Chapter 2
ภายในตลาดในเมืองหลานหยูที่เต็มไปด้วยร้านค้าเต็มสองข้างทาง มีร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านขายของชำและสินค้าอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในอาคารไม้สองชั้นอีกนับสิบร้าน หากเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นท่าเรือ ที่มีระบบขนส่งครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือโดยสาร ท่าเรือเพื่อการค้าขาย
หนึ่งในเรือหลายลำที่แล่นมาจอดเทียบท่า เป็นเรือไม้กลางเก่ากลางใหม่ มีผู้โดยสารมาสามคน และเมื่อเรือจอดสนิท บุรุษทั้งสามได้ก้าวลงมาจากเรือ บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตารูปงาม ท่าทางมีอำนาจวาสนาน่าเกรงขาม ผิวพรรณดูดีราวกับเป็นบุตรคนมีตระกูล ซึ่งก็น่าใช่ ดูได้จากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต่างกับชาวบ้านทั่วไป เขาสะบัดพัดในมือแล้วโบกเข้าตัวช้าๆ
“เมืองนี้ใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ” องค์รัชทายาทบอกจวนจูเหลียงกับติงเสี่ยว องครักษ์และเป็นเพื่อนรักของตน “เจ้าสองคนอย่าลืมที่ข้าสั่งนะ ห้ามเรียกข้าว่า องค์รัชทายาทเด็ดขาด และให้พูดกับข้าเป็นภาษาชาวบ้านด้วย”
การเดินทางมาต่างเมืองแบบส่วนตัวในครั้งนี้ องค์รัชทายาทไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เขาต้องการท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ เยี่ยงบุคคลธรรมดา หากเขามาในฐานะองค์รัชทายาท การเที่ยวก็จะไม่มีอรรถรส และเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะจะมีเหล่าเจ้าเมืองและขุนนางประจำเมืองนั้นล้อมหน้าล้อมหลัง ซึ่งเขาไม่มีความชอบเลยสักนิดเดียว
บุรุษทั้งสามเดินเข้าไปในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายรองลงมาจากเมืองหลวง ซึ่งของที่ขายก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองหลวง หรือเมืองอื่นๆ ที่เขาเคยไป แต่ที่จะต่างก็คงจะเป็นผ้าแพรสินค้าขึ้นชื่อของเมืองนี้ เขายังจำได้ว่า เจ้าเมืองหลานหยูส่งเสื้อคลุมทองคำให้บิดาเป็นของกำนัล บิดาโปรดเสื้อคลุมตัวนั้นมาก มักใส่ว่าราชการบ่อยครั้ง
ระหว่างที่สามหนุ่มกำลังเดินดูข้าวของตามร้านต่างๆ และวิถีชีวิตของชาวบ้าน จางม่านอวี้กับหลินหลิน สาวใช้คนสนิทกำลังเดินอยู่ในตลาด ก่อนจะแวะร้านขายซาลาเปาและหมั่นโถวริมข้างทาง
“คุณหนูสี่รับอะไรดีขอรับ” คนขายถามจางม่านอวี้อย่างคุ้นเคย
“เอาซาลาเปาสามลูก” สั่งเสร็จ จางม่านอวี้ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ลูกค้านั่ง หลินหลินรินน้ำชาใส่จอก แล้วจัดวางไว้ตรงหน้าเจ้านายสาว
“คุณหนูสั่งมาทำไมตั้งสามลูกเจ้าคะ เรามากันสองคนนะเจ้าคะ คนละลูกก็พอ หรือไม่ก็สั่งซาลาเปาสองลูกกับหมั่นโถวหนึ่งลูกก็ได้เจ้าค่ะ”
“ข้าหิวนี่นา ข้ากินสองลูก เจ้ากินหนึ่งลูกไง แล้วที่ข้าไม่สั่งหมั่นโถว เพราะไม่มีหมั่นโถวที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือต้าเหว่ย ในเมื่อกินแล้วไม่อร่อยข้าจะสั่งมากินทำไม”
