บทที่ 1 รอคอย
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบเดือนเศษ
ลี่ถังตื่นมาตั้งแต่ยามยามอิ๋นเพื่อช่วยงานในร้าน นางเป็นบุตรสาวคนเล็กของลี่เจียง บิดาของนางเปิดเขียงขายหมู หรือจะเรียกว่าโรงเชือดก็ไม่ผิด เพราะจะซื้อเป็นจินก็ขาย จะซื้อเป็นชั่งก็ได้ หรืออยากจะซื้อยกทั้งตัว บิดาของนางก็นำไปส่งถึงจวน
“พี่ใหญ่ วันนี้ต้องไปส่งที่จวนสกุลมู่”
นางชะโงกหน้าเข้าไปยังห้องแล่เนื้อที่มีคนงานกำลังใช้มีดแบ่งเนื้อออกเป็นส่วน ๆ โดยมีบิดายืนสั่งงาน และพี่ชายของนางกำลังลงมือช่วยคนงานทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น
“คราวนี้สั่งกี่ตัวล่ะ” ลี่เจียงหันมาถามบุตรสาว
“สามตัวเจ้าค่ะ เห็นท่านป้าบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะขนส่งสินค้าที่กลับมาจากเมืองฉงชิ่ง”
นางตอบกลับด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แต่คนเป็นบิดามีหรือจะไม่รู้ว่าคนที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่แรกคลอด ลึก ๆ แล้วรู้สึกเช่นไร แต่ด้วยความเป็นบุรุษมือเปื้อนเลือด ใช้เพียงแรงงานแลกเงินเพื่อมาเลี้ยงดูบุตรชายและบุตรสาวเพียงลำพัง นิสัยจึงแข็งกระด้างปากหนัก ทำเพียงพยักหน้าตอบรับคำของบุตรสาว
ลี่ถังยืนมองบิดาและพี่ชายขะมักเขม้นกับการจัดเตรียมเนื้อหมูที่ต้องส่งไปยังจวนสกุลมู่ นางเติบโตมากับกลิ่นคาวเลือดของเขียงหมูตั้งแต่จำความได้ แม้จะคุ้นชิน แต่ลึก ๆ ในใจก็มีบางสิ่งที่นางไม่อาจเอ่ยออกมาได้
นางรู้ดีว่าในเมืองนี้ แม้โรงเชือดของบิดาจะทำให้ครอบครัวมีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง แต่ในสายตาของชนชั้นสูงแล้ว นางก็เป็นเพียง
บุตรสาวคนขายหมู
ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ถังเอ๋อร์ เจ้าไปเอาสมุดจดมาดูว่าเราต้องเตรียมอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” นางรีบตอบรับก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังห้องด้านใน
ในมือของนาง สมุดบัญชีถูกพลิกเปิดออก ลายมือของบิดาหยาบกระด้างแต่ก็อ่านออกทุกตัวอักษร นางใช้เวลาหลายปีคอยจัดการบัญชีให้ครอบครัว จดจำราคาสินค้า รายรับรายจ่าย และลูกค้าที่มาติดต่อซื้อขาย
แต่นางก็รู้… ไม่ว่าตนจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่มีวันได้รับการยอมรับจากผู้คนเหล่านั้น แต่วันนี้นางจำต้องเดินทางไปส่งสินค้าที่จวนสกลุมู่ด้วยตนเอง เพราะนางต้องการรู้ข่าวคราวของคู่หมาย ตั้งแต่มีโรคระบาดที่เมืองฉงชิ่ง เขาก็ขาดการติดต่อไป
แต่ในยามนี้ทางการประกาศว่าโรคระบาดควบคุมได้แล้ว สามารถเปิดเมืองให้สัญจรและค้าขายได้เช่นเดิม แต่ก็ยังไร้ข่าวคราวจากมู่เฉินคู่หมายของตน
ณ จวนสกุลมู่
ลี่ถังก้าวขาข้ามธรณีประตูใหญ่ด้วยหัวใจหนักอึ้ง ความแตกต่างระหว่างเขาและนางมีตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงความรู้สึกของผู้คนภายในจวนแห่งนี้
แต่เพราะว่ารัก
นางและเขาจึงจับมือกันหวังจะร่วมฝ่าฟันแรงกดดันนี้ไปด้วยกัน
เขาต้องเดินทางไปอยู่ต่างเมืองเพื่อพิสูจน์ตนเองเพื่อนาง นางจึงยอมอดทนรอเขาด้วยความหวัง
