไม่ได้มีพล็อตอะไรแต่นางกลับติดหนึบ
ปั๊ดโธ่...นางก็เขียนได้แบบนี้ เขียนให้แซ่บกว่านี้ด้วยซ้ำ
เมื่ออ่านไปสักพักนางเริ่มจับจุดได้ เพราะตัวเองอยู่โลกก่อนยังจะสร้างตัวละครและเรื่องราวได้ซับซ้อน ดังนั้นกับอีแค่เขียนแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้
“พักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงกังวลของสาวใช้ช่างขัดใจนางนักมันค้างคานี่นา ใคร ๆ ก็อยากอ่านให้จบทั้งนั้น
แต่เมื่อฉุกคิดบางอย่างได้นางจึงถามสาวใช้
“ห้องท่านแม่เจ้าเคยบอกข้าเอาไว้ว่ามีเครื่องเขียนใช่หรือไม่ เจ้าเอาซ่อนไว้ให้ข้าเพื่อคัดตำรา”
“เจ้าค่ะ กระดาษมีราคาแพงมาก ข้าเกรงว่าหากเอาไปขาย นอกจากถูกกดราคาแล้วตอนไปซื้อยังโดนเอาเปรียบ”
ซูซินมีไหวพริบดีมาก ช่วงก่อนหน้านางแทบจะงัดฝาบ้านออกขายด้วยซ้ำ เพราะเข้าตาจนจริง ๆ จนเกือบไม่ได้ทันคิดเรื่องนี้ ดีที่ท่านแม่เป็นคนอ่อนโยนและชอบคัดตำรา ทำให้นางติดเขียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นน่าจะมีกระดาษอยู่พอสมควร
“คุณหนูจะเขียนหนังสือหรือเจ้าคะ”
“อื้อ...ข้าจะเขียนหนังสือขาย!”
อาชีพใหม่ใกล้ฉัน!!!
เมื่อคุณชายเฉินชี้ช่องรวยขนาดนี้ นางหรือจะอยู่เฉย หรือบางทีเขาอาจจะอยากให้นางมีเงินมาใช้หนี้เขาเยอะ ๆ ก็เป็นได้
แต่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเพิ่งกลับจากทำธุระด้านนอกเกือบรุ่งสางแล้ว แต่เมื่อเดินจะเข้าห้องนอนพักผ่อนสักครู่พลันจามออกมาเสียงดัง
ฮะ...ฮัดชิ้ว!
“ท่าน...เอ่อ...นายท่านไม่สบายหรือไม่” หลี่เฟิงเอ่ยถามผู้เป็นนาย แต่ทว่าเฉินโยว่เหวยยกมือขึ้นขยี้จมูกก่อนจะโบกมือไปมา
“ไม่เป็นไรเจ้าไปพักเถอะ ตอนบ่ายค่อยมาหาข้า”
ตอนแรกก็แปลกใจ คนที่เจ็บป่วยไม่เป็นแบบเขาน่ะหรือจะไม่สบาย ตั้งเล็กจนโตเขาไม่เคยแม้จะปวดหัวด้วยซ้ำ
แต่ความแปลกใจของเขารู้สึกจะตามมาด้วยคิ้วที่กระตุกหงึก ๆ ชอบกลคล้ายกับจะเกิดเรื่อง...
จนกระทั่งวันที่สามเหมือนกับว่าเป็นวันนัดที่เขาและลูกหนี้ตัวน้อยมาถึง แต่ขณะที่เขารับประทานอาหารเช้าอยู่นั้นหลงจู้โรงรับแลกเงินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ทำให้คิ้วของเขาขมวดแน่น
“คุณชายขอรับ...คุณหนูนำเงินห้าร้อยตำลึงมาคืนแล้วขอรับ”
ตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อผัดน้ำมันงากำลังจะคีบเข้าปากพลันชะงักค้างทันที ดวงตาคมหรี่มองไปยังหลงจู้ของตนเองพลันนึกไม่ออกว่านางเอาเงินจากที่ใดห้าร้อยตำลึงมาคืนได้เร็วถึงเพียงนี้
“นางอยู่ที่ใด”
เขาวางถ้วยข้าวและตะเกียบ จากนั้นถามด้วยความร้อนใจเป็นครั้งแรก ราวกับว่าเงินนี้ไม่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์สักเท่าไหร่นัก
“คุณหนูกำลังนั่งกินขนมไหว้พระจันทร์อยู่ในห้องรับรองขอรับ”
นางมาพบเขาทีไรก็ต้องกินขนมไหว้พระจันทร์สินะ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา แต่เมื่อคิดว่าลูกหนี้กำลังเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ เรียวปากขยับกดลงพร้อมกับสีหน้าเบิกบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ร่างใหญ่สูดหายใจก่อนลุกขึ้นแล้วเดินตามไปยังห้องรับรอง จากนั้นเมื่อถึงห้องรับรองได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของนางกับบ่าวตัวน้อย
“นี่กินเยอะ ๆ ซูหมิงไม่ได้หากินง่าย ๆ นะอร่อยแบบนี้ เราใช้หนี้หมดจากนี้พวกเราจะได้กินอิ่มท้องทุกวัน”
“อื้อ...ข้าจะกินให้หมด...ไม่ต้องห่วงพี่อวี้”
เจ้าเด็กน้อยรู้สึกว่าโชคร้ายหมดไปแล้วพอ ๆ กับนายสาวที่นั่งหลังขดหลังแข็งเพียงวันเดียวก็ได้เงินมากมายขนาดนั้น พลันคิดว่านางจะแต่งเรื่องอะไรไปขายดี
เฉินโยว่เหวยมองนางกับเจ้าเด็กน้อยนั้นพลันส่ายหน้า จากนั้นเห็นว่านางใส่ชุดใหม่ที่ไม่เหมือนกับชุดครั้งก่อนทำให้นางยิ่งงดงามขึ้นอีกเท่า จึงกระซิบข้างหูหลงจู้ให้รีบไปสืบมาว่าเงินนี้มาจากไหน และหากมีคนให้จับตัวคนผู้นั้นมาให้เขา
ไม่รู้ทำไมถึงอยากรู้ว่าผู้ใดถึงกล้ายื่นมือช่วยนาง แต่หากเขารู้ย่อมจะให้คนผู้นั้นไม่มีขาเดินเล่นได้อีก
จู่ ๆ ก็ไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าใกล้นางเสียอย่างนั้น
เฉินโยว่เหวยเดินเข้าไปด้านใน เห็นนางยิ้มจนถึงดวงตาแล้วชะงักค้างเล็กน้อยก่อนจะรีบดึงหน้าให้เรียบเฉย ดังเดิมแล้วตรงไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง แต่คนที่เคี้ยวขนมจนแก้มป่องตกใจรีบกลืนขนมแทบติดคอตาย จนไอแคก ๆ
“ใครให้เจ้ารีบกิน”
นอกจากจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้ว เขายังต้องรินชาให้นางทั้งยังต้องยกให้ถึงปากเพราะเจ้าตัวนั้นมัวแต่ทุบหน้าอกจนเนื้อกระดอนขึ้นลงจนเขามองแล้วต้องกลั้นใจกับความนุ่มฟูของมัน
จางม่านอวี้ไม่นึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องอับอายต่อหน้าเขาอีกแล้ว ช่างเป็นตัวประกอบที่ไม่รู้จักรักษาหน้าตัวเองเลย ดีที่เขาไม่ถือสารินน้ำชาให้ดื่มนางจึงรอดชีวิตมาจากขนมติดคอตายอย่างอนาถ
เกือบไม่มีชีวิตรอดแล้ว!
นางยิ้มประจบเขา ก่อนจะยกถุงเงินที่นางเก็บอย่างดียื่นให้เขาพร้อมกับหนังสือสัญญาเป็นหนี้ “ข้าหาเงินมาคืนท่านได้แล้ว ต่อจากนี้ไปเราไม่จำเป็นต้องพบหน้ากันอีก”
คำว่าไม่จำเป็นต้องพบหน้ากันอีก ทำให้ไอเย็นแผ่ออกจากรอบกายคุณชายเฉินจนคนที่นั่งใกล้อย่างจางม่านอวี้ต้องขนลุก
“เจ้าจะไม่อยู่เมืองนี้แล้ว?”
นางรีบเบิกตากว้างพลางโบกมือพัลวันทันที “ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าคะ...ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าหากไม่ได้เป็นหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพบกันอีก”
แต่อีกคนพลันคิดว่านางรังเกียจแม้แต่พบหน้าเขางั้นหรือ นางกล้าหลบหน้าเขาที่คนทั้งเมืองอยากเข้าหานี่นะ
จางม่านอวี้ยิ้มให้เขาพลางพยักหน้าให้ดูว่าควรนับเงินให้ครบโดยไว พวกเราจะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีกแต่นางกลับรู้สึกเหมือนคิ้วขวากระตุกแทบหลุด
“อ๊า!”
นางยกมือจับที่คิ้วพลันร้องออกมาคล้ายกับว่าครั้งนี้ซวยหนักแน่ จนกระทั่งเสียงเอะอะโวยวายด้านนอกพร้อมกับคนของกองปราบวิ่งกรูกันเข้ามา
“พะ...พี่อวี้...เกิดอะไรขึ้น” ซูหมิงที่กินขนมอยู่พลันกระโดดไปหาพี่สาวทันที จากนั้นหวาดกลัวคนของทางการมาก ๆ จนต้องหลบไปอยู่ด้านหลัง
จางม่านอวี้ที่ดีใจได้ชั่วครู่ แค่คิ้วกระตุกทีเดียวจนต้องจับลูกตา ทำให้นางถึงกับต้องถูกคนของทางการจับเลยหรือ
นี่นางทำอะไรผิดอีก...วาสนาตัวประกอบจะสบายสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร!