การพูดคุยของแม่นางทั้งสองหยุดลง เมื่อคนขายนำซาลาเปาที่สั่งมาให้ สองสาวลงมือกินซาลาเปา ขณะกินอยู่นั้น เสียงเอะอะก็ดังขึ้น ไม่นานนักชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งมาทางร้านขายซาลาเปา พร้อมกับเสียงตะโกนของพ่อค้าขายปลา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยจับขโมยที มันขโมยปลาข้ามา”
จางม่านอวี้หันไปมองต้นเสียง แล้วเห็นชายหนุ่มคนนั้นวิ่งหนีมา นางจึงยื่นขาออกไปตรงทางเดิน หัวขโมยไม่ได้วิ่งดูทางจึงสะดุดขาจางม่านอวี้ล้มหัวคะมำไปวัดพื้น ชาวบ้านที่อยู่ใกล้จึงพากันมารุมล้อมหัวขโมย และจับตัวไว้ องค์รัชทายาทที่ยืนอยู่ใกล้ร้านซาลาเปาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เขาจึงเดินไปยังร้านขายซาลาเปา
“เจ้าฉลาดจังที่ยืนขาไปสกัดหัวขโมย” จางม่านอวี้หันมองเจ้าของเสียงที่เดินมายืนไม่ห่างนัก นางมองหน้าคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทาย
“แน่นอนอยู่แล้ว เมืองนี้ข้าฉลาดที่สุด” นางได้ทีคุยโวตัวเอง พร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
องค์รัชทายาทนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของสาวตรงหน้า นางไม่ใช่คนสวยจนต้องเหลียวมอง นางสวยไม่ได้ครึ่งของหญิงสาวที่ตนเคยเห็น นางกำนัลหรือนางในรับใช้บางคนยังสวยกว่านางเสียอีก แต่ที่ทำให้ถึงกับอึ้งคือรอยยิ้มของนางต่างหาก ขณะองค์รัชทายาทเห็นรอยยิ้มนของนาง เขารู้สึกว่าความทุกข์ ความเคร่งเครียดในจิตใจหายฉับพลัน เสมือนมีพลังดึงดูดมหาศาลให้เพ่งมองริมฝีปากคู่นั้นที่กำลังคลี่ยิ้ม เขาอมยิ้มเมื่อเห็นเศษซาลาเปาติดอยู่บนเรียวปากนางแล้วการที่มองเจ้าของรอยยิ้มนานเกินไป ทำให้คนถูกมองเริ่มรู้สึกไม่ดี
“เจ้ามองอะไรข้านานอย่างนี้ หน้าข้ามีอะไรติดอยู่เหรอ”
“ปากเจ้าน่าอร่อยจัง” องค์รัชทายาทตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เจ้าจะมาทำท่าทางทะลึ่งกับข้างั้นหรือ”จางม่านอวี้ยั้วใส่
“เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า ที่ข้าบอกว่าปากเจ้าน่าอร่อย เพราะตอนนี้มีเศษซาลาเปาติดอยู่ตรงปากของเจ้าไงล่ะ” คนได้รับคำตอบอึ้งไป รีบหันไปหาสาวใช้
“จริงเหรอหลินหลิน มีเศษซาลาเปาติดอยู่ที่ปากข้าจริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะคุณหนู” หลินหลินตอบตามจริง จางม่านอวี้รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก
“เจ้าไม่ใช่คนเมืองนี้นี่ มาจากไหนล่ะ”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ใช่คนเมืองนี้” องค์รัชทายาทถาม
“ข้ารู้จักคนเมืองนี้ดี เจ้าไม่ใช่คนเมืองนี้แน่ๆ เจ้าเป็นพ่อค้าต่างเมืองใช่ไหม”
องค์รัชทายาทเลิกคิ้ว นางมองเขาเป็นพ่อค้า รูปร่างหน้าตาเขาออกจะหล่อเหลา แต่งตัวด้วยผ้าแพรชั้นดี นางมองเขาเป็นพ่อค้าได้อย่างไร
“ใช่ ข้าเป็นพ่อค้า” ไหลตามน้ำ “ข้าเอาสินค้ามาลงที่ท่าเรือ ระหว่างรอขนย้ายข้าก็มาเดินเที่ยวในตลาด แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร มาค้าขายหรือว่าอยู่ที่นี่”
“ข้าเป็น...” จางม่านอวี้ยังไม่ทันตอบจบ พ่อบ้านหวังเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ
“คุณหนูสี่ขอรับ คุณท่านให้มาตามคุณหนูไปพบขอรับ” พ่อบ้านหวังทำตามหน้าที่
