Masukไม่ใช่แค่เฉินโยว่เหวยที่สำลักน้ำชา ยังมีหลงจู้กับองครักษ์หนุ่มหน้าตาดีที่ทำหน้าราวกับกลืนยาขม มองหน้าคุณหนูสลับกับคุณชายเฉินพลันรู้สึกถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่ปกติ
“แล้วทำไมท่านไม่จับคนอื่นเล่า...มาจับข้าทำไม”
คนที่สำลักน้ำชาจนน้ำหูน้ำตาราดสูดหายใจเข้าจนอกแกร่งยก มองไปยังใบหน้าเล็ก ๆ ที่เอาตัวเขาเป็นกำแพงกำบังเอาไว้ ทุ่มเถียงสุดตัวราวกับตัวเองไม่ผิดอันใดเลย
แต่นั่นหานอ๋องที่ใครก็ไม่กล้าจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ นางกลับเอามาแต่งเป็นนิยายประโลมโลกที่ให้ตัวเอกตายตอนจบ นางกินดีหมีหรือหัวใจเสือมากันแน่ถึงคิดสาปแช่งเขา
“ท่านเป็นคนแต่ง” หัวหน้ามือปราบโต้ราวกับเถียงเด็กตัวกระจ้อย
“ใช่...แต่คนอื่นก็แต่ง” นางสู้ตาย...มาเถอะเรื่องเถียงนางไม่แพ้แน่!
ก็แต่งให้ตัวคนจริง ๆ มีอยู่ในนิยายมันจะได้เรียกจุดสนใจจากคนซื้อ นางเขียนหนึ่งเล่มคนซื้อกล้าจ่ายถึงห้าร้อยตำลึงด้วยซ้ำ นางว่าเรื่องหน้าจะแต่งฮ่องเต้กับนางกำนัลห้องภูษาช่วยกันเย็บผ้าในห้องบรรทม...(เย็บท่าซิกแซก) คิก ๆ
แค่คิดพล็อตนิยายที่นักอ่านต้องยืนยันด้วยบัตรประชาชนอ่านถึงจะเข้าถึงก็สนุกแล้ว
แต่ยังไม่ทันเกิดดันถูกหัวหน้ามือปราบหน้าหยกใจร้ายคุมกำเนิดเสียก่อน!
เฉินโยว่เหวยเห็นหัวหน้ามือปราบพลันรู้สึกสงสารนิด ๆ ต้องโทษเขาที่ปิดบังตัวตนเพราะอยากใช้ชีวิตปกติทั่วไปไม่เผยฐานะอ๋องให้ใครรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าลูกหนี้ตัวน้อยไม่กลัวตายจะกล้าเอาเขาไปแต่งปู้ยี่ปู้ยำด้วยเรื่องเหลวไหล ให้คนหัวเราะเยาะ
เขาหรือจะตายเพราะอุ่นเตียงกับคณิกาสาวในหอหยกเร้นจันทร์
‘ข้าหาใช่บุรุษมักมาก’
“หัวหน้ามือปราบ...โทษของคนวิจารณ์ราชวงศ์เสียหายมีอะไรบ้างนะ” เฉินโยว่เหวยพูดในเชิงปรึกษา แต่คนที่ได้ฟังตัวสั่นนิด ๆ กับคำว่า ‘โทษ’
“ถ้าวิจารณ์ด้วยปาก...ถูกตัดลิ้น”
“O.O” หา...ตะ...ตัดลิ้น...คิดจะไม่ให้พูดตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ ใจร้าย...ใจร้ายเกินไปแล้ว
เฉินโยว่เหวยรับรู้ถึงแรงกอดรัดที่เอว พร้อมกับใบหน้าที่แนบแผ่นหลังแน่นพลางยิ้มใบหน้าเบิกบานขึ้น แม้แต่หลี่เฟิงกับหลงจู้ยังมองหน้ากันราวกับตนเองเห็นผี
หานอ๋องเปลี่ยนไป!
