บทนำ
นางหมั้นหมายกับคนรักมาถึงสามปี แต่เพราะถูกครอบครัวของอีกฝ่ายกีดกัน เพราะฐานะระหว่างเขากับนางแตกต่างกัน เขาเป็นถึงบุตรชายคนเล็กของคหบดีที่รวยที่สุดของแคว้น ส่วนนางเป็นเพียงบุตรสาวคนขายหมูในตลาด
ด้วยความรัก คู่หมั้นของนางหวังจะใช้ผลงานของตนแลกกับการแต่งงานกับนางเข้าบ้าน ครอบครัวของเขาจึงให้เขาเดินทางไปยังแคว้นฉงชิ่งเพื่อสร้างฐานการค้าใหม่ หากประสบผลสำเร็จจะยอมให้แต่งงานกัน
นางซึ่งรอด้วยความหวัง เฝ้ารอเพียงแต่เขา จนเมื่อมีข่าวว่าแคว้นฉงชิ่งมีโรคระบาด ด้วยความเป็นห่วงคนรัก นางจึงรีบเดินทางไปหาเขาโดยมิได้แจ้งข่าวล่วงหน้า
สามปีแห่งความรักและคำสัญญา ดูเหมือนจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้นางเฝ้ารอคอยด้วยความหวังและศรัทธาในคนที่ตนรัก ทว่าความจริงที่ปรากฏกลับทำลายทุกอย่างในหัวใจของนางจนแตกสลาย
ผู้ใดจะคิดว่าคนที่เขียนจดหมายส่งให้นางทุกเดือนตลอดสามปี บอกรัก และให้นางรอ กลับยืนโอบกอดสตรีท้องโตด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ติดโรดระบาดอย่างที่นางนึกกังวล
เขาโอบกอดสตรีท้องโตด้วยแววตาอ่อนโยนและสายตาที่เคยมองนางอย่างรักใคร่กลับเต็มไปด้วยความเฉยเมย
การมีอนุ หรือมีภรรยามากกว่าหนึ่งในสังคมนี้เป็นเรื่องปกติ แต่เป็นเพราะเขารับปากกับนางตอนที่มาเกี้ยวพานางมิใช่หรือว่าจะมีนางเพียงคนเดียวจนลมหายใจสุดท้าย นางถึงได้ไหวหวั่นและรับรักเขาในที่สุด
แล้วเหตุใด
“ข้าเคยคิดว่าท่านต่างจากบุรุษทุกคนในโลกนี้ มิเคยคิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วท่านก็มิต่างเลยสักนิด”
นางยืนประจันหน้ากับบุรุษที่นางคนึงหาทุกคืนวัน เฝ้ารอเขาด้วยความหวัง ยิ่งแววตาที่อีกฝ่ายมองกลับมาว่างเปล่าราวกับไม่เคยรักกันมาก่อน ภาพสะท้อนในแววตานั้นราวกับไม่เคยรู้จักนาง นางยิ่งปวดร้าวไปทั้งหัวใจ
“หากเจ้าบอกล่วงหน้าว่าจะมา ข้าคงไม่ให้เจ้าต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้”
คำพูดเรียบเฉยของเขาทำให้นางยิ่งเจ็บปวด
ใครกันให้นางเดินทางมาหาเขา รู้อยู่ว่านางคือคนที่เขาจะแต่งงานด้วย แต่สตรีที่ยืนเคียงข้างเขาตอนนี้นางอุ้มท้องบุตรของเขาอยู่ ไม่ว่าใช้กี่ตาชั่งตวงวัดเขาก็ย่อมต้องให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมากกว่า
“หากข้าแจ้งข่าวมาคงไม่ได้พบเจออะไรเช่นนี้ หากเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานกัน ข้าคงถอยได้อย่างยากลำบาก เช่นนั้นถือว่าวันนี้เป็นฤกษ์อัปมงคล”
ความเจ็บช้ำที่ยากเกินบรรยาย นางจ้องเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนตัดสินใจเอ่ยคำที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่คิดว่าจะพูดออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้
“ข้าขอถอนหมั้นท่าน”
เสียงนั้นเด็ดขาด ทว่ากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นี่คือการปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการแห่งความรักที่หลอกลวง นางยืดตัวตรง แม้หัวใจจะสั่นไหวแต่ก็ไม่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งออกมาสักหยด
เขาได้แต่ยืนนิ่ง ขณะที่นางหมุนตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่สั่นสะท้านและความเย็นเยียบ
นางเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างง่ายดาย นี่หรือคือสตรีที่รักเขาและหวังจะฝากชีวิตเอาไว้กับเขาชั่วชีวิต แค่เขามีอนุเล็ก ๆ เพียงคนเดียว อีกฝ่ายฐานะย่ำแย่กว่านางด้วยซ้ำ เมื่อแต่งนางเข้ามา อย่างไรนางก็คือฮูหยินเอก
คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
บทที่ 10 คนหาย “ใครเฝ้าอยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มตะโกนลั่น คนงานที่เฝ้าอยู่เร่งเดินมาหา และสาวใช้ก็รีบวิ่งมา“นางไปไหน” คนทั้งสี่ส่ายหน้า สาวใช้บอกเช้านี้เอาอาหารมาให้ยังเห็นนางอยู่ ส่วนคนงานก็บอกว่าไม่เห็นนางเดินออกไป“บอกข้าแล้วอย่างไร ไปหาสิ” มู่เฉินอารมณ์เสีย เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหายไปได้ ด้านหลังจวนไม่มีอะไรนอกจากบ่อ วูบหนึ่งเขาหลงคิดว่านางอาจจะฆ่าตัวตาย แต่นางไม่ได้รักเขาขนาดนั้น นางคงไม่มีทางทำ หญิงใจง่ายที่มีคนอื่นทั้ง ๆ ที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ไม่ควรเสียใจที่คู่หมั้นมีอนุก่อนแต่งหรอก“เจอหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามพ่อบ้าน แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า “ให้คนตามอยู่ขอรับ นายท่านพักก่อนเถอะ” “ข้าไม่พัก แล้วทุกคนก็ห้ามพัก หาให้เจอ” เสียงของมู่เฉินดังจนเหล่าสาวใช้สะดุ้ง ดวงตาคมกริบตวัดมองบ่าวไพร่ของตนที่ยืนเรียงราย ทุกคนต่างหลบตาไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขา “นายท่าน... เราค้นทั่วเรือนแล้วขอรับ แต่...” “แต่อะไร”“ไม่มีขอรับ ไม่มีแม่นางลี่ถัง”“ไร้ประโยชน์” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิด ความรู้สึกในอกตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แค่คิดว่าลี่ถังกลับไปแล้ว หัวใจเขาก็บีบแน่น “ทุกคนฟัง
บทที่ 9 บ่อน้ำร้าง ตูม!!ลี่ถังกรีดร้องออกมา แต่เสียงขาดหายไปกลางอากาศ ร่างของนางเสียหลักและร่วงลงสู่ความมืดมิดน้ำเย็นเฉียบทะลักเข้าปากและจมูก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือน้ำ แต่ความลื่นของตะไคร่ทำให้นางจับขอบบ่อไม่ได้เลย“ช่วยด้วย!” นางพยายามร้อง แต่เสียงสะท้อนอยู่เพียงในความเงียบงันเหนือปากบ่อ เงาหนึ่งปรากฏขึ้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ค่อย ๆ ถอยออกไป ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงัดไม่มีใครอยู่ที่นั่น ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางถูกผลักลงมาน้ำเย็นเยียบราวกับจะดูดกลืนสติของนางไปทุกขณะไม่!