ลี่ถังเดินตามบ่าวรับใช้เข้ามาในจวนสกุลมู่ หัวใจของนางเต้นแรงด้วยความกังวลและความคาดหวัง ลี่ถังได้พบมารดาของอีกฝ่ายเพียงแค่ตอนที่อีกฝ่ายมากับแม่บ้านที่ตลาดเพื่อสั่งอาหารและวัตถุดิบในตลาด แม้จะเรียกท่านป้า เป็นเพราะอีกฝ่ายให้เรียกเช่นนั้นยามพบกันด้านนอก
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดในเมืองฉงชิ่ง ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาขาดหายไปโดยสิ้นเชิง และนี่เป็นโอกาสเดียวที่นางจะได้รู้ว่าเขายังปลอดภัยหรือไม่
“เชิญคุณหนูรอที่ศาลาริมสระ บ่าวจะไปเรียนฮูหยินว่าคุณหนูมาเยือน”
บ่าวรับใช้โค้งตัวก่อนรีบเดินจากไป ระหว่างเดินจากไปก็บิดปากชักสีหน้าใส่ ต้องมาเรียกคนที่ฐานะมิต่างกันเท่าใดว่า คุณหนู ช่างกระดากปากยิ่งนัก มิรู้คุณชายเล็กคิดเช่นไรถึงไปคว้าลูกสาวคนขายหมูมาเป็นคู่หมั้น
ลี่ถังนั่งลง ดวงตากวาดมองรอบ ๆ แม้จะเคยมาส่งเนื้อหมูที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาด้วยตนเองอย่างเป็นทางการเพียงลำพัง ปกตินางจะมากับมู่เฉิน
บรรยากาศของจวนใหญ่แห่งนี้สงบเงียบเกินไป มีเพียงเสียงลมพัดไหวและกลิ่นดอกเหมยจาง ๆ ที่ลอยมากับสายลม
ไม่นานนัก ฮูหยินมู่ก็ปรากฏตัว นางแต่งกายงดงามสมฐานะ ผู้เป็นมารดาของมู่เฉินกวาดสายตามองลี่ถังด้วยท่าทีเย็นชา ก่อนจะนั่งลงที่ตั่งไม้แกะสลักตรงข้าม
“เจ้ามีธุระอันใดถึงมาที่นี่ เจอกันที่ตลาดก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ”
น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเป็นกันเองเช่นยามที่พบกันที่ตลาด
ลี่ถังลุกขึ้นคำนับอย่างนอบน้อม “บ่าวคารวะฮูหยิน บ่าวมาเพื่อสอบถามข่าวคราวของมู่เฉิน ตั้งแต่เกิดโรคระบาด บ่าวไม่ได้รับข่าวของเขาเลย”
ฮูหยินมู่ปรายตามองนางพลางยกชาขึ้นจิบ
“แล้วอย่างไร”
“บ่าวเพียงต้องการทราบว่าเขาปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าค่ะ” ลี่ถังพยายามข่มความกังวลในใจ นางไม่สนใจสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย เพียงอยากได้รับคำตอบ
ฮูหยินมู่วางถ้วยชาเบา ๆ บนโต๊ะ “เขาส่งจดหมายรักให้เจ้าทุกเดือน เหตุใดเจ้าถึงได้มาถามข้าล่ะ”
“บ่าวไม่ได้รับจดหมายจากมู่เฉินมาหลายเดือนแล้ว เลยเป็นกังวลใจ ยิ่งเรื่องโรดระบาด…”
“เขายังส่งจดหมายมาให้ข้าเช่นเดิมมิขาด แม้กระทั่งตอนที่โรดระบาดระบาดหนักก็ยังส่งมาเล่าสถานการณ์ทางนั้น บุตรชายคนเล็กของข้าเบื่อเขียนจดหมายรักให้เจ้าแล้วกระมัง”
หลังจากออกจากจวนสกุลมู่ด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำ แม้คิดอยู่แล้วว่าต้องถูกพูดจาเช่นนั้น แต่นางก็ยังเดินไปให้เขาเหยียบย่ำถึงที่ แต่นางเป็นห่วงมู่เฉินจึงยอม
“ถังเอ๋อร์ เจอเจ้าพอดีเลย” ป้าเจียงกวักมือเรียกสตรีที่ตนคุ้นเคย เห็นนางมาตั้งแต่ยังไม่ปักปิ่น
“ป้าเจียงมาสั่งหมูหรือเจ้าคะ เมื่อเช้าตอนที่คนงานไปส่งที่ค่าย ไม่ได้ถามหรือว่าพรุ่งนี้สั่งเท่าไร”
“ถาม ๆ แต่พอดีข้าต้องการเพิ่มจากปกติอีก ห้าสิบตัว” ป้าเจียงรีบตอบเกรงคนงานจะถูกตำหนิ
ลี่ถังตาโต แม้ค่ายทหารที่ป้าเจียงเป็นแม่ครัวอยู่จะสั่งหมูวันละยี่สิบสามสิบตัวเป็นเรื่องปกติ แต่จะสั่งเพิ่มอีกห้าสิบตัว มันจะไม่กลายเป็นแปดสิบตัวเลยหรือ
