LOGINสตรีในชุดสีแดงเพลิงเดินลับไปทิ้งรอยยิ้มหวานหยดย้อยเอาไว้ให้จางม่านอวี้ตกตะลึงจนตาค้าง สตรีผู้นั้นเป็นสตรีที่จัดได้ว่างามแบบดอกกุหลาบที่มีหนามแหลม ที่บุรุษใดต้องการจะเข้าหาต้องฝ่าหนามแหลม ๆ ขึ้นไปแล้วจึงจะได้สัมผัสกับกลีบดอกสวยและกลิ่นหอมจรุงใจ
เรียกได้ว่าความสวยที่มาพร้อมกับอันตรายจนนางขนลุกนิด ๆ นะ แววตาที่สตรีนางนั้นมองมาทั้งเฉียบคมและสามารถหยุดบุรุษได้ทุกคนจริง ๆ จากที่ไม่เคยอิจฉาใครในโลกนี้ นางกลับเริ่มอิจฉาสตรีผู้นั้นนิด ๆ แล้วแหละ
แต่ความคิดเพ้อเจ้อของนางอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อบุรุษที่นางเห็นตอนแรกแค่แผ่นหลังกระแอมขึ้นหนึ่งคำ
“อื้ม!”
เสียงนั้นทำให้สตรีวัยแรกสาวสะดุ้งตัวเล็กน้อยดั่งคนขวัญอ่อน แต่ทว่าท่าทางตื่นตูมเหมือนกระต่ายขาวเรียกรอยยิ้มให้กับเจ้าของเสียงกระแอม จนนางที่ทำท่าทีเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาในคราวแรกรีบดึงหน้าให้ตึงนิด ๆ อย่างคนน่าเชื่อถือทันที
หากนางเดาไม่ผิดท่านนี้น่าจะเป็นคุณชายเฉินสินะ ที่เถ้าแก่ร้านรับแลกเงินที่เป็นหลงจู้นั้นบอกว่ากำลังติดธุระส่วนตัว ก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้นั้น
เมื่อคิดอะไรออกแก้มของจางม่านอวี้ขึ้นสีระเรื่อยิ่งกว่าทาชาดแดงเสียอีก
โอ้โห...กลางวันแสก ๆ !
นางอยากยกมือปิดปากแต่ทว่าสายตาแป๋ว ๆ ของนางมองไปยังใบหน้าดั่งฟ้าประทานนี้ จนอยากรู้ว่าใครช่างสร้างคนผู้นี้ขึ้นมา
โครงหน้าเฉียบ คางเรียว สันจมูกทำมุมพอดีกับใบหน้า ดวงตาคมมีเสน่ห์มองแล้วดึงดูดจนละสายตาไม่ได้ ผิวเนียนละเอียดดุจน้ำนม ใบหน้าสว่างใสไม่หยาบกร้านแดดดั่งบัณฑิตทรงภูมิมีความรู้ เรียวปากอิ่มเล็กน้อยยามขยับยกจนต้องมองตาม ทรงคิ้วจัดได้ว่าเป๊ะปังทั้งยังเรียงเส้นสวยเป็นธรรมชาติ
โดยรวมแล้วหล่อมาก...จัดได้ว่าเข้าขั้นพระเอก
แต่รอยยิ้มที่มองนางมานี่สิ...มันน่าขนลุกนะ ไม่ใช่รอยยิ้มที่ต้องการตะครุบเหยื่อของหมาล่าเนื้อ แต่ก็เป็นยิ้มที่มองแล้วส่งไม่ถึงดวงตา
“นี่คงจะเป็นคุณหนูจางม่านอวี้ใช่หรือไม่”
รู้จักนางด้วยสินะ...แต่ถามหน่อยใครบ้างไม่รู้จักนาง ไม่ใช่เพราะดังด้วยความงามของรูปร่างหน้าตาหรอก แต่ดังเพราะงามหน้าในสิ่งที่บิดากับภรรยาเด็กทำไว้น่ะสิ
‘ข้าล่ะเจ็บใจ’
แต่เจ็บใจอย่างไรก็ต้องข่มเก็บเอาไว้ทีหลัง โบราณกล่าวว่าแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย แต่ว่าหากนางไม่มีเงินมาใช้แค่ไม่กี่วันก็ตายแล้ว
ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจึงยิ้มให้กับคุณชายเฉิน พร้อมส่งสายตาน่าเอ็นดูไปให้ ก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม
“ชะ...ใช่ข้า...”
