LOGINวันนี้อวี้เฟิ่งเข้ามาสอนเด็กกำพร้าเป็นวันสุดท้าย นางสอนตั้งแต่เช้าจรดเย็น วันนี้พิเศษกว่าทุกวันเด็กๆ ชวนนางวิ่งรอบกองไฟ ในยามค่ำคืน อีกทั้งแม่ของเด็กๆ ก็มาร่วมด้วยจนกลายเป็นการวิ่งรอบกองไฟที่สนุกสนาน อีกทั้งยังมีการขับร้องเพลงอวยพรให้อวี้เฟิ่ง อวี้เฟิ่งนางปีติยินดียิ่งนัก ก่อนจะกลับ พวกนางให้กระพรวนห้อยเพื่อขับสิ่งชั่วร้าย อวี้เฟิ่งจึงรับไว้ด้วยใจจริง
เช้าวันรุ่งขึ้นเตี่ยของอวี้เฟิ่งนั่งรถม้าคันใหญ่มาส่งที่ชายแดนเมืองฉู่หวั่นเข้าเขตเมืองฉางเทียน รวมระยะการเดินทางสามวันเต็มๆ จึงต่อเข้าเมืองหลวง นางจึงเลือกทางใกล้ที่สุดเพื่อเข้าเมืองหลวงโดยมีพ่อบ้านและสาวใช้ตามมาส่ง เมื่อถึงเขตวังหลวง นางมายืนรอต่อแถวกันกับหญิงสาวบุตรีขุนนางหลายพันคน เมื่อถึงตัวของอวี้เฟิ่งนางส่งป้ายและราชโองการให้ขันทีที่ประตูก่อนเข้าวังดู ขันทีดูใบหน้าของนางเผยยิ้มเล็กน้อย แล้วคืนป้ายหยกและราชโองการให้อวี้เฟิ่ง นางจึงเดินเข้าประตูทิศเหนือของวัง ทว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องนาง ขณะย่างก้าวเข้ารั่วของพระราชฐานชั้นนอก อวี้เฟิ่งและเหล่าหญิงสาวที่ได้เข้ามาในวังประมาณสองพันคน เดินมาตรงลานกว้างที่เหล่าขันทีประมาณร้อยคนพวกนางทีละแถว อวี้เฟิ่งอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมที่นี่มีแต่ขันที ไม่มีนางใน นางจึงเอ่ยถามหญิงสาวข้างแถว “นี้ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวังของต้าหวางมีแต่เหล่าขันที” เมื่ออวี้เฟิ่งถามจบ มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ต้าหวางไม่โปรดอิสตรีให้รับใช้ใกล้ชิด แต่เมื่อราชโองการออกมาเช่นนี้ เตี่ยของข้าจึงอยากให้ข้ามารับใช้ต้าหวางเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล” เมื่อหญิงสาวผู้นี้พูดขึ้น อวี้เฟิ่งนึกถึงเตี่ยของนางว่า กว่านางจะได้เข้ามาในวังถึงกับต้องชักแม่น้ำทั้งห้าไม่เช่นนั้นอย่าได้ย่างกายเข้ามาในวังแห่งนี้เลย เมื่อถึงตัวนาง ขันทีผู้หนึ่งมีบันทึกอยู่ที่มือ แล้วเอ่ยถามนางทันทีว่า “เจ้าแซ่อะไร” “แซ่ไป๋ ไป๋อวี้เฟิ่งเจ้าค่ะ” “มาจากเมืองใด” “เมืองฉู่หวั่นเจ้าค่ะ” “อายุ” “สิบสี่เจ้าค่ะ” ขันทีผู้นี้จึงเดินไปด้านหลังของนางแล้วถามคนอื่นต่อ หญิงสาวที่อวี้เฟิ่งถาม เมื่อครู่จึงหันมาคุยกับอวี้เฟิ่งต่อ “เจ้าแซ่ไป๋หรือ” “ใช่ ข้าแซ่ไป๋” “เตี่ยของเจ้าไป๋เจิ้นเจ้าเมืองฉู่หวั่นใช่หรือไม่” “ใช่แล้ว” “ดีจริงข้าเจอคนรู้จักแล้ว เหนียงชินของข้าก็แซ่ไป๋ ข้าหวังเม่ยเหนียง บุตรของหวังเฉาเฉิน เรียกข้าว่าเม่ยเหนียงดีกว่า” “เรียกข้าว่าอวี้เฟิ่งแล้วกัน” “ถ้าเราได้อยู่ต่อคงได้เจอกัน” วันต่อมา