Masukอวี้เฟิ่งกลับมายังเรือนไม้ลี่ฟาง เพื่อนๆ ของนางนั่งรอนางที่ตั่งในห้องโถง เม่ยเหนียงเปิดเรื่องถามก่อน (ลี่ฟาง แปลว่า กลิ่นหอมสวยงาม)
“อวี้เฟิ่งเจ้าไปไหนมา ถึงมาเอาป่านนี้ รู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน” เม่ยเหนียงพูดอยู่นั้น อวี้เฟิ่งนั่งลงตรงตั่งที่ว่าง แล้วจึงรินน้ำชาดื่มหมดแก้ว เหม่ยฮัวเอ่ยแผ่วเบา “อวี้เฟิ่งใจเย็นๆ ค่อยๆ กิน” เหม่ยฮัวเอ่ยบอก รินชาใส่แก้วให้อวี้เฟิ่ง “ข้าไปเข้าเฝ้าต้าหวางมา” อวี้เฟิ่งเอ่ยขึ้น “เจ้าไปเจอต้าหวางมา ต้าหวางทรงเอ่ยกล่าวเช่นไรบ้าง” หลินเซียวเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น เมื่อพวกนางอยากรู้ อวี้เฟิ่งจึงไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทียนลู่ให้พวกนางฟังจนจบครบถ้วนกระบวนความ ทำให้พวกนางตื่นเต้น และตื่นตกใจกับสิ่งที่อวี้เฟิ่งประสบมา “สิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั้น ต้าหวางของพวกเราประสบกับการลอบสังหารทุกเมื่อ เช่นนี้แล้วพรุ่งนี้เจ้าต้องไปหาต้าหวาง ตั้งแต่ยามเหมา เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ” เหม่ยฮัวพูดด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของอวี้เฟิ่งจากใจจริง “นั้นสิ เจ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เจ้าจะไปเสี่ยงตายแบบนี้ไม่ได้ ข้าไม่ให้เจ้าไป” เม่ยเหนียงเอ่ยด้วยความเป็นห่วงอีกคน “เช่นนั้นเจ้าจะไปเองหรือ” อวี้เฟิ่งถามพวกนาง “ไม่ไป กลัวตาย ข้ารักษาชีวิตน้อยๆ ของข้าดีกว่า” เหม่ยฮัวเอ่ยขึ้น อีกทั้งยังส่ายหน้าเป็นหลักฐาน “อวี้เฟิ่งเจ้าเข้าไปในตำหนัก เจ้าต้องระวังตัวให้มากรู้ไหม” หลินเซียวเอ่ยกำชับ “รู้แล้ว ข้าจะระวังตัวให้ดีไม่ให้ใครมาทำร้ายได้ ข้าจะมาหาเจ้าครบทุกส่วน ข้ารับรอง” อวี้เฟิ่งดื่มชาจนหมดอีกครั้ง แล้วถอนหายใจยาวๆ เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้เฟิ่งขอบตาดำขับ เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน นางกลัวว่าตื่นไม่ทันยามเหมา นางจึงเดินไปอาบน้ำเย็นให้หายง่วงนอน จากนั้นจึงแต่งตัวไปเทียนลู่กง ย่างก้าวเข้าไปในตำหนักนางไม่เห็นเหล่าขันที จึงคิดว่านางคงมาเช้ากว่าผู้อื่นความจริงนางมาถึงที่นี่ยังไม่ถึงยามเหมาเสียด้วยซ้ำ จึงเป็นไปได้ว่าเหล่าขันทียังไม่มาทำงาน นางได้กลิ่นกำยานไม้จันทน์ขาวดับหมดไปแล้ว นางจึงมองกระถางกำยานสีทองกลางห้องโถง จุดไฟในกระถางวางไม้จันทน์ขาวลงไปทีละชิ้น