“เหตุใดสั่งมากมายขนาดนั้น จะมีงานเลี้ยงหรือเจ้าคะ”
ป้าเจียงส่ายหัว “ไม่ ๆ ฝ่าบาทจะให้ทหารกองนี้เดินทางไปสมทบช่วยเหลือชาวบ้านที่เมืองฉงชิ่ง”
ลี่ถังวิ่งกลับบ้านด้วยหัวใจพองโตและคาดหวังว่าบิดาจะอนุญาต
“เจ้าอยากไปจริง ๆ หรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงเขา หากฝ่าบาทให้ทหารเดินทางเข้าออกได้ นั่นหมายถึงสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว แต่มู่เฉิน” เขาหายไปเช่นนี้ นางกังวล ไปถามคนสกุลมู่แล้วก็มิได้คำตอบ
“ข้าจะจ้างรถม้าเดินทางไปกับขบวนทหาร มีป้าเจียงด้วยปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางส่งสายตาอ้อนวอนบิดา ชี้ให้ท่านเห็นว่านางเดินทางไปหาคู่หมายถึงเมืองฉงชิ่งไม่มีอันตราย
บทที่ 10 คนหาย “ใครเฝ้าอยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มตะโกนลั่น คนงานที่เฝ้าอยู่เร่งเดินมาหา และสาวใช้ก็รีบวิ่งมา“นางไปไหน” คนทั้งสี่ส่ายหน้า สาวใช้บอกเช้านี้เอาอาหารมาให้ยังเห็นนางอยู่ ส่วนคนงานก็บอกว่าไม่เห็นนางเดินออกไป“บอกข้าแล้วอย่างไร ไปหาสิ” มู่เฉินอารมณ์เสีย เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหายไปได้ ด้านหลังจวนไม่มีอะไรนอกจากบ่อ วูบหนึ่งเขาหลงคิดว่านางอาจจะฆ่าตัวตาย แต่นางไม่ได้รักเขาขนาดนั้น นางคงไม่มีทางทำ หญิงใจง่ายที่มีคนอื่นทั้ง ๆ ที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ไม่ควรเสียใจที่คู่หมั้นมีอนุก่อนแต่งหรอก“เจอหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามพ่อบ้าน แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า “ให้คนตามอยู่ขอรับ นายท่านพักก่อนเถอะ” “ข้าไม่พัก แล้วทุกคนก็ห้ามพัก หาให้เจอ” เสียงของมู่เฉินดังจนเหล่าสาวใช้สะดุ้ง ดวงตาคมกริบตวัดมองบ่าวไพร่ของตนที่ยืนเรียงราย ทุกคนต่างหลบตาไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขา “นายท่าน... เราค้นทั่วเรือนแล้วขอรับ แต่...” “แต่อะไร”“ไม่มีขอรับ ไม่มีแม่นางลี่ถัง”“ไร้ประโยชน์” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิด ความรู้สึกในอกตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แค่คิดว่าลี่ถังกลับไปแล้ว หัวใจเขาก็บีบแน่น “ทุกคนฟัง
บทที่ 9 บ่อน้ำร้าง ตูม!!ลี่ถังกรีดร้องออกมา แต่เสียงขาดหายไปกลางอากาศ ร่างของนางเสียหลักและร่วงลงสู่ความมืดมิดน้ำเย็นเฉียบทะลักเข้าปากและจมูก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือน้ำ แต่ความลื่นของตะไคร่ทำให้นางจับขอบบ่อไม่ได้เลย“ช่วยด้วย!” นางพยายามร้อง แต่เสียงสะท้อนอยู่เพียงในความเงียบงันเหนือปากบ่อ เงาหนึ่งปรากฏขึ้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ค่อย ๆ ถอยออกไป ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงัดไม่มีใครอยู่ที่นั่น ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางถูกผลักลงมาน้ำเย็นเยียบราวกับจะดูดกลืนสติของนางไปทุกขณะไม่!