นางกัดฟัน พยายามยันตัวเองขึ้น ทว่าพลังของนางค่อย ๆ ลดลงทุกขณะขณะที่สติเริ่มเลือนราง มีเพียงความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจของนางข้ายังไม่อยากตาย… ท่านพ่อ…พี่ใหญ่ความหนาวเย็นกัดกินไปถึงกระดูก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ แต่กำแพงหินของบ่อร้างทั้งสูงและลื่น ตะไคร่น้ำจับแน่นทำให้ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้มือของนางสั่นระริก ร่างกายเปียกโชกและชาดิกไปหมด เสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อครู่กลืนหายไปในความมืดมิด ไม่มีแม้เสียงฝีเท้าของผู้ใดเดินผ่านลมหายใจของนางเริ่มติดขัด เสื้อผ้าเปียกชุ่มทำให้ร่างกายหนักขึ้นเรื
บทที่ 8 หาทางหนี ลี่ถังเองก็คิดไม่ต่างกัน นางเองก็คิดว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไร้เยื่อขาดไยเช่นนี้นางควรรีบทำทุกอย่างให้จบ แม้จะถูกขังแต่หากอีกฝ่ายไม่เอาเชือกมามัดมือนางไว้ ลี่ถังก็ยังพยายามหาทางออกจากจวนนี้ทุกวันนางเคยคิดจะว่ายน้ำออกไป แต่น่าเสียดาย นางว่ายน้ำไม่แข็งขนาดนั้น จึงไม่สามารถว่ายผ่านบึงบัวขนาดใหญ่ด้านหลังจวนไปได้ อีกอย่างยามนี้ก็หนาว หากลงน้ำคงได้ไข้แม้จะลองใช้สารพัดวิธี แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ถูกเฝ้าจับตาไว้หมด และสุดท้ายก็ถูกลากกลับมาที่เรือนรับรองที่แปรเปลี่ยนเป็นห้องขัง แต่วันนี้ขณะหญิงสาวมาตักน้ำที่บ่อน้ำเก่าหลังเรือน สายตาก็เหลือบไปเห็นกิ่งต้นไม้ใหญ่ด้านบน คงเพราะก่อนหน้านางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงไม่ทันสังเกตเห็น แม้โคนต้นไม้นี้น่าจะอยู่ด้านนอกกำแพง แต่หากนางขึ้นไปบนกิ่งใหญ่นี่ได้ นางอาจจะใช้มันผ่านไปทางหลังคาและออกหลังกำแพงจวนไปได้ “แล้วจะขึ้นไปอย่างไรเล่า” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง นางไม่อาจปีนขึ้นจากพื้นได้ แต่หากปีนขึ้นจากหลังคาบ่อน้ำก็อาจจะพอเป็นไปได้ หัวใจของลี่ถังเต้นแรง นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของนาง หญิงสาวไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางรีบสำรวจหาหนทางที่จะข
บทที่ 7 หูเบา “วันนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ปกติดีเจ้าค่ะ” “ลมหนาวเช่นนี้ เจ้าต้องระวังสุขภาพให้มาก”“เจ้าค่ะ”“อยากกินอะไรพิเศษก็บอกกับสาวใช้ให้ไปซื้อ” ยิ่งฟังน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา ตั้งแต่วันแรกที่นางได้ยินคำเหล่านี้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ต่างกับการกระทำของมู่เฉินที่มีต่อนาง มันเปลี่ยนไปหมด หญิงสาวได้แต่ยืนฟังอยู่หลังหน้าต่างที่ถูกไม้ตีปิดเอาไว้ มีเพียงช่องลอดมองได้นิดหน่อย แต่ตัวผ่านไม่ได้ แต่ละวันผ่านไปด้วยความเจ็บปวดและชินชาที่ค่อย ๆ เกาะกินหัวใจจนมันเริ่มไร้ความรู้สึก ลี่ถังพยายามปลอบใจตัวเองแต่ก็ไม่มีถ้อยคำดี ๆ ที่จะทำให้รู้สึกสบายใจได้ แม้แต่เรื่องออกจากที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ออกไป เพราะทุกครั้งที่คิดจะหนี นางก็จบลงด้วยการกลับมาอยู่ในเรือนนี้พร้อมกับการป้องกันที่มากขึ้น ในเมื่อไม่มีใจแล้วจะรั้งเอาไว้ทำไม หญิงสาวคิดแล้วก็เผลอลืมไปว่าเขาขังนางเอาไว้ไม่ใช่เพราะรั้งนาง แต่กังวลว่านางจะทำเรื่องให้เขาเดือดร้อน น้ำตาใสไหลออกมาอีกหยดก่อนที่ร่างสวยจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น นางจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย ลี่ถังคิด ครั้งสุดท้าย...ลี่ถังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างบานเดิม เสียงคนทั