จนครบแปดชิ้นตามที่มหาขันทีหย่งเยี่ยเคยสอนนางไว้ ครั้งตอนเข้าวัง แล้วจึงเดินมายังม่านขาว มองไปด้านในเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ทำจากไม้จันทน์ขาว เห็นว่าตอนนี้ ต้าหวางคงอยู่ในห้องบรรทม อวี้เฟิ่งคิดได้เช่นนั้น จึงเดินเข้าผ่านม่านขาวเข้าไปในห้องทรงน้ำ อวี้เฟิ่งเห็นผ้าขาวพาดอยู่บนราวตาก นางจึงหยิบลงมาคิดว่าต้าหวางคงฉลองพระองค์มาก่อนหน้านี้แล้ว นางจึงหยิบไปไว้ในตะกร้า อวี้เฟิ่งเดินไปที่อ่างอีกครั้ง เห็นเสื้อผ้าที่วางทิ้งเป็นอาภรณ์สีขาว สาบเสื้อเป็นสีแดง นางคิดว่าคงเป็นของต้าหวางนางจึงหยิบขึ้นมา คิดในใจว่า ทำไมเป็นถึงต้าหวาง แต่หาความเรียบร้อยไม่มี จะตำหนิก็ไม่ได้ ทรงเป็นหวางจื่อตั้งแต่ทรงจุติ อีกทั้งมีคนรับใช้ คนอย่างเขามีหรือจะเรียบร้อย ขนาดนางเองมีสาวใช้ยังไม่ให้สาวใช้ทำ แต่ก็ช่างเถอะ (หวางจื่อ แปลว่า องค์ชาย) อวี้เฟิ่งคิดเช่นนี้จึงหมายเก็บอาภรณ์ของต้าหวาง แล้วจึงเอาไปเก็บ ทันใดนั้นสิ่งที่นางตกใจแทบสิ้นสติ จนร้องอุทานขึ้น อวี้เฟิ่งเห็นบุรุษโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ทำให้นางตกใจนั้นคือ ต้าหวาง นางจึงถอยหนีไปตั้งหลัง ต้าหวางทรงลูบพระพักตร์มองนางด้วยความแปลกใจยิ่งนัก “เจ้ามาเร็วไป” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนั้น อวี้เฟิ่งมองต้าหวาง ด้วยดวงตากลมโตด้วยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต้าหวางทรงขึ้นจากอ่างน้ำอย่างหน้าตาเฉย อวี้เฟิ่งมองต้าหวางไม่ได้ตั้งใจ จึงรีบหันหนีทั้งที่รู้ว่าพระองค์สวมอาภรณ์ขาวปิดเบื้องล่างอยู่ อวี้เฟิ่งได้ยินฝีเท้าของต้าหวางก้าวย่างพระดำเนินไปหยิบเสื้อผาวรูดลงจากราวจับ และเสียงสวมอาภรณ์จึงดังขึ้น และผ้าอีกชิ้นร่วงหล่นจากพื้น “เสี่ยวเฟิ่ง” อวี้เฟิ่งไม่เข้าใจว่าต้าหวางทรงเรียกใคร จึงไม่ได้หันไป ต้าหวางจึงทรงเรียกอีกครั้งหนึ่ง “เสี่ยวเฟิ่ง” อวี้เฟิ่งรู้แน่ชัดว่าเรียกนาง นางจึงหันไปหาต้าหวางที่ทรงสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยกับพระองค์ว่า “ต้าหวางทรงเรียกใครเพคะ ว่าเสี่ยวเฟิ่ง” อวี้เฟิ่งเอ่ยถามต้าหวางทรงใช้พระหัตถ์ดีดไปที่หน้าผากของนางเบาๆ แต่ทำให้นางเจ็บจนเอามือลูบบ่นเบาๆ บนหน้าผาก “เจ็บนะเพคะ” “ข้าเรียกเจ้าถึงสองครั้งเจ้ากลับไม่หันกลับมา นี่คือการลงโทษที่ไม่ฟังคำสั่งของข้า” “หม่อมฉันอวี้เฟิ่ง ไม่ใช่เสี่ยวเฟิ่งต้าหวางจำสับสนหรือเพคะ” “เจ้าเห็นใครในห้องนี้หรือไม่” ต้าหวางทรงดำริเช่นนี้ อวี้เฟิ่งจึงมองรอบห้องกลับไม่มีใครนอกจากต้าหวาง และตัวเองเท่านั้น นางจึงส่ายหัว “ไม่มีเพคะ” “เจ้าจัดเสื้อให้ข้า เสื้ออยู่ในหีบ” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนั้นทรงดำเนินจากห้องสรงน้ำไปยังโต๊ะเสวย อวี้เฟิ่งเห็นเช่นนั้นจึงเดินไปที่หีบเสื้อผ้า นางเปิดหีบออกเป็นชุดสีขาวและสีแดงทั้งสิ้น นางคิดว่าเป็นชุดตัวนอกเป็นแน่ นางจึงวางบนราวแขวน แล้วจึงเดินไปหาต้าหวางที่โต๊ะทรงเสวย ต้าหวางทรงทอดพระเนตรนาง อีกทั้งทรงตรัสว่า “ชิมอาหารเหล่านี้ทั้งหมด” เมื่อต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อวี้เฟิ่งจึงมองดูอาหารเหล่านี้มีมากมายหลากหลายมากนัก นางนับดูแล้วมีทั้งสิ้นสิบสี่จาน แต่ละจานจะเป็นปลาเปรี้ยวหวาน โจ๊กเป๋าฮื้อ ไก่ตุ๋นโสม อีกมากมายอวี้เฟิ่งมองดูรู้สึกว่าทำไมต้าหวางเสวยมากมายอะไรถึงเพียงนี้ “จะให้ข้ากินพรุ่งนี้หรือ” อวี้เฟิ่งหยิบชามลองชิมกับตะเกียบเงินขึ้นมา แล้วจึงเดินชิมอาหารแต่ละอย่าง อย่างละคำจนครบ แล้วจึงเอ่ยกับต้าหวางว่า “พระกระยาหารเหล่านี้ไม่มีพิษเพคะ” อวี้เฟิ่งทูลบอก แล้ววางจานกับตะเกียบลง “นั่งลง” ต้าหวางทรงตรัส ขณะอวี้เฟิ่งถอยห่าง “หม่อมฉันจะนั่งเทียบพระองค์ได้อย่างไร” “ครั้งก่อนเจ้ายังนั่งม้าของข้า แล้วทำไมตอนนี้ถึงนั่งเก้าอี้ข้างข้าไม่ได้” “ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้” “ตอนนี้รู้แล้ว ก็นั่งลง” “ไม่ได้มันผิดกฎเพคะ” “เจ้าจะนั่งเอง หรือจะให้ข้ายืนกับเจ้า” ต้าหวางทรงยื่นคำขาด อวี้เฟิ่งจึงจำใจนั่งลง ต้าหวางจึงส่งจานของพระองค์ให้นาง อวี้เฟิ่งมองพระพักตร์ด้วยความงุนงง “กินแทนข้า” “ต้าหวาง” “ข้าจะเข้าท้องพระโรง” ต้าหวางทรงลุกขึ้นจากเก้าอี้ อวี้เฟิ่งมองมาทางต้าหวางแล้วเอ่ยถาม “ต้าหวางพระองค์จะไม่เสวยหรือเพคะ” “ข้ากินแล้ว” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนั้นแล้วทรงเสด็จออกไป อวี้เฟิ่งมองอาหารเหล่านั้นด้วยความสงสารบวกกับความหิว “ในเมื่อพระองค์ไม่เสวย เช่นนั้นเสร็จโจรเช่นข้า” อวี้เฟิ่งจึงบรรจงกินอาหารแต่ละอย่างจนหมดด้วยความเสียดาย เหลือเพียงห้าจานสุดท้าย ที่นางกินไม่ไหว แต่นางลองชิมและกินแล้ว สู้อาหารที่นางทำไม่ได้เลยแต่อย่างเดียว นางคิดว่า ถ้าต้าหวางให้นางเหมือนพวกเพื่อนๆ ของนางก็จะดีไม่น้อยหวางโฮ่วทรงประทับยืนทอดพระเนตรมองต้าหวางจากพระบัญชร กงจู่ก้าวทรงย่างพระบาทเข้ามาหาพระนาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ถาม