“แล้วถ้าเขียนละ”
“ตัดมือขอรับ...มือข้างไหนเขียนตัดมือข้างนั้น”
“O.O” นางรีบหดมือแทรกเข้าในเสื้อคลุมของเฉินโยว่เหวยทันทีพลางคิดว่า หากตัดมือนางแล้วนางต้องมือด้วนไปหนึ่งข้าง ช่างน่าอนาถนัก
ไม่...ตัดไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ชีวิตก็ซวยพออยู่แล้ว หากต้องพิการอีกนางขอกลั้นใจตาย
ติดแค่กลัวหายใจไม่ออก...ไม่งั้นกลั้นไปแล้วนะจะบอกให้
“อื้ม...เข้าใจแล้ว” เฉินโยว่เหวยรับคำในลำคอแล้วหยุดเงียบไปชั่วครู่ พลางเหลือบตามองไปยังคนที่เงียบอยู่ด้านหลังของเขาที่นิ่งไม่ขยับ หากว่าเขาไม่ได้ยินเสียงหัวใจของนางที่ทาบอยู่ตรงด้านหลังคงคิดว่านางตกใจเป็นลมตายไปแล้ว
“อื้อ...เช่นนั้นท่านก็จัดการเถอะ”
จางม่านอวี้เลิ่กลั่กกว่าเดิม จากนั้นมุดตัวเข้าในเสื้อคลุมของเขาไปเลยราวกับสิงร่างของเขาเป็นสัมภเวสีเกาะติดคุณชายเฉินเอาไว้แน่น
“คุณหนูอวี้...ท่านยอมรับผิดแต่โดยดีเถอะ” เสียงหัวหน้ามือปราบกล่าวเสียงอ่อนลงใบหน้าพยายามกลั้นพิรุธสุดกำลัง แต่คนที่กลัวจนหัวหดกลับไม่ได้สังเกต
จางม่านอวี้เหงื่อแตกพลั่ก...ยิ่งอากาศในเดือนแปดก็ร้อนอยู่แล้วยามนี้ก็ร้อนขึ้นไปอีกร้อยเท่า ปากนางสั่นกึก ๆ ขบคิดหาทางเอาชีวิตรอด
“ถ้าจะให้ข้ารับผิดข้าไม่รับหรอก...เพราะคุณชายเฉินเป็นคนสั่งข้า”
นางโยนถ่านร้อนใส่เขาทันที อย่างน้อย ๆ ก็มีคนที่ต้องโดนลงโทษไปกับนาง
หัวหน้ามือปราบเบิกตากว้างมองไปทางคุณชายเฉิน และทุกคนก็มองไปทางเดียวกัน พลางคิดว่าคุณชายเฉินคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ
เรียวคิ้วเฉียงขึ้นคมดุจดาบขยับขึ้นลงหลังจากได้ยินนางพูด “ข้าสั่งสิ่งใด?”
“ก็ท่านสั่งว่าให้ข้าอ่านหนังสือพวกนั้นให้ท่านฟังในหอหยกเร้นจันทร์” นางหยุดพูด...ทำให้คนทั้งห้องกลั้นหายใจไปด้วยว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไรกันแน่
นางโผล่หน้าไร้เดียงสาจากเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกมายืนยันคำพูดตัวเองต่อพลางชี้นิ้วจิ้มหน้าอกเฉินโยว่เหวย เบา ๆ
“ข้าพากย์...ท่านทำตาม!”
“....” ทุกคนในห้องทำสีหน้ากลืนยาขมระดับสิบ เมื่อรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เว้นแต่เฉินโยว่เหวยที่เกือบกลั้นยิ้มไม่ไหวกับจินตนาการของนาง
‘ก็แค่อยากแกล้งนางเท่านั้น...ใครจะคิดว่าสมองน้อย ๆ ของนางจะคิดไปถึงขนาดนี้’
แต่เมื่อหันไปเห็นคนสนิทของตนมองหน้าราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาดจึงต้องตีหน้าขรึมวางมาดอ๋องผู้น่าเกรงขามก่อนเอ่ยออกมา
“อะไรเข้าฝันให้เจ้าคิดอย่างนั้น”
ฮั่นแน่...ท่านจะมาโบ้ยความผิดให้ข้าผู้เดียวไม่ได้นะข้ามีพยาน “วันก่อนท่านให้หลี่เฟิงเอาหนังสือพวกนั้นมาให้ข้าอ่านอยู่เลยนะ ข้าเห็นว่าเขาเขียนไม่ลึกซึ้งได้อารมณ์ กลัวว่าท่านจะไม่สำราญ จึงแต่งเสียเองเลย”
อื้ม...เหตุผลเข้าทีเลยล่ะ...
แต่เหมือนเข้าทีที่ว่านั้นจะเป็นกำปั้นใหญ่ ๆ ของคนที่นางสิงเป็นสัมภเวสีอยู่เคาะเข้ามาที่กะโหลกนางหนึ่งที จัง ๆ ดังป๊อก
“เหลวไหล”
“โอ๊ย...เจ็บ ๆ ”นางยู่หน้ามองเขาพลางลูบหัวบีบน้ำตาคลอราวกับเจ็บปวดเจียนตาย แน่นอนเพื่อเรียกความสงสารจากทุกคน
นางไม่ผิด!
“คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน...หัวหน้ามือปราบ เหมินเซียะกลับไปเถอะ เอาหนังสือที่ยึดได้มาให้ข้าจัดการมันเอง”
นางมองเขาสลับกับมองหัวหน้ามือปราบอย่างฉงนใจ ไฉนเขาสองคนดูจะพูดคุยตกลงกันง่ายนักล่ะ ทั้งที่เมื่อกี้จะตัดแขนนางบ้างล่ะ จะตัดลิ้นนางบ้างล่ะ
ตัวประกอบติดบั๊กนี่น่าสงสารพอหรือยัง!
แต่คนแพ้เสียงในหัวหลุดน้ำเสียงใสเอ่ยขัดขึ้นว่า
“แต่ข้าไม่ผิดจริง ๆ นะ ข้าแค่ทำตามเจ้าหนี้สุดหล่อผู้นี้ต่างหาก...หัวหน้ามือปราบต้องเชื่อข้า ข้าเป็นเด็กสาวแสนดีไร้เดียงสาน่ารักอ่อนหวาน แต่ชะตาอาภัพต้องให้เผชิญกับความยากลำบากเฉย ๆ ไม่เคยคิดอยากทำผิดคิดชั่ว”
“ยิ่งหานอ๋องแล้วข้ายิ่งนับถือ” ดวงตากระจ่างใสกะพริบตาปริบ ๆ บ่งบอกว่าพูดความจริงจากใจทุกประการ
‘นับถือก็บ้าแล้วเกือบทำข้าซวย...สาบานว่าชาตินี้ข้าจะสาปแช่งเขาให้ตกหลุมรักข้าหัวปักหัวปำ เพราะข้าคือตัวซวย ดังนั้นหลงรักตัวซวยเท่ากับซวยซ้ำซวยซ้อนทั้งชาติ’
ไม่มีใครฉลาดเท่าข้าอีกแล้วล่ะ
ทุกคนในห้องเหมือนจะยกยิ้มกับคำพูดนั้น มองคุณหนูตัวน้อยกับท่าทางไร้เดียงสา คล้ายกับผู้เป็นนายจะเจอเข้ากับคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว
โดยเฉพาะหลี่เฟิงที่กลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตก
“น่ารักอ่อนหวาน คำพวกนี้ต้องให้คนอื่นพูดกระมัง” เฉินโยว่เหวยขัดนางทำให้คนตัวเล็กร้องจิ๊จ๊ะจนอยากเขกหัวนางอีกสักที
จางม่านอวี้ยู่หน้าจนปากยื่นอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ถึงบ้านม่านอวี้แม้จะจนมากแต่ยังมีกระจกส่องอยู่นะเจ้าคะ...คุณชายเฉินไม่ต้องชมม่านอวี้ก็รู้ตัวดี ภาพมันฟ้องเจ้าค่ะ”
นางถือคตินอกจากมั่นอกมั่นใจ...อย่าลืมมั่นหน้าด้วย
เขาส่ายหน้ารู้สึกว่านางจะซุกซนนัก...จนอยากจับมาสั่งสอนด้วยตนเองสักหน่อย
“เอาล่ะ...เสียเวลาท่านมือปราบจะทำงาน...รีบปิดคดีเถอะ”
คราวนี้หัวหน้ามือปราบเหมินเซี่ยะพยักหน้าเห็นด้วย “ดีขอรับคุณชาย...ข้าจะรีบนำตัวคุณหนูไปลงโทษตามกฎหมาย”
“O.O” ซวยแล้ว
คราวนี้จางม่านอวี้เบิกตากว้าง เมื่อครู่นางจำได้ว่าไม่ใช่ตกลงแบบนี้นี่...คุณชายเฉินบอกให้เขากลับไป
“นั่นแน่...ท่านหัวหน้ามือปราบ...อย่าลักไก่เชียวนะ อวี้เอ๋อร์ได้ยินเต็มสองหูของอวี้เอ๋อร์เลยว่า เมื่อครู่คุณชายเฉินให้ท่านกลับไปเพราะเข้าใจกันผิด...ท่านก็อย่าหาความเด็กไร้เดียงสาอย่างข้า”
“แต่ว่าความผิดเกิดแล้ว...นะขอรับคุณหนู”
“เกิดที่ไหนยังไม่เกิด...นี่เงินห้าร้อยตำลึง...นั่นหนังสือ อีกอย่างของพวกนี้ไม่ได้อยู่ในมือข้าแล้วนี่ ยึดไปให้หมดเลยถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
แม้ว่าจะต้องสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปหนึ่งวันกับปวดแขนยังไม่หายด้วยซ้ำ นางคงต้องทำใจ ตัวประกอบคงจะใช้ชีวิตง่าย ๆ ไม่ได้หรอก
ใช่ซี๊...ข้าไม่ใช่นางเอกนี่!