“ไปที่ห้องรับรองเถอะ”
“.....”!
อะ...อ้าว...ไม่ฟังข้าแนะนำตัวหน่อยเหรอ แล้วนั่นเขาเดินลิ่วไปแล้ว ทำให้นางหุบปากทั้งที่อ้าปากอยากจะต่อว่าสักคำว่าไม่มีมารยาท แต่เอาเถอะหากเขาเป็นคนใจร้อนนางก็ไม่ควรทำให้เขาเสียเวลารีบตามเข้าไปจะดีกว่า
เมื่อไปถึงห้องรับรองอีกห้องที่มีโต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้ด้านหน้า หากมองดี ๆ คล้ายกับห้องทำสัญญา ด้านข้างมีเถ้าแก่ที่เป็นหลงจู้ท่าทางใจดีคนนั้นยืนถือหนังสือบางอย่างอยู่ใกล้ ๆ กับสมุดบัญชีโดยที่อีกคนนั่งอ่านหนังสือยาวเหยียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ได้ยินว่าคุณหนูจางอยากจะกู้เงินหรือ”
“เจ้าค่ะ...ข้าอยากกู้เงินไปปิดเจ้าหนี้ทั้งหมด และจะเป็นหนี้เพียงท่านผู้เดียว” นางบอกอย่างตรงไปตรงมาคิดว่าคนฉลาด ๆ อย่างเขาแค่มองตาคนของเขาข่าวต่าง ๆ แม้แต่ประวัตินางตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันก็สามารถรู้ได้หมด
ทั้งด้านขวาหลงจู้ใจดีก็คอยให้ข้อมูล ด้านซ้ายก็ยังมีบุรุษท่าทางน่าเกรงขามอีกคนยืนขนาบข้างถือกระบี่คอยปกป้องผู้เป็นนายอยู่
“นับว่าคุณหนูเป็นคนตรงไปตรงมา” เขาเอ่ยขึ้น
ใครอยากอ้อมค้อมกันเล่า...ข้าอยากผลักภาระเจ้าหนี้จอมหื่นพวกนั้นจะตายไป จะได้เลิกมาเคาะประตูบ้านเสียที หากไม่ติดว่าบ้านนางมีบุรุษอยู่สิบกว่าคนที่เป็นบ่าวรับใช้ นางคงโดนฉุดกลางถนนไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่บ้านนี้เมืองนี้มีกฎหมายที่เด็ดขาด อันนี้ต้องยกความดีให้หานอ๋อง
“ข้าแค่อยากรักษาบ้านเอาไว้ อย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอนเท่านั้น” นางพูดให้ดูดี อันที่จริงนางแอบไปถามเจ้าหน้าที่ทางการเรื่องขายบ้านแล้ว มันได้ไม่พอใช้หนี้ต่างหาก เจ้าหน้าที่พวกนั้นราวกับอยากให้นางเป็นอนุของตาเฒ่าเหล่านั้นเต็มแก่ หากเป็นโลกที่นางจากมาคงมีกลิ่นเงินใต้โต๊ะล่ะสิ
“ได้...ข้าจะเรียกเจ้าหนี้ของเจ้ามาวันนี้และไถ่ถอนหนี้สินทั้งหมดจะได้มีพยานดีหรือไม่”
อื้อหือ...เขารอบคอบกว่าข้า หากลำพังสตรีเช่นข้าคนพวกนั้นอาจตุกติกก็เป็นได้ นับว่าเรื่องนี้เป็นความคิดที่ดี เหมือนดวงซวยนางจะหมดแล้วหรือเปล่านะ?