ถูกคัดเลือกเหลือห้าร้อยคน คนที่ไม่ได้ถูกเลือกก็โดนส่งกลับบ้านทันที วันนี้เหล่าขันทีต่างมาวัดมือและเท้าของพวกนาง วัดเสร็จก็ให้พวกนางเดินไปเดินมาหลายรอบ อวี้เฟิ่งบนในใจว่า เดินไปก็เดินมา เดินมาก็เดินไป เวียนหัวมา ก็เวียนหัวไป สามวันต่อมาอวี้เฟิ่งถูกเข้าวังอีกครั้งพร้อมกับหญิงสาวทั้งหกคน อวี้เฟิ่งจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่านางมีศัตรูที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนางมาตั้งแต่รอบแรกคือ จื่อหลาน กับผิงฮัว พวกนางสองคนไม่ค่อยชอบอวี้เฟิ่งนัก นางสองคนต่างริษยาในความรู้และความงามของนาง เช่นการตอบปัญหาเรื่องการปกครอง อวี้เฟิ่งตอบได้ดียิ่ง ว่าแต่มีคนเกลียดก็ต้องมีคนที่เคียงข้างอยู่ด้วยกับเสมอมาคือ หวังเม่ยเหนียง รู้จักตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา คนที่สองอิงเหม่ยฮัว ผู้ชอบกิน มีอะไรนางก็กินหมดแทบไม่เหลือ จนอวี้เฟิ่งตั้งฉายากูเหนียงจอมเขมือบ และคนที่สามจ้าวหลิวเซียว ผู้ชอบเล่านิทาน ทุกสิ่งทุกอย่างนางจับมาเล่าได้หมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ จนกระทั่งผีสางนางไม้นางเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้ อีกทั้งนางเป็นเม่ยเมยขององครักษ์จ้าวเสิ่น แต่นางไม่ได้ใช้เส้นของเกอเกอของนางแต่อย่างใด ขณะที่อวี้เฟิ่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเม่ยเหนียงที่นั่งอยู่ด้านข้างอวี้เฟิ่งจึงถามขึ้นมา “อวี้เฟิ่งหมูในเตาสุกแล้ว เจ้ากินได้ แล้วก่อนที่เหม่ยฮัวจะกินหมดเสียก่อน” เมื่อเม่ยเหนียงพูดเช่นนี้ เหม่ยฮัวรีบคีบหมูไปต่อหน้าต่อตาของอวี้เฟิ่งอย่างหน้าตาเฉย ขณะที่หลิวเซียงผู้ชำนาญการปิ้งย่างวางหมูเนื้อบางลงไปในตะแกรงเหล็กปิ้งบนเตาถ่าน “ไม่ต้องแย่งกันได้กินทุกคน” จ้าวหลิวเซียงเอ่ยบอก อวี้เฟิ่งหลิวเซียงเอ่ยบอกอวี้เฟิ่ง “จะว่าไปพวกเราเข้าวังมาหลายวัน เหล่าขันทีสอนแต่กฎระเบียบ แต่พวกเรายังไม่ได้ถวายงานเสียที” อวี้เฟิ่งกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย เหตุใดต้าหวางยังไม่เรียกไปรับใช้พระองค์เสียที “นั้นสิ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเห็นว่ากันว่าต้าหวางทรงจะมาเลือกด้วยพระองค์เอง” เหม่ยฮัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส จึงคีบหมูบนเตาถ่านมากินอีก “ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงอยากมาเป็นนางกำนัล?” อวี้เฟิ่งเอ่ยถามพวกนาง เม่ยเหนียงเอ่ยขึ้นมาขณะที่กินปลาหมดปลาแล้ว “เตี่ยของข้า อยากให้ข้ามาอยู่ในวังเพราะเขาอยากให้ข้ารับใช้ต้าหวาง