“ท่านพ่อมีเรื่องด่วนอะไรถึงได้ให้ท่านมาตามข้า” คุณหนูสี่สงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้ครับ คุณหนูรีบไปเถอะครับ ท่าทางท่านจะมีเรื่องสำคัญคุยกับคุณหนู”
“ได้สิ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
จางม่านอวี้ลืมเรื่องตอบคำถามชายแปลกหน้า นางหมุนตัวเดินกลับไปยังบ้านโดยมีหลินหลินกับพ่อบ้านหวังเดินตามไป องค์รัชทายาทไม่ได้รั้งตัวจางม่านอวี้เพื่อหวังคำตอบ เขาสะบัดพัดในมือ โบกเข้าตัวช้าๆ นัยน์ตาสีนิลมองร่างสาวแปลกหน้าที่รู้สึกพอใจตั้งแต่แรกเห็น นางเป็นคนไม่สวยแต่เป็นคนที่มีเสน่ห์เหลือเกิน เขาเองก็ไม่คิดว่า คนอย่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นจ้านที่มีสาวงามล้อมหน้าล้อมหลัง แต่กลับเปิดประตูหัวใจให้สาวคนนี้ เจ้าของรอยยิ้มงดงามดุจแสงจันทร์ที่ส่องสว่างยามราตรี
ความพอใจจะเปลี่ยนเป็นความรักในไม่ช้านี้
Chapter 9สองวันมานี้จางม่านอวี้คิดหาวิธีเข้าใกล้พระสนมมู่เซียน โดยที่อีกฝ่ายจะต้องไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถูกล้วงความลับ เดิมทีจางม่านอวี้ตั้งใจเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับมู่เซียน แต่คิดไปคิดมา วิธีนี้คงไม่ได้ผล คนฉลาดอย่างสนมมู่เซียนต้องสงสัยว่า ตนเข้าไปทำความรู้จักเพื่อเหตุผลใด เพราะปกติเหล่าพระสนมจะชิงดีชิงเด่น ชิงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ น้อยนักที่จะสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว และนั่นอาจส่อพิรุธให้มู่เซียนจับได้ จางม่านอวี้จึงคิดหาทางอื่น ที่จะทำให้มู่เซียนไว้ใจและเชื่อใจนาง ทว่างานนี้นางทำคนเดียวไม่ได้ นางต้องมีคนช่วยและมีอีกเรื่องหนึ่งที่จางม่านอวี้บอกจิวฮองเฮา เรื่องนั้นคือเรื่องการติดต่อระหว่างนางกับฮองเฮา ก่อนจะถึงวันแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระสนม จางม่านอวี้คิดว่า ไม่สมควรเจอกันบ่อยนักเพราะอาจทำให้มู่เซียนเกิดความสงสัย ทางใดที่ทำให้มู่เซียนเกิดความคลางแคลงใจ จำต้องตัดทิ้งเพื่อความสำเร็จในวันหน้า จางม่านอวี้ใช้วิธีเขียนจดหมายถึงฮองเฮาจิวหยวน ให้นางทำตามแผนที่ตนเขียนไว้อย่างละเอียดภายในจดหมายฉบับนั้น ก่อนจะให้เจี่ยเหว่ยนางกำนัลรับใช้ที่จิวฮองเฮาส่งมา นำสารดังกล่าวไปตำหนักกลาง จิวฮองเฮาเปิดจด
Chapter 8 เฉินหมิงไม่คิดว่า บุตรชายจะรักจางม่านอวี้มากกว่าอนาคตของตัวเอง ถึงได้ยอมสละอะไรหลายอย่างเพื่อนาง ที่เขาไม่ขัดความคิดของบุตรชายเป็นเพราะ หน้าที่ที่จางม่านอวี้ไปทำนั้นมีความเสี่ยงมาก ขุนนางในวังล้วนแต่เป็นเสือและสิงห์ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อำนาจก็มีมาก ยิ่งต้องไปต่อสู้กับพระสนมมู่เซียนที่ใครต่างรู้ดีว่า มีอำนาจมากแค่ไหน จางม่านอวี้จำเป็นต้องมีคนช่วยอีกทางหนึ่ง แล้วรู้ด้วยว่า อีกเหตุผลหนึ่งของเฉินต้าเหว่ยคือ จะได้ใกล้ชิดจางม่านอวี้“ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็เห็นตามนั้น” เฉินหมิงตอบกลับ “แล้วเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวังได้ยังไง”“ข้ามีวิธีขอรับท่านพ่อ”การที่เฉินต้าเหว่ยตัดสินใจลาออกจากการเป็นรองแม่ทัพ ไปทำงานเป็นขุนนางในวังก็เพื่อช่วยเหลือจางม่านอวี้ เขาต้องมีวิธีที่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น“ข้าไม่ห้ามเจ้าว่าจะทำอะไร และไม่ห้ามเจ้าไม่ให้รักม่านอวี้ เพราะรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องดี เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง” เฉินหมิงพูดอย่างเข้าใจความรู้สึกลูก“ขอบคุณขอรับท่านพ่อที่เข้าใจข้า” เฉินต้าเหว่ยคำนับบิดา “ข้าขอตัวไปหาเฉียนเจ้าก่อนนะขอรั
Chapter 7“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าไปอยู่ในตำหนักชิวเป่า เป็นตำหนักในส่วนของพระสนมขั้นสามและสี่อยู่”“เพคะฮองเฮา”“ส่วนนางกำนัลรับใช้ ข้าจะให้ฮุ้ยเจี้ยนกับเจียเหม่ยไปดูแลเจ้า สองคนนี้เป็นคนของข้า จะคอยส่งข่าวให้เจ้ารู้ว่า เจ้าต้องทำอะไร”“หม่อมฉันขอให้สาวใช้ของข้าอยู่รับใช้หม่อมฉันที่นี่ด้วยได้ไหมเพคะ”“ข้าว่าอย่าดีกว่า มีคนของข้าแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คนของเจ้า”ฮองเฮาไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือรับรู้เรื่องแผนการกำจัดพระสนมมู่เซียนมากนัก ยิ่งรู้มากการที่ข่าวจะรั่วไหลก็มากตาม“หม่อมฉันกลับคิดว่ามีความจำเป็นเพคะ”“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าจำเป็น” ฮองเฮาถามกลับ“หม่อมฉันต้องการให้มีคนที่หม่อมฉันไว้ใจที่สุดอยู่ใกล้ด้วย หลินหลินอยู่กับหม่อมฉันตั้งแต่เกิด เราโตมาด้วยกัน และรักกันเหมือนพี่น้อง หม่อมฉันไม่เคยมีความลับกับหลินหลิน เช่นเดียวกับที่หลินหลินไม่เคยมีความลับกับหม่อมฉัน การที่หม่อมฉันเข้ามาอยู่ในวังที่เปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่กว้างใหญ่และน่ากลัว แล้วยังต้องแบกภาระหน้าที่ที่ต้องทำอีกด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาคนที่ไว้ใจที่สุดในการทำงาน ซึ่งหม่อมฉันไม่ไว้ใจคนของฮองเฮา เพ
Chapter 6ขบวนเกี้ยวมาหยุดเมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง จางม่านอวี้ก้าวลงมาจากเกี้ยว นางยืนมองไปรอบๆ ที่เป็นลานกว้างมีทหารหลายสิบนายเดินตรวจตรา ห่างไปตรงหน้าราวห้าสิบเชี้ยะเป็นประตูบานใหญ่ซึ่งนางคิดว่า คงเป็นประตูวัง จางม่านอวี้มองประตูบานนั้นนิ่ง หากนางก้าวผ่านขอบประตูบานนั้น นั่นหมายความว่า นางจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจ ไม่อาจหันหลังกลับ ทางเดียวต่อจากนี้คือ เดินหน้าทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพียงแค่เห็นความกว้างใหญ่ของวังหลวง จางม่านอวี้สัมผัสได้ถึงความว้าเหว่ เปลี่ยวเหงา ด้านหลังประตูบานนั้นนางไม่รู้จักใครเลย แปลกทั้งสถานที่และคน อย่างหลังนางถึงกับหนักใจ นางรู้มาว่า คนในวังหลวงแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่ละคนเสมือนจิ้งจอกล่าเนื้อ รวมถึงขนบธรรมเนียมที่ต่อจากนี้ไปนางต้องเรียนรู้ ที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่นางเองก็ไม่รู้ว่า จะทำได้ดีหรือไม่ “แม่นางจาง เชิญขอรับ ฮองเฮารออยู่”หลีกงกงบอกว่าที่พระสนม จางม่านอวี้พยักหน้าเดินตามหลีกงกงข้ามผ่านประตูสีแดงเข้าไปในเขตวัง ความรู้สึกของจางม่านอวี้เวลานี้ นางรู้สึกร้อนเท้า แต่ละก้าวที่จางม่านอวี้ก้าวเดินเสมือนเดินบนกองไฟอย่างไงอย่างนั้น ค