บทที่ 6 แสร้งป่วย สาวใช้อีกคนวางถาดอาหารแล้วรีบตรงเข้ามาเขย่าร่างของลี่ถังแต่ผลที่ได้ก็คือนิ่งเฉยเช่นกัน "เจ้าเป็นอะไรไป แม่นางลี่ถัง ไม่ได้การแล้ว ข้าจะไปบอกท่านพ่อบ้าน" สาวใช้คนแรกลนลานวิ่งออกไป ส่วนอีกคนก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของหญิงสาวที่นอนอยู่ มันไม่ได้ร้อนแต่มันกลับเย็นผิดปกติและยังมีเหงื่อซึมนางเร่งไปตักน้ำร้อนมาเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย หากนายท่านรู้ว่านางละเลยไม่ได้ดูแลอะไรเลยแขกของนายท่าน นางอาจจะโดนลงโทษเอาได้ อีกด้านสาวใช้คนแรกก็เร่งไปบอกพ่อบ้านที่กำลังคุยกับมู่เฉิน"ท่านพ่อบ้านเจ้าคะ แม่นาง แม่นางลี่ถังที่อยู่ในเรือนรับรองไม่สบายเจ้าค่ะ" นางพูดพร้อมกับหอบหายใจเมื่อมาถึงพ่อบ้านที่กำลังพูดคุยเรื่องงานกับเจ้านายของจวนชะงักและเหลือบมองไปที่มู่เฉิน เขากัดริมฝีปากตนเองน้อย ๆ อย่างไม่พอใจ ที่มู่เฉินวางทุกอย่างในมือแล้วลุกเดินออกไปทันทีพ่อบ้านหันไปมองหน้าสาวใช้อย่างคาดโทษก่อนจะเดินตามเจ้านายออกไป มู่เฉินเร่งเดินไปยังเรือนรับรองทันทีที่ได้ยินว่าลี่ถังไม่สบาย เขาไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาเป็นไปเช่นนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ใจเขาบอกให้ไม่สนใจนาง วันก่อนก็เช่นกัน แม้จะมีคนมากมายแต่สายตาของเขาก็ดัน
บทที่ 5 เกลียดกันเท่าไร ก็ยิ่งหนีไปไม่ได้"ช่วงนี้นายท่านช่างอ่อนโยนกับซูปี้เหลือเกิน" เสียงสาวใช้ดังแว่วเข้าหูลี่ถังแต่หญิงสาวก็มิได้เอ่ยอะไร "พวกเราต้องทำดี ๆ กับนางเอาไว้นะ นายท่านรักใคร่เอ็นดูนางเช่นนี้ อีกไม่นานต้องแต่งนางแล้วยกให้เป็นฮูหยินแน่ ๆ วาสนานี่นะแข่งกันไม่ได้จริง ๆ" มิใช่ว่าไม่เห็นลี่ถังอยู่ตรงนั้น แต่สาวใช้ทั้งสองเลือกจะคุยและเหลือบมองมาที่นางอย่างตั้งใจเดิมทีตอนซูปี้ท้องโตขึ้นมา พวกนางก็ไม่รู้ว่าผู้ใดคือบิดาของเด็กในท้องเพราะซูปี้ไม่มีคนรัก อีกทั้งนายท่านและพ่อบ้านก็มิได้ตำหนิใด ๆ ที่ซูปี้ทำเรื่องน่าอับอายภายในจวน แต่ทุกสิ่งไขกระจ่างหลังจากที่นายท่านฟื้นจากโรดระบาด แท้จริงแล้วเด็กในท้องของซูปี้เป็นสายเลือดคนสกุลมู่นั่นเองทั้งสองสาวได้รับหน้าที่ยกอาหารมาที่เรือนรับรองนี้ หากไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้แขกอย่างนางฟัง จะพูดให้ใครได้ยินได้อีก ลี่ถังเม้มปากแน่น พลางก้มหน้ากินอาหารตรงหน้า หัวใจของนางราวกับถูกบีบจนแตกสลาย นางไม่เข้าใจว่ามู่เฉินโกรธเกลียดนางเพราะเหตุใด ถึงต้องขังนางเอาไว้ให้เจอกับเรื่องเช่นนี้ตอนแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายขังนางเอาไว้เพราะกลัวว่านางจะกลับไปพูดเรื่องถอน