อีกทั้งเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล แล้วเจ้าเล่าหลิวเซียว” เม่ยเหนียงเอ่ยถามจ้าวหลิวเซียวที่กำลังเอาเนื้อใส่ในเตาปิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียเหน็บแนม “จริงหรือ เม่ยเหนียงเจ้าเข้าวังมาเพราะเกอเกอของข้า เจ้าจะได้เห็นเขาทุกๆ วัน” “และแล้วความจริงก็ปรากฏ” เหม่ยฮัวและอวี้เฟิ่งพูดพร้อมกัน เม่ยเหนียงถึงกับอายอยากแทรกแผ่นดินหนี เม่ยเหนียงปฏิเสธขึ้นทันที “เปล่าเสียหน่อย เขากับข้าแค่คนรู้จัก รู้จักกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น พวกเจ้าทำไมมองหน้าข้าเช่นนี้” เม่ยเหนียงมองหน้าพวกนางที่กำลังมองตนเหมือนนางเป็นนักโทษ ที่กำลังหาความจริงจากปากของนาง “อย่ามองข้าเช่นนี้กันสิ เหม่ยฮัวแล้วเจ้าเล่า เข้าวังเพราะอะไร” เม่ยเหนียงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที เหม่ยฮัวที่กำลังกินไก่ปิ้งเอ่ยบอก “เรื่องนี้ล่ะ ที่เข้ามาอยู่ในวัง เตี่ยข้าบอกว่าข้ากินเถอะทุกวันกลัวบ้านจะยากจน จนไม่มีอะไรกิน จึงให้ข้าเข้ามาอยู่ในวัง อีกทั้งข้ายังได้เจอผู้ชายใบหน้างดงามเจริญตาดีใช่ไหมล่ะ” เหม่ยฮัวจบ แล้วกินต่อ “มาอยู่ในวังเพราะเรื่องกินและผู้ชาย” อวี้เฟิ่งเอ่ยแล้วยิ้ม อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยถามหลิวเซียงทันที “หลิวเซียงแล้วเจ้าเล่า อยากมาอยู่ในวังเพราะอะไร” เมื่ออวี้เฟิ่งถาม หลิวเซียงจึงเอ่ยตอบ “ข้าโดนไล่มาอยู่ในวังเพราะข้าหนีการแต่งงานมา เตี่ยอยากให้แต่งงาน ซึ่งข้าไม่ได้ชอบเขาเลย เพราะหน้ายังไม่เคยเห็น นิสัยของเขาข้าก็ไม่รู้ ข้าคิดว่าการเข้าวังคือทางรอดที่ดีที่สุด เมื่อหมดวาระต้าหวางก็ประทานคู่ให้สักคน แล้วเจ้าเล่าอวี้เฟิ่ง ทำไมเจ้าจึงอยากเข้ามาอยู่ในวัง” เมื่อหลิวเซียงเอ่ยถามเช่นนี้ นางอยากจะบอกว่าสมัครใจมาเอง มาอยู่รับใช้ใกล้ชิดต้าหวาง อีกทั้งนางชอบต้าหวางตั้งแต่จำความได้ จากที่เตี่ยเคยเล่าบ้างหรือตำราเรื่องราวการครองราชย์ของต้าหวาง อวี้เฟิ่งเงียบไปเหม่ยฮัวจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เหตุใดอวี้เฟิ่งจึงเงียบไป “อวี้เฟิ่งเหตุใดเจ้าจึงเงียบไป มีอะไรไม่สบายใจ” “ข้าเข้าวังมาเพราะข้าชอบตำราของหอฉีหนาน ได้ยินมาว่าตำราต่างแดนเก็บไว้อยู่ในหอฉีหนานจนหมดสิ้น ข้าจึงอยากเข้ามาศึกษา อีกทั้งยังได้รับใช้ต้าหวางถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของข้า” เมื่ออวี้เฟิ่งกล่าวจบ นางได้รับเสียงปรบมือจากพวกนางทั้งสาม เม่ยเหนียงจึงเอ่ยขึ้นด้วยความนับถือ “จิตใจเจ้าสูงส่งยิ่งนักอวี้เฟิ่ง สักวันเจ้าต้องได้ฟูจวินที่ดีและเพียบพร้อมเป็นแน่” “ขอให้จริงตามที่เจ้าว่า” อวี้เฟิ่งเผยยิ้มแหยๆ แล้วบรรจงกินต่อไป อย่าลืมเม้นท์และมอบหัวใจ เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะหวางโฮ่วทรงประทับยืนทอดพระเนตรมองต้าหวางจากพระบัญชร กงจู่ก้าวทรงย่างพระบาทเข้ามาหาพระนาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ถาม เมื่อมาประทับเยื้องด้านขวาของพระนาง “เหนียงชิน จะไม่ทรงพูดคุยกับฟู่จวินหรือเพคะ”ทันใดนั้นสุรเสียงของต้าหวางดังขึ้นเรียกความสนใจให้หวางโฮ่วและกงจู่“ดื่มเหล้าพันจอกมิรู้เมา เท่ากับเมารักพันปีมิรู้ลืม ถึงทรมานปานใดไม่ท้อถอย แม้ตัวตายข้าขอมิหวั่นเกรง”เมื่อพระนางได้สดับเช่นนี้ ทรงดำริได้ถึงครั้งที่ทรงเมามาย เมื่อต้าหวางทรงรับอิ๋งฟูเหรินมาเป็นฟูเหรินของพระองค์ เมื่อพระนางทรงบ่นรำพัน และตัดพ้อพระองค์ไปครั้งนั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงรับพระนางมาเป็นกุ้ยเฟย เข้ามาอยู่ในหยางหมิงกงจนถึงทุกวันนี้หวางโฮ่งทรงเสด็จลงมาจากเรือนพักของกงจู่ ทรงย่างก้าวย่างพระบาทดำเนินเข้ามาหาตรงพระพักตร์ของต้าหวาง พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระนาง หวางโฮ่วทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระองค์ทรงลุกขึ้นยืน ต้าหวางทรงทอดพระเนตรเช่นนี้จึงจับพระหัตถ์ของหวางโฮ่ว แล้วจึงลุกขึ้น ต้าหวางทรงมีตรัสต่อพระนาง“กลับวังกับข้าน่ะ”“หม่อมฉันก็สุขสบายดีแล้วเพคะ” หวางโฮ่วทรงดำรัสต่อพระองค์ ต้าหวางจึงจับพระหัตถ์พระนาง แล้วทรงตรัสถาม“เจ้ายังโกรธ
ต้าหวางลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งหึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณเขาทันที “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร” “เฉินเป่ยเยว่” ต้าหวางทรงดำริถึงนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอหวางโฮ่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกสนใจในตัวนางแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอวี้เฟิ่งเห็นชายผู้หนึ่งตรงมาหานาง นางได้จังหวะชกไปที่ท้องของโจรเต็มแรง แล้วหักมือให้กระบี่นั้นหลุดจากมือโจร อีกทั้งต้าหวางปิดชีพโจรตรงหน้านางด้วยในกระบี่เดียว โจรอีกคนชักกระบี่มาทางด้านหลังของนาง ต้าหวางเห็นเช่นนี้จึงดึงมือนาง ทำให้นางลอยเหนือพื้น เหวี่ยงตัวมาอยู่ในอ้อมพระกร ต้าหวางทรงปากระบี่ใส่โจรผู้นั้นตายเสีย ไม่ช้าราชองครักษ์เข้ามาทันที พร้อมกับหย่งเยี่ยและเหล่าขันที พวกโจร