เมื่อมาประทับเยื้องด้านขวาของพระนาง “เหนียงชิน จะไม่ทรงพูดคุยกับฟู่จวินหรือเพคะ”ทันใดนั้นสุรเสียงของต้าหวางดังขึ้นเรียกความสนใจให้หวางโฮ่วและกงจู่“ดื่มเหล้าพันจอกมิรู้เมา เท่ากับเมารักพันปีมิรู้ลืม ถึงทรมานปานใดไม่ท้อถอย แม้ตัวตายข้าขอมิหวั่นเกรง”เมื่อพระนางได้สดับเช่นนี้ ทรงดำริได้ถึงครั้งที่ทรงเมามาย เมื่อต้าหวางทรงรับอิ๋งฟูเหรินมาเป็นฟูเหรินของพระองค์ เมื่อพระนางทรงบ่นรำพัน และตัดพ้อพระองค์ไปครั้งนั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงรับพระนางมาเป็นกุ้ยเฟย เข้ามาอยู่ในหยางหมิงกงจนถึงทุกวันนี้หวางโฮ่งทรงเสด็จลงมาจากเรือนพักของกงจู่ ทรงย่างก้าวย่างพระบาทดำเนินเข้ามาหาตรงพระพักตร์ของต้าหวาง พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระนาง หวางโฮ่วทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระองค์ทรงลุกขึ้นยืน ต้าหวางทรงทอดพระเนตรเช่นนี้จึงจับพระหัตถ์ของหวางโฮ่ว แล้วจึงลุกขึ้น ต้าหวางทรงมีตรัสต่อพระนาง“กลับวังกับข้าน่ะ”“หม่อมฉันก็สุขสบายดีแล้วเพคะ” หวางโฮ่วทรงดำรัสต่อพระองค์ ต้าหวางจึงจับพระหัตถ์พระนาง แล้วทรงตรัสถาม“เจ้ายังโกรธ
ต้าหวางลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งหึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณเขาทันที “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร” “เฉินเป่ยเยว่” ต้าหวางทรงดำริถึงนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอหวางโฮ่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกสนใจในตัวนางแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอวี้เฟิ่งเห็นชายผู้หนึ่งตรงมาหานาง นางได้จังหวะชกไปที่ท้องของโจรเต็มแรง แล้วหักมือให้กระบี่นั้นหลุดจากมือโจร อีกทั้งต้าหวางปิดชีพโจรตรงหน้านางด้วยในกระบี่เดียว โจรอีกคนชักกระบี่มาทางด้านหลังของนาง ต้าหวางเห็นเช่นนี้จึงดึงมือนาง ทำให้นางลอยเหนือพื้น เหวี่ยงตัวมาอยู่ในอ้อมพระกร ต้าหวางทรงปากระบี่ใส่โจรผู้นั้นตายเสีย ไม่ช้าราชองครักษ์เข้ามาทันที พร้อมกับหย่งเยี่ยและเหล่าขันที พวกโจร