“หากไม่รบกวนคุณชายนัก”
ดวงตาของนางมีประกายสดใสทั้งหันไปมองคนของนางที่ยืนด้านหลังพลางยิ้ม แต่เมื่อนางหันมองเขาอีกครั้งบุรุษตรงหน้าแลบลิ้นนิด ๆ ใช้ฟันขบแล้วเอาลิ้นดุนกระทุ้งข้างปากด้านในราวกับเป็นร้อนในก็ไม่ปาน นางก็ทำบ่อยนะตอนโลกก่อนหน้า
แต่เขาทำแล้วเหมือนพระเอกร้าย ๆ ชอบกลแฮะ นางส่งสายตาแป๋วมองไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนสายตาหลบอย่างสตรีในยุคโบราณควรจะเป็น จากนั้นได้ยินเสียงเดินเข้ามาหลายเท้าจนเมื่อหันไปมองเป็นเหล่าตาแก่ที่ไปก่อกวนที่บ้านนางทั้งสิ้น
แต่คนเหล่านั้นดูเหมือนทำอะไรผิดสักอย่าง ดูก้มหน้าเข้าสิ เท่านั้นไม่พอดูเหมือนคนของคุณชายเฉินจะถือกระบี่กอดอกอยู่ด้านหลังห้าคน คล้ายกับเป็นผู้คุมเสียอย่างนั้น
“พวกท่านเป็นเจ้าหนี้คุณหนูจางใช่หรือไม่”
“ชะ...ใช่ขอรับ”
น้ำเสียงตะกุกตะกักราวกับนัดกันมา ทั้งตอบพร้อมเพรียงกันราวกับฝึกทหารอยู่ ทำให้นางต้องเลิกคิ้วมองท่าทางแปลก ๆ นั้น
“งั้น...พวกท่านเอาสัญญาหนี้ออกมารับเงินไป”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยของคุณชายเฉิน แต่ฟังแล้วให้ความรู้สึกกดดันเสียจนคนเหล่านั้นมือไม้สั่น จากนั้นแต่ละคนหยิบหนังสือสัญญากู้เงินออกมา แต่ไม่ได้ระบุชื่อคุณหนูจางม่านอวี้เป็นคนกู้เงินสักฉบับ ทำให้สายตาคมเฉียบมองไปยังคนเหล่านั้น จนต้องรีบอธิบาย
“คะ...คุณชายเฉินได้โปรดฟังข้าอธิบาย...เรื่องนี้พวกเราเสียเงินไปแล้ว...นี่คือบัญชีทั้งหมดที่ได้รับเงินจากคุณหนูมา แม้ว่านางไม่ใช่ผู้กู้แต่ก็ยังเกี่ยวข้อง”
“หึ...ข้าเกี่ยวอะไรกับเม่ยเหลียนไม่ทราบ นางไม่ใช่มารดาข้าสักหน่อย” พูดแล้วก็หงุดหงิดจริง ๆ
เมื่อคุณหนูจางเอ่ยเช่นนั้นทำให้สายตาของคุณชายเฉินหรี่มองไปยังคนเหล่านั้น
แต่ละคนราวกับกลัวตายรีบยื่นบัญชีออกมา จากนั้นหลงจู้ดีดลูกคิดก่อนจะบอกตัวเลขที่จะต้องเสียจริง ๆ ของแต่ละคนให้คุณชายเฉินที่กำลังยกถ้วยชาจิบราวกับไม่สนใจ หากแต่คนของคุณชายเฉินรู้ดีว่าท่าทางแบบนี้คือไม่ได้คัดค้าน จนกระทั่งคนสุดท้ายที่ระบุดอกเบี้ยแสนโหด ทำให้ถ้วยชาชะงักค้างที่ริมฝีปากพร้อมกับสายตาคมเฉียบราวกับมีดตวัดมองไปยังคนผู้นั้น ที่คนถูกมองต้องกลืนน้ำลายเพราะหากสายตานี้คือมีดคงเชือดคอไปแล้ว
“คะ...คือ...ข้าไม่เอาดอกเบี้ยแล้ว...ระ...รับเพียงเงินต้นเท่านั้น”
อ้าว...ทำไมทีอย่างนี้เจรจาได้ แต่กับนางแทบจะลากไปนอนที่โรงเตี้ยมจนนางกอดอกแน่นมองอย่างไม่พอใจ
“เถ้าแก่เหลียงเมื่อสามวันก่อนบอกว่า หากวันนี้ไม่มีให้ท่านข้ายังต้องไปนอนกับท่านอยู่เลย ตอนนี้บอกไม่รับดอกเบี้ยแล้ว?”