“หวางโฮ่ว” ต้าหวางทรงดำรัสด้วยสุรเสียงดุดัน“มีอะไรเพคะ หรือว่าจะทรงลงโทษหม่อมฉันหรือเพคะ” หวางโฮ่วกล่าวด้วยสุรเสียงช้าๆ แต่ต้าหวางทรงตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาต่อพระนาง“เจ้าฆ่านางทำไม ข้าไม่เคยเอาหญิงใดมาตีเสมอเจ้า และชาตินี้ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวที่เป็นฟูเหรินของข้ามาตลอด ถึงข้าจะเคยมีฟูเหรินถึงสองคน แต่ไม่ยกนางให้สูงถึงขั้นสนม แต่ทำไมเจ้าต้องฆ่านาง ทั้งที่นางกับข้าบริสุทธิ์ใจไม่ได้กระทำอย่างชู้สาว”หวางโฮ่วทรงประทับยืน แล้วหันมาหาต้าหวาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ “ถ้านางเป็นนางกำนัลต่ำศักดิ์จริงๆ พระองค์คงไม่มาทรงพิโรธหม่อมฉันแบบนี้แน่”“เจ้า…ไป๋อวี้เฟิ่ง พอได้แล้ว หกตำหนักว่างเปล่าเพื่อเจ้ามาตลอดหลายปี เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ อีกทั้งคนในสกุลจางที่ตายไปทั้งครอบครัวโดยคำสั่งของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะฆ่าจางเฉา เหตุใดไม่ฆ่าเขาเพียงคนเดียว ทำไมต้องให้ผู้คนเหล่านั้นต้องตายด้วย”หวางโฮ่วทรงพระราชดำรัสต่อต้าหวางอย่างไม่ยำเกรง“เช่นนั้น ถ้าทรงดำริว่าหม่อมฉันทำผิดก็ปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งหวางโฮ่วเลยเพคะ และหม่อมฉันจะไม่วุ่นวายอีก” “นี่เจ้า ได้เพราะข้าก็ตามใจเจ้ามาตลอดอยู่
ต้าหวางทรงตื่นบรรทมรุ่งสาง อีกแค่หนึ่งยามก็จะเข้าประชุมเช้า ทว่าทรงเห็นไม่เห็นหวางโฮ่ว มีเพียงหย่งเยี่ยที่เข้ามาพร้อมกับถ้วยชา ต้าหวางทรงมึนพระเศียรเมื่อลุกขึ้นมาประทับนั่ง แล้วจึงตรัสถาม“หวางโฮ่ว นางไปไหน” “หม่อมฉันเห็นพระนางไปประทับที่อุทยาน”“ทำไมเมื่อคืนข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อีกทั้งทรงว่ายพระเศียร ทรงนึกคิดเรื่องเมื่อคืน ทรงจำได้ว่าทรงตรวจฎีกาเรื่องน้ำท่วม หลังจากนั้นทรงจำอะไรไม่ได้อีกเลยหวางโฮ่วทรงกลับเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับเหม่ยฮัว และเม่นเหนียง หลิวเซียวเชิญหมอหลวงเข้ามา พระนางนั่งบนตั่งแล้วจึงทรงตรัสถาม ให้ผิงอันนำพงกงยานที่อยู่ในห่อผ้าส่งให้หมอหลวงดู หมอหลวงจึงเปิดดูได้สัมผัสกลิ่นก็รู้โดยทันที แล้วจึงรีบปิดห่อผ้า หวางโฮ่วจึงตรัสถามด้วยความสงสัย“หมอหลวงเว่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดผสมในกำยานไม้จันทน์ขาวที่อยู่ในห่อนั้น”“ทูลหวางโฮ่ว ที่นั้นคือกำยานราคะ ยาชนิดนี้ใช้ได้กับบุรุษ แต่ไม่ออกฤทธิ์กับสตรี บุรุษใดสูดดมเข้าไปจะมีอาการกำหนัด อาจเห็นหน้าของคนที่ตนรักก็เป็นได้ ถ้าใช้เป็นเพลานาน อาจทำให้หลอนประสาทได้พระเจ้าค่ะ”“เรื่องนี้เรารู้เพียงเท่านี้ อย่าให้ผู้ใ