Chapter 5เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามเฉินต้าเหว่ยควบม้าคู่ใจด้วยใจอันร้อนรน การขี่ม้าครั้งนี้ถือว่าเร็วที่สุดในชีวิต เร็วกว่าตอนออกศึกรบเสียอีก ทว่าความเร็วของม้ายังไม่เพียงพอ เขาอยากให้มันเร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้ตามทันขบวนเกี้ยวที่มารับจางม่านอวี้เข้าวัง แต่ความเร็วของม้าทำได้เพียงแค่นี้ ช้ากว่าใจเฉินต้าเหว่ยเป็นร้อยเท่าทันทีที่แม่ทัพหนุ่มกลับมาจากส่งสารสำคัญจากต่างเมือง เขาได้รับข่าวร้ายจากบิดาเรื่องจางม่านอวี้ ตอนนั้นเฉินต้าเหว่ยรู้สึกงงงวย ความไม่เข้าใจแฝงในความรู้สึกที่อยู่ๆ จางม่านอวี้ได้เป็นพระสนม นางกำลังจะเป็นของชายอื่น ซึ่งผู้ชายคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งแคว้น รองแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรไม่รู้ที่มาที่ไปของการเข้าวังของนาง ในใจของเขาตอนนี้รู้เพียงว่า ต้องตามนางให้ทัน เขาจึงรีบควบม้าตามขบวนเกี้ยวอย่างไม่ลดละระยะทางจากเมืองหลานหยูไปเมืองหลวงมีระยะทางหลายร้อยลี้ ขบวนเกี้ยวที่มารับจึงใช้ม้าในการลากเกี้ยวแทนคนแบกหาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้น เนื่องจากม้าเดินไม่ได้วิ่ง ส่งผลให้แรงอาชาไนยของรองแม่ทัพหนุ่มนำพาเขามาทันขบวนเกี้ยวที่มองเห็นในระยะสายตาเฉินต้าเหว่ยรีบเร่
Chapter 4องค์รัชทายาทไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่กับตัวเองนาน เขารีบเข้าไปถามพ่อค้าซาลาเปากับคำตอบที่อยากได้ โดยให้สินน้ำใจหนึ่งตำลึง มีหรือที่คำตอบนั้นจะไม่พรั่งพรูออกจากพ่อค้า เมื่อรู้คำตอบ เขาไม่ได้เร่งรีบไปหาจางม่านอวี้ เพราะมีงานสำคัญงานหนึ่งต้องทำ ตั้งใจว่าทำเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบไปหานางทันที แต่เผอิญว่าเจอนางที่นี่เสียก่อน“แล้วเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครไปทำไม ทีข้ายังไม่อยากรู้เรื่องของเจ้าเลย”“ก็เพราะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ชายรูปร่างสูงเพรียว แต่งกายคล้ายจอมยุทธเดินเข้าหา ก่อนจะกระซิบข้างหู “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางจาง ไว้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านนะ”องค์รัชทายาทพูดจบก็รีบเร่งเดินไปยังท่าเรือพร้อมพรรคพวก“ผู้ชายคนนี้ดูแปลกๆ นะเจ้าคะคุณหนู” หลินหลินพูดกับเจ้านายสาว“ช่างเขาเถอะอย่าไปสนใจเลย ข้าเชื่อว่า ข้ากับเขาคงไม่ได้พบกันอีก” จางม่านอวี้คิดเช่นนั้น “ไปกันเถอะ”สองสาวพากันเดินไปยังจวนรองแม่ทัพ จางม่านอวี้หวังว่าจะได้พบเฉินต้าเหว่ย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คนที่นางอยากเจอยังไม่กลับมาจากออกศึก จางม่านอวี้เศร้าหนักกว่าเดิม ความรู้สึกตอนนี้ของนางไม่ดีเลย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ ชอบกล ด้วยเหตุผลใด