“หวางโฮ่ว” ต้าหวางทรงดำรัสด้วยสุรเสียงดุดัน“มีอะไรเพคะ หรือว่าจะทรงลงโทษหม่อมฉันหรือเพคะ” หวางโฮ่วกล่าวด้วยสุรเสียงช้าๆ แต่ต้าหวางทรงตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาต่อพระนาง“เจ้าฆ่านางทำไม ข้าไม่เคยเอาหญิงใดมาตีเสมอเจ้า และชาตินี้ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวที่เป็นฟูเหรินของข้ามาตลอด ถึงข้าจะเคยมีฟูเหรินถึงสองคน แต่ไม่ยกนางให้สูงถึงขั้นสนม แต่ทำไมเจ้าต้องฆ่านาง ทั้งที่นางกับข้าบริสุทธิ์ใจไม่ได้กระทำอย่างชู้สาว”หวางโฮ่วทรงประทับยืน แล้วหันมาหาต้าหวาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ “ถ้านางเป็นนางกำนัลต่ำศักดิ์จริงๆ พระองค์คงไม่มาทรงพิโรธหม่อมฉันแบบนี้แน่”“เจ้า…ไป๋อวี้เฟิ่ง พอได้แล้ว หกตำหนักว่างเปล่าเพื่อเจ้ามาตลอดหลายปี เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ อีกทั้งคนในสกุลจางที่ตายไปทั้งครอบครัวโดยคำสั่งของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะฆ่าจางเฉา เหตุใดไม่ฆ่าเขาเพียงคนเดียว ทำไมต้องให้ผู้คนเหล่านั้นต้องตายด้วย”หวางโฮ่วทรงพระราชดำรัสต่อต้าหวางอย่างไม่ยำเกรง“เช่นนั้น ถ้าทรงดำริว่าหม่อมฉันทำผิดก็ปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งหวางโฮ่วเลยเพคะ และหม่อมฉันจะไม่วุ่นวายอีก” “นี่เจ้า ได้เพราะข้าก็ตามใจเจ้ามาตลอดอยู่
ต้าหวางทรงตื่นบรรทมรุ่งสาง อีกแค่หนึ่งยามก็จะเข้าประชุมเช้า ทว่าทรงเห็นไม่เห็นหวางโฮ่ว มีเพียงหย่งเยี่ยที่เข้ามาพร้อมกับถ้วยชา ต้าหวางทรงมึนพระเศียรเมื่อลุกขึ้นมาประทับนั่ง แล้วจึงตรัสถาม“หวางโฮ่ว นางไปไหน” “หม่อมฉันเห็นพระนางไปประทับที่อุทยาน”“ทำไมเมื่อคืนข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อีกทั้งทรงว่ายพระเศียร ทรงนึกคิดเรื่องเมื่อคืน ทรงจำได้ว่าทรงตรวจฎีกาเรื่องน้ำท่วม หลังจากนั้นทรงจำอะไรไม่ได้อีกเลยหวางโฮ่วทรงกลับเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับเหม่ยฮัว และเม่นเหนียง หลิวเซียวเชิญหมอหลวงเข้ามา พระนางนั่งบนตั่งแล้วจึงทรงตรัสถาม ให้ผิงอันนำพงกงยานที่อยู่ในห่อผ้าส่งให้หมอหลวงดู หมอหลวงจึงเปิดดูได้สัมผัสกลิ่นก็รู้โดยทันที แล้วจึงรีบปิดห่อผ้า หวางโฮ่วจึงตรัสถามด้วยความสงสัย“หมอหลวงเว่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดผสมในกำยานไม้จันทน์ขาวที่อยู่ในห่อนั้น”“ทูลหวางโฮ่ว ที่นั้นคือกำยานราคะ ยาชนิดนี้ใช้ได้กับบุรุษ แต่ไม่ออกฤทธิ์กับสตรี บุรุษใดสูดดมเข้าไปจะมีอาการกำหนัด อาจเห็นหน้าของคนที่ตนรักก็เป็นได้ ถ้าใช้เป็นเพลานาน อาจทำให้หลอนประสาทได้พระเจ้าค่ะ”“เรื่องนี้เรารู้เพียงเท่านี้ อย่าให้ผู้ใ