แต่ทว่าอีกคนกลับยกยิ้มเมื่อเห็นคนของกองปราบ ทั้งหัวหน้ามือปราบเหมินเซี่ยะเองก็นำกำลังเข้ามาด้วยตนเองจนอยากจะรู้นัก เจ้าลูกหนี้ตัวน้อยอย่างนางสร้างเรื่องอะไรเอาไว้อีก
“ท่านมือปราบ...เกิดเหตุอันใดขึ้นงั้นรึ”
เสียงของเฉินโยว่เหวยทำให้จางม่านอวี้เริ่มกังวล นิด ๆ จากนั้นนางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มุดเข้าไปใต้โต๊ะแล้วโผล่หน้าปีนตักแกร่งไปอยู่หลังคุณชายเฉินที่ดูจะช่วยเหลือนางได้
สาบานว่านางไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย
“ข้านำกำลังมาจับคุณหนูจางม่านอวี้ขอรับคุณชาย”
จางม่านอวี้ที่หลบอยู่หลังคุณชายเฉินมุดหน้ามาตรงข้างเอวของเขา ใช้ใบหน้าเล็กยื่นผ่านวงแขนออกมาพร้อมกับขึ้นเสียงขู่ฟ่อ ๆ เหมือนแมวดื้อ
“ท่านหัวหน้ามือปราบอย่าปรักปรำคนบริสุทธิ์อย่างข้านะ ข้าตัวเล็กเท่านี้ไม่เคยไปฆ่าใครตาย”
เฉินโยว่เหวยเห็นนางสู้กลับแล้วนึกขบขัน ปากเก่งมิใช่น้อย เมื่อกี้นั่งอยู่อีกฝั่งยังหน้าซีดตัวสั่นอยู่เลย
“ท่านไม่ได้ฆ่าใครแต่หมิ่นเบื้องสูง!”
นางขมวดคิ้วพลันคิดว่าอะไรคือเบื้องสูง...จนต้องถามออกไป “สูงแค่ไหนกัน...ข้าตัวเตี้ยแค่นี้ปีนไม่ถึงหรอก...ข้ากลัวความสูงจะตายไป”
นางสูงแค่อกของเฉินโยว่เหวยด้วยซ้ำ จะให้นางหมิ่นเบื้องสูง ต่ำกว่าอกเขาเท่านั้นแหละที่นางจะเอื้อมถึง
เฉินโยว่เหวยกุมขมับในใจ“....”
ไม่นึกว่านางจะไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ แต่ว่านางหมิ่นเบื้องสูงได้อย่างไรนะ เขาอยากรู้เสียจริง
“ท่านหัวหน้ามือปราบว่ามาเถอะ...นางทำผิดเรื่องอะไร” เขาไม่เร่งร้อนให้รีบจับนาง อยากรู้จริง ๆ ว่าห่างกับเขาแค่วันเดียวไปก่อเรื่องหมิ่นใครได้อีก นอกจากฮ่องเต้...
“คุณหนูจางเขียนนิยายประโลมโลกขายหอหยกเร้นจันทร์ขอรับ” มือปราบเปลี่ยนเสียงเป็นนอบน้อมไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อครู่ที่คุยกับจางม่านอวี้
“แล้วขายนิยายประโลมโลกผิดอะไร หน้าร้านหนังสือตรงข้ามกับหอหยกเร้นจันทร์ด้วยซ้ำ”
เฉินโยว่เหวย “หื้ม!”
นางเถียงสู้ทำท่าขู่ฟ่อ ๆ แต่มือเกาะหลังเขาเอาไว้แน่น หากจะโดนจับนางจะกอดเขาไปด้วยไม่ปล่อยแน่หากเขาไม่ช่วยนาง เพราะเขาเป็นคนชี้ช่องรวยให้นางเอง นางยังอยากจะออกภาคสองด้วยซ้ำ
“นิยายประโลมโลกไม่ผิด...แต่ผิดที่คุณหนูเขียนพระเอกเป็นหานอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตเพราะขึ้นเตียงกับคณิกาทั้งหอหยกเร้นจันทร์จนหายใจไม่ทันสิ้นชีพบนเตียงด้วยท่ากวางเหลียวหลังเพราะเส้นเอ็นยึดอยู่ท่านั้น”
พรวด!!!
น้ำชาที่กำลังยกดื่มในปากพ่นพรวดออกมาจากปากของเฉินโยว่เหวยทันที นี่นาง...
ทำไมนางกล้าเช่นนี้!
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