กาลเวลาหมุนวนผ่านพ้นไปถึงสิบหกปี ต้าหวางและหวางโฮ่วทรงมีพระชนฆมายุได้สี่สิบกว่าปี บัดนี้กงจู่หมิ่นลั่วย่างเข้าสิบหกพรรษา งดงามดั่งหวางโฮ่งเมื่อครั้งยังเยาว์วัย และสดใสร่าเริง ถ้าอยู่ในพิธีสำคัญกงจู่จะสงบนิ่ง เป็นหน้าเป็นตาใต้ต้าหวางและหวางโฮ่ว ย้อนกลับไปหลังจากประสูติกงจู่ได้สองปี หวางโฮ่วได้ประสูติอ๋องน้อยนามว่า “เฉินเจิ้น” อีกทั้งทั้งสองพระองค์ได้รับการอภิบาลจากหวางโฮ่ว และให้ราชครูสหายของไป๋เจิ้นเป็นผู้สอน ทั้งสององค์เรียกรู้วัยเกิดเด็กทั่ว หวางโฮ่วจึงสอนศาสตร์หลายแขนงที่นางเคยร่ำเรียนจากเตี่ย และกงจู่และอ๋องน้อยคอยไปเยี่ยมเยือนจวนของใต้เท้าไป๋ที่อยู่ในเมืองหลวงอยู่เสมอใดเนื่องด้วยต้าหวางมีราชโองการใต้เท้าไป๋ มาอยู่เมืองหลวง แต่ใต้เท้าไป๋เลือกที่จะออกจากราชการเพื่อไม่เป็นข้อครหาให้ใครมากล่าวร้ายว่า เตี่ยของพระนางเข้ายุ่งเกี่ยวในราชสำนัก อีกทั้งกงจู่และท่ายอ๋องน้อย ใต้เท้าไป๋เอ็นดูหลานทั้งสอง เกอเกอของพระนางคอยหาของเล่นให้เป็นประจำ หวางโฮ่วกลัวว่ากงจู่และอ๋องน้อยจะเสียคน มีแต่คนตามใจ หวางโฮ่วจึงให้เข้าวังและให้สลับอยู่ที่จวนบ้าง ส่วนกงจู่ยังไม่มีตำหนักนอกวังเช่นเดียวกับอ๋องน้อย จึง
พระกษิรธาราไหลจากพระถัน จึงทรงเสวยจากตรงนั้น หวางโฮ่วดิ้นรนใต้พระวรกายของพระองค์ ทันใดนั้นทรงเข้ามาในพระวรกายทันที ต้าหวางทรงเข้าและออกตามแต่พระทัยปรารถนา จนกระทั่งพระอารมณ์ดิบครอบงำ หวางโฮ่วทรงสะท้านไปทั้งพระวรกาย พระสติล่องลอยไปด้วยความลืมเลือน ต้าหวางทรงไม่ลดล่ะต่อการกระทํา จึงจับเพลาทั้งสองข้าง และส่งแรงทั้งหมดส่งหา หวางโฮ่วกรีดร้องอย่างลืมองค์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หวางโฮ่วทรงปลดปล่อยสายธาร ต้าหวางเอาแต่พระทัยไม่ปล่อยให้พระนางหายพระทัย มิหนำซ้ำยังดื่มจากพระถันอวบอิ่ม เนื่องด้วยน้ำนมไหลรินออกมาจากกายของพระนางยิ่งพระนางกรีดร้องมาก็เท่าไร ต้าหวางยิ่งทรงบรรเลงเพลงรักไม่รู้เหนื่อย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสามเดือนพระองค์ไม่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับพระนาง ต้าหวางกลัวว่าพระนางจะเจ็บ แต่ตอนนี้พระองค์จึงไม่ดำริที่จะถนอมพระนางบ้างเลย จนในที่สุดต้าหวางทรงปลดปล่อยสู่ตัวพระนาง ต้าหวางทรงประทับลงที่พระโอษฐ์ แล้วเอ่ยถามพระนาง“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“นิดหน่อย”ต้าหวางทรงลงพระทับบนตั่ง หวางโฮ่วจึงสวมกอดพระวรกายของต้าหวาง ทรงใช้พระหัตถ์เช็ดเหงื่อบนพระพักตร์ของหวางโฮ่ว “เจ้ามีสิ่งใดอย่าเก็บไว้คนเดียว มีข้




![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

![ตำนานรักแผ่นดินกงซุน [NC25+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