เถ้าแก่เหลียงทรุดไปแล้ว ใครจะคิดว่าเขาจะมาตายเอาก็ตอนที่อยากได้คุณหนูตัวน้อยเป็นอนุอีกคน
“มีเรื่องเช่นนี้?” น้ำเสียงกดดันถามออกไปทำให้ที่เหลือรีบบอก
“พวกเราไม่เอาดอกเบี้ย ไม่เอาดอกเบี้ยแล้ว แค่เงินต้นเท่านั้น แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูจางอีก”
อีกคนใช้แค่สายตาสั่ง คนของเขาก็เอาเงินออกมา
สุดท้ายนางก็กู้เงินเป็นสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา แต่ว่าเงินห้าร้อยตำลึงไม่ได้ผ่านมือนางด้วยซ้ำจนกระทั่งมีห้าตำลึงยื่นมาให้นางเป็นเถ้าแก่เหลียงที่ท่าทางรักตัวกลัวตาย
“คุณหนู...นะ...นี่...นี่คืนให้ท่าน”
นางยังไม่ได้ทันรับเขาก็ยัดใส่มือนางแล้วรีบวิ่งแจ้นออกไปราวกับว่าอยู่นานกว่านี้อาจจะถึงที่ตายได้
แต่เงินห้าตำลึงนี้กลับทำให้จางม่านอวี้ดีใจเหมือนได้ทองเป็นพันตำลึง
“ขะ...ข้ามีเงินซื้อข้าวสารแล้ว!”
เสียงสดใสนั้นทำให้คนที่ลงนามในสัญญาฉบับใหม่ชะงักเงยหน้ามองนาง ก่อนจะกดมุมปากเล็กน้อย ส่วนนางที่ลงลายนิ้วมือกับประทับตราให้แล้ว ดังนั้นสัญญาจึงยื่นให้นางเก็บเองหนึ่งฉบับ
“นี่ขอรับคุณหนูจาง”
“ขอบคุณหลงจู้เจ้าค่ะ” จางม่านอวี้ยิ้มก่อนจะพับเก็บใส่แขนเสื้อ แต่ในหัววันนี้นางต้องซื้อข้าวสารหลาย ๆ กระสอบเพราะคนอยู่มาก ซื้อเนื้อด้วยวันนี้ต้องกินเนื้อ จนเมื่อนางลุกขึ้นเขาเอ่ยขึ้นหนึ่งคำ
“แล้วพบกันคุณหนูอวี้”
แม้จะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่ว่านางกลับรู้สึกใจหวิวแปลก ๆ จนต้องเอามือลูบหน้าอกมองแผ่นหลังองอาจที่เดินจากไปอย่างรู้สึกกังวลพลางพึมพำ
“ข้าเพิ่งออกจากรังหมาป่า หลงเข้าถ้ำเสือต่อหรือเปล่านะ!”
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