นางกัดฟัน พยายามยันตัวเองขึ้น ทว่าพลังของนางค่อย ๆ ลดลงทุกขณะขณะที่สติเริ่มเลือนราง มีเพียงความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจของนางข้ายังไม่อยากตาย… ท่านพ่อ…พี่ใหญ่ความหนาวเย็นกัดกินไปถึงกระดูก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ แต่กำแพงหินของบ่อร้างทั้งสูงและลื่น ตะไคร่น้ำจับแน่นทำให้ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้มือของนางสั่นระริก ร่างกายเปียกโชกและชาดิกไปหมด เสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อครู่กลืนหายไปในความมืดมิด ไม่มีแม้เสียงฝีเท้าของผู้ใดเดินผ่านลมหายใจของนางเริ่มติดขัด เสื้อผ้าเปียกชุ่มทำให้ร่างกายหนักขึ้นเรื
บทที่ 8 หาทางหนี ลี่ถังเองก็คิดไม่ต่างกัน นางเองก็คิดว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไร้เยื่อขาดไยเช่นนี้นางควรรีบทำทุกอย่างให้จบ แม้จะถูกขังแต่หากอีกฝ่ายไม่เอาเชือกมามัดมือนางไว้ ลี่ถังก็ยังพยายามหาทางออกจากจวนนี้ทุกวันนางเคยคิดจะว่ายน้ำออกไป แต่น่าเสียดาย นางว่ายน้ำไม่แข็งขนาดนั้น จึงไม่สามารถว่ายผ่านบึงบัวขนาดใหญ่ด้านหลังจวนไปได้ อีกอย่างยามนี้ก็หนาว หากลงน้ำคงได้ไข้แม้จะลองใช้สารพัดวิธี แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ถูกเฝ้าจับตาไว้หมด และสุดท้ายก็ถูกลากกลับมาที่เรือนรับรองที่แปรเปลี่ยนเป็นห้องขัง แต่วันนี้ขณะหญิงสาวมาตักน้ำที่บ่อน้ำเก่าหลังเรือน สายตาก็เหลือบไปเห็นกิ่งต้นไม้ใหญ่ด้านบน คงเพราะก่อนหน้านางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงไม่ทันสังเกตเห็น แม้โคนต้นไม้นี้น่าจะอยู่ด้านนอกกำแพง แต่หากนางขึ้นไปบนกิ่งใหญ่นี่ได้ นางอาจจะใช้มันผ่านไปทางหลังคาและออกหลังกำแพงจวนไปได้ “แล้วจะขึ้นไปอย่างไรเล่า” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง นางไม่อาจปีนขึ้นจากพื้นได้ แต่หากปีนขึ้นจากหลังคาบ่อน้ำก็อาจจะพอเป็นไปได้ หัวใจของลี่ถังเต้นแรง นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของนาง หญิงสาวไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางรีบสำรวจหาหนทางที่จะข
บทที่ 7 หูเบา “วันนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ปกติดีเจ้าค่ะ” “ลมหนาวเช่นนี้ เจ้าต้องระวังสุขภาพให้มาก”“เจ้าค่ะ”“อยากกินอะไรพิเศษก็บอกกับสาวใช้ให้ไปซื้อ” ยิ่งฟังน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา ตั้งแต่วันแรกที่นางได้ยินคำเหล่านี้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ต่างกับการกระทำของมู่เฉินที่มีต่อนาง มันเปลี่ยนไปหมด หญิงสาวได้แต่ยืนฟังอยู่หลังหน้าต่างที่ถูกไม้ตีปิดเอาไว้ มีเพียงช่องลอดมองได้นิดหน่อย แต่ตัวผ่านไม่ได้ แต่ละวันผ่านไปด้วยความเจ็บปวดและชินชาที่ค่อย ๆ เกาะกินหัวใจจนมันเริ่มไร้ความรู้สึก ลี่ถังพยายามปลอบใจตัวเองแต่ก็ไม่มีถ้อยคำดี ๆ ที่จะทำให้รู้สึกสบายใจได้ แม้แต่เรื่องออกจากที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ออกไป เพราะทุกครั้งที่คิดจะหนี นางก็จบลงด้วยการกลับมาอยู่ในเรือนนี้พร้อมกับการป้องกันที่มากขึ้น ในเมื่อไม่มีใจแล้วจะรั้งเอาไว้ทำไม หญิงสาวคิดแล้วก็เผลอลืมไปว่าเขาขังนางเอาไว้ไม่ใช่เพราะรั้งนาง แต่กังวลว่านางจะทำเรื่องให้เขาเดือดร้อน น้ำตาใสไหลออกมาอีกหยดก่อนที่ร่างสวยจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น นางจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย ลี่ถังคิด ครั้งสุดท้าย...ลี่ถังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างบานเดิม เสียงคนทั