กาลเวลาหมุนวนผ่านพ้นไปถึงสิบหกปี ต้าหวางและหวางโฮ่วทรงมีพระชนฆมายุได้สี่สิบกว่าปี บัดนี้กงจู่หมิ่นลั่วย่างเข้าสิบหกพรรษา งดงามดั่งหวางโฮ่งเมื่อครั้งยังเยาว์วัย และสดใสร่าเริง ถ้าอยู่ในพิธีสำคัญกงจู่จะสงบนิ่ง เป็นหน้าเป็นตาใต้ต้าหวางและหวางโฮ่ว ย้อนกลับไปหลังจากประสูติกงจู่ได้สองปี หวางโฮ่วได้ประสูติอ๋องน้อยนามว่า “เฉินเจิ้น” อีกทั้งทั้งสองพระองค์ได้รับการอภิบาลจากหวางโฮ่ว และให้ราชครูสหายของไป๋เจิ้นเป็นผู้สอน ทั้งสององค์เรียกรู้วัยเกิดเด็กทั่ว หวางโฮ่วจึงสอนศาสตร์หลายแขนงที่นางเคยร่ำเรียนจากเตี่ย และกงจู่และอ๋องน้อยคอยไปเยี่ยมเยือนจวนของใต้เท้าไป๋ที่อยู่ในเมืองหลวงอยู่เสมอใดเนื่องด้วยต้าหวางมีราชโองการใต้เท้าไป๋ มาอยู่เมืองหลวง แต่ใต้เท้าไป๋เลือกที่จะออกจากราชการเพื่อไม่เป็นข้อครหาให้ใครมากล่าวร้ายว่า เตี่ยของพระนางเข้ายุ่งเกี่ยวในราชสำนัก อีกทั้งกงจู่และท่ายอ๋องน้อย ใต้เท้าไป๋เอ็นดูหลานทั้งสอง เกอเกอของพระนางคอยหาของเล่นให้เป็นประจำ หวางโฮ่วกลัวว่ากงจู่และอ๋องน้อยจะเสียคน มีแต่คนตามใจ หวางโฮ่วจึงให้เข้าวังและให้สลับอยู่ที่จวนบ้าง ส่วนกงจู่ยังไม่มีตำหนักนอกวังเช่นเดียวกับอ๋องน้อย จึง
พระกษิรธาราไหลจากพระถัน จึงทรงเสวยจากตรงนั้น หวางโฮ่วดิ้นรนใต้พระวรกายของพระองค์ ทันใดนั้นทรงเข้ามาในพระวรกายทันที ต้าหวางทรงเข้าและออกตามแต่พระทัยปรารถนา จนกระทั่งพระอารมณ์ดิบครอบงำ หวางโฮ่วทรงสะท้านไปทั้งพระวรกาย พระสติล่องลอยไปด้วยความลืมเลือน ต้าหวางทรงไม่ลดล่ะต่อการกระทํา จึงจับเพลาทั้งสองข้าง และส่งแรงทั้งหมดส่งหา หวางโฮ่วกรีดร้องอย่างลืมองค์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หวางโฮ่วทรงปลดปล่อยสายธาร ต้าหวางเอาแต่พระทัยไม่ปล่อยให้พระนางหายพระทัย มิหนำซ้ำยังดื่มจากพระถันอวบอิ่ม เนื่องด้วยน้ำนมไหลรินออกมาจากกายของพระนางยิ่งพระนางกรีดร้องมาก็เท่าไร ต้าหวางยิ่งทรงบรรเลงเพลงรักไม่รู้เหนื่อย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสามเดือนพระองค์ไม่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับพระนาง ต้าหวางกลัวว่าพระนางจะเจ็บ แต่ตอนนี้พระองค์จึงไม่ดำริที่จะถนอมพระนางบ้างเลย จนในที่สุดต้าหวางทรงปลดปล่อยสู่ตัวพระนาง ต้าหวางทรงประทับลงที่พระโอษฐ์ แล้วเอ่ยถามพระนาง“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“นิดหน่อย”ต้าหวางทรงลงพระทับบนตั่ง หวางโฮ่วจึงสวมกอดพระวรกายของต้าหวาง ทรงใช้พระหัตถ์เช็ดเหงื่อบนพระพักตร์ของหวางโฮ่ว “เจ้ามีสิ่งใดอย่าเก็บไว้คนเดียว มีข้