เฉินโยว่เหวยได้ยินเช่นนั้นจึงเสนอว่า... “เช่นนั้น...ท่านมือปราบรับเงินห้าร้อยตำลึงนี้ไปเอาเข้าคลังของหานอ๋อง ส่วนหนังสือนี่ถือว่าไม่เคยเห็นก็แล้วกัน...ส่วนนาง...”
เขาที่เห็นจางม่านอวี้ทำปากขมุบขมิบมองเงินถุงนั้นแล้วจ้องตาหัวหน้ามือปราบของตนราวกับจะสาปแช่ง แล้วนึกอยากแกล้งต่ออีกหน่อย “ให้นางคัดพระสูตรคัมภีร์ถวายเป็นกุศลให้หานอ๋องสักพันจบก็แล้วกันข้าจะเฝ้าด้วยตัวเอง”
ฮะ! จางม่านอวี้อุทานในใจพลางกะพริบตาปริบ ๆมองคนที่ทำตัวเยี่ยงผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ จนเกิดความสงสัยขึ้นว่า คุณชายเฉินเจ้าของโรงรับแลกเงินก็ตัดสินคดีได้หรือ!
“แต่ว่า...”
มีคำว่าแต่ทีไรนางกลับรู้สึกว่าความซวยยังไม่หมดไปสักทีเหมือนตามหลอกหลอนเป็นเงาตามตัวนางอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่มีแต่...ไม่มีแต่ทั้งนั้นเอาตามคุณชายเฉินว่า” เสียงใสรีบสนับสนุนคำพูดเขาไม่พอ นางกอดแขนเขาไว้แน่น แล้วเอาขากอดรอบเอวเหมือนลิงน้อยเกาะหลังแม่
แต่ว่าเขาไม่ได้สะบัดนางออกนี่ นางไม่ปล่อยหรอกนะ นางตายเขาก็ต้องตายกับนางด้วย!
“ข้าเป็นหัวหน้ามือปราบจะมาโยนภาระให้คุณชายเฉินไม่ดีกระมัง หากผู้ใดรู้ว่าข้าละเลยหน้าที่ หานอ๋องคงพิโรธ”
หัวหน้าเหมินเซี่ยะพูดพลางมองแลกเปลี่ยนสายตากับคุณชายเฉินโยว่เหวยตรงหน้า เขากดยิ้มมุมปากจนเกือบกลั้นไม่อยู่ พอ ๆ กับหลงจู้ร้านรับแลกเงิน กับหลี่เฟิงองครักษ์ที่หันหน้าไปอีกทางกำมือปิดปากเอาไว้
คำพูดของหัวหน้ามือปราบทำให้นางฉุกคิดว่า ในเมืองฉางเหอคนที่มีอำนาจสูงสุดเห็นจะเป็นหานอ๋องอนุชาฮ่องเต้สินะ
แต่ว่ากันว่าหานอ๋องจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยมนี่นา...
ดังนั้นที่นางไปทำหูตั้งเป็นแมวได้ยินเสียงหนูน่าจะนำมาใช้เอาตัวรอดได้อยู่กระมัง
“ท่านไม่พูด...ทุกคนไม่พูด...ไม่มีใครรู้หรอกจริงหรือไม่ หานอ๋องจิตใจกว้างขวางดุจมหาสมุทรข้ารู้ดีว่าเขาไม่ถือสาหาความกับสตรีตัวน้อยอย่างข้า
ยิ่งตอนนี้ข้าได้ยินว่าเขาเดินทางไกลไปแสวงบุญทำกุศลกับฝ่าบาท ยิ่งไม่อยากเห็นการเข่นฆ่านองเลือดแน่ ๆ ดังนั้นท่านมือปราบหลับตาข้างหนึ่งเถอะ”
นี่คือการชักแม่น้ำแทบหมดแคว้นเยว่หานแล้ว หวังว่าพวกเขาจะคล้อยตามนางนะ แต่เหมือนวาสนาตัวประกอบจะมีน้อยนิดเท่าจิ๋มมดตะนอยสินะ มันถึงได้...
“คุณหนูจางม่านอวี้ ท่านเอาข่าวนี้จากที่ใดมา การเดินทางของหานอ๋องและฝ่าบาทปิดเป็นความลับ คนที่รู้เรื่องนี้ล้วนต้องตาย” เหมินเซี่ยะชักกระบี่ออกมาพร้อมกับเหยียดปลายไปทางจางม่านอวี้ จนคมกระบี่สะท้านวาบทำให้นางตกใจ
“O.O”
ข้าก้าวขาผิดออกจากบ้านหรือไม่...ทำไมคำว่าตายวิ่งไล่ตามนางดังเป็นเงาตามตัว
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