บทที่ 6 แสร้งป่วย สาวใช้อีกคนวางถาดอาหารแล้วรีบตรงเข้ามาเขย่าร่างของลี่ถังแต่ผลที่ได้ก็คือนิ่งเฉยเช่นกัน "เจ้าเป็นอะไรไป แม่นางลี่ถัง ไม่ได้การแล้ว ข้าจะไปบอกท่านพ่อบ้าน" สาวใช้คนแรกลนลานวิ่งออกไป ส่วนอีกคนก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของหญิงสาวที่นอนอยู่ มันไม่ได้ร้อนแต่มันกลับเย็นผิดปกติและยังมีเหงื่อซึมนางเร่งไปตักน้ำร้อนมาเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย หากนายท่านรู้ว่านางละเลยไม่ได้ดูแลอะไรเลยแขกของนายท่าน นางอาจจะโดนลงโทษเอาได้ อีกด้านสาวใช้คนแรกก็เร่งไปบอกพ่อบ้านที่กำลังคุยกับมู่เฉิน"ท่านพ่อบ้านเจ้าคะ แม่นาง แม่นางลี่ถังที่อยู่ในเรือนรับรองไม่สบายเจ้าค่ะ" นางพูดพร้อมกับหอบหายใจเมื่อมาถึงพ่อบ้านที่กำลังพูดคุยเรื่องงานกับเจ้านายของจวนชะงักและเหลือบมองไปที่มู่เฉิน เขากัดริมฝีปากตนเองน้อย ๆ อย่างไม่พอใจ ที่มู่เฉินวางทุกอย่างในมือแล้วลุกเดินออกไปทันทีพ่อบ้านหันไปมองหน้าสาวใช้อย่างคาดโทษก่อนจะเดินตามเจ้านายออกไป มู่เฉินเร่งเดินไปยังเรือนรับรองทันทีที่ได้ยินว่าลี่ถังไม่สบาย เขาไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาเป็นไปเช่นนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ใจเขาบอกให้ไม่สนใจนาง วันก่อนก็เช่นกัน แม้จะมีคนมากมายแต่สายตาของเขาก็ดัน
บทที่ 5 เกลียดกันเท่าไร ก็ยิ่งหนีไปไม่ได้"ช่วงนี้นายท่านช่างอ่อนโยนกับซูปี้เหลือเกิน" เสียงสาวใช้ดังแว่วเข้าหูลี่ถังแต่หญิงสาวก็มิได้เอ่ยอะไร "พวกเราต้องทำดี ๆ กับนางเอาไว้นะ นายท่านรักใคร่เอ็นดูนางเช่นนี้ อีกไม่นานต้องแต่งนางแล้วยกให้เป็นฮูหยินแน่ ๆ วาสนานี่นะแข่งกันไม่ได้จริง ๆ" มิใช่ว่าไม่เห็นลี่ถังอยู่ตรงนั้น แต่สาวใช้ทั้งสองเลือกจะคุยและเหลือบมองมาที่นางอย่างตั้งใจเดิมทีตอนซูปี้ท้องโตขึ้นมา พวกนางก็ไม่รู้ว่าผู้ใดคือบิดาของเด็กในท้องเพราะซูปี้ไม่มีคนรัก อีกทั้งนายท่านและพ่อบ้านก็มิได้ตำหนิใด ๆ ที่ซูปี้ทำเรื่องน่าอับอายภายในจวน แต่ทุกสิ่งไขกระจ่างหลังจากที่นายท่านฟื้นจากโรดระบาด แท้จริงแล้วเด็กในท้องของซูปี้เป็นสายเลือดคนสกุลมู่นั่นเองทั้งสองสาวได้รับหน้าที่ยกอาหารมาที่เรือนรับรองนี้ หากไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้แขกอย่างนางฟัง จะพูดให้ใครได้ยินได้อีก ลี่ถังเม้มปากแน่น พลางก้มหน้ากินอาหารตรงหน้า หัวใจของนางราวกับถูกบีบจนแตกสลาย นางไม่เข้าใจว่ามู่เฉินโกรธเกลียดนางเพราะเหตุใด ถึงต้องขังนางเอาไว้ให้เจอกับเรื่องเช่นนี้ตอนแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายขังนางเอาไว้เพราะกลัวว่านางจะกลับไปพูดเรื่องถอน