Chapter 3
จางม่านอวี้ถึงกับตัวชา เมื่อรู้เหตุผลที่บิดาเรียกพบ นางอึ้งไปจนพูดไม่ออก หัวใจเหมือนถูกบีบด้วยมือของคนให้กำเนิด นางไม่คิดว่า ตนเองต้องไปเป็นพระสนมในวังหลวง แล้วเป็นที่รู้กันว่า หากเป็นพระสนมที่ทรงโปรดปรานก็จะมีแต่ความสุข แต่ถ้าหากเป็นตรงกันข้าม ก็จะว้าเหว่อยู่ในวังอันยิ่งใหญ่ นางคิดว่าตนเองต้องเป็นอย่างหลังแน่นอน พระสนมในวังมีแต่ความงดงาม นางนั่นเล่าขี้เหร่ออกปานนั้น มีหรือที่ฮ่องเต้จะเหลียวมอง
“ท่านพ่อพูดจริงหรือเจ้าคะ ที่จะให้ลูกไปเป็นพระสนม” จางม่านอวี้ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่า ตนเองไม่ได้หูฟาด
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอกม่านอวี้”
ไม่ใช่ว่าจางเฟยจะไม่สงสารบุตรสาว เขาสงสารแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากพระประสงค์ของฮองเฮา และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อบ้านเมือง
“ถ้าลูกตอบว่าไม่ยอม ท่านพ่อจะว่าอย่างไรเจ้าคะ” น้ำเสียงที่ถามบิดาเบาหวิว ดวงตามีแต่ความเศร้า
“พี่สาวทั้งสามของเจ้า ก็ไม่มีใครแต่งงานเพราะความรัก เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร”
จางม่านอวี้หน้าเศร้าลงไปอีก คำตอบของบิดาทำให้นางรู้ว่า จนหนทาง นางรู้สิว่า พี่สาวทั้งสามของนางแต่งงานเพราะเหตุผลใด ล้วนแล้วแต่เพื่อผลประโยชน์ของบิดาทั้งสิ้น พี่สาวทั้งสามยินยอมแม้ว่าไม่เต็มใจ นางจึงไม่มีเหตุผลใดจะค้าน อีกเหตุผลหนึ่งคือ หน้าที่ของนางเมื่อเข้าไปอยู่ในวังในฐานะพระสนม เป็นหน้าที่ที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง และต้องทำให้ดีให้สมกับที่ทุกคนไว้เนื้อเชื่อใจ
“ลูกต้องทำอะไรบ้างเจ้าคะท่านพ่อ”
“เจ้าจะรู้ทุกอย่างตอนที่ได้เข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะเป็นคนบอกเจ้าเอง”
“ข้ามีเวลาเท่าไหร่เจ้าคะที่จะเป็นจางม่านอวี้คนเดิม” นางหมายถึงการได้ใช้ชีวิตอิสระที่เหลืออยู่
“ฮองเฮาพระทัยร้อนกับเรื่องนี้มาก กำหนดการที่เจ้าต้องไปเป็นพระสนมคือสามวันข้างหน้า”
เขาเองก็ไม่คิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้ คาดเดาว่าน่าจะอีกเป็นแรมเดือนกว่าบุตรสาวคนที่สี่จะได้ขึ้นเป็นพระสนม ทว่าอำนาจของสนมมู่เซียนขยายขึ้นทุกวัน ฮองเฮาจึงไม่วางพระทัย กังวลเรื่องนี้มาก ทุกอย่างจึงต้องรวดเร็ว
“สามวันหรือเจ้าคะ แค่สามวัน” นางร้องถามเสียงหลง
“ใช่ อีกสามวัน ระหว่างนี้เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามวันจะมีเกี้ยวมารับเจ้าเข้าวัง” จางเฟยพูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เจ้าอย่าลืมว่าข้าเคยเป็นแม่ทัพคุมทหารออกศึกมาก่อน สายเลือดจงรักภักดีอยู่ในตัวข้าและถ่ายทอดให้เจ้าในฐานะลูก อย่าให้ข้าผิดหวังในตัวเจ้านะม่านอวี้”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
จางม่านอวี้รับคำเสียงเบา มองแผ่นหลังของบิดาที่เดินออกไปจากประตูห้องด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ตำแหน่งพระสนมห่างไกลจากความคิดนางมาก แทบไม่อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำไป ทว่าตอนนี้มันกลับมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม และอีกสามวันชีวิตของนางก็จะเปลี่ยนไป วินาทีนี้สมองจางม่านอวี้กระหวัดถึงเฉินต้าเหว่ยขึ้นมาทันใด แต่คงทำได้แค่เพียงนึกถึง เพราะตอนนี้เขานำทหารไปออกศึก ทั้งที่เพิ่งกลับมาได้เพียงวันเดียว แล้วไม่รู้ว่า นางจะได้พบเจอเขาทันก่อนที่ตนจะเข้าวังหรือไม่
นางภาวนาขอให้ทัน เพื่อที่จะได้ลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ความหม่นเศร้าเกิดขึ้นในจิตใจจางม่านอวี้ สองวันมานี้นางแทบจะไม่แตะต้องอาหาร เหม่อลอย จิตใจเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว เพราะอีกวันเดียวนางก็ต้องไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้ พร้อมกับหน้าที่ที่นางก็ไม่มั่นใจว่า จะทำได้หรือไม่
“คุณหนูกินซาลาเปาไหมเจ้าคะ”
หลินหลินสาวใช้ถามเจ้านายขณะที่กำลังเดินผ่านร้านขายซาลาเปาร้านประจำ คำตอบที่หลินหลินได้รับคือการส่ายหน้า สาวใช้ถอนหายใจ ทั้งสงสารและเห็นใจคุณหนูสี่ หลินหลินอยากเข้าไปอยู่ในวังด้วย ติดตามรับใช้จางม่านอวี้ ทว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิด
“คุณหนูเจ้าขา แวะร้านผ้าแพรไหมเจ้าคะ มีผ้าแพรใหม่ๆ มาเต็มเลยเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเจ้าคะ ปิ่นอันนี้สวยมากเลย คุณหนูลองปักผมดูไหมเจ้าคะ”
“กำไลวงนี้งามมากเลยเจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะ”
หลินหลินพยายามหาสิ่งของที่จางม่านอวี้ชอบ ให้นางสนใจจะได้คลายจากความทุกข์ได้บ้าง แต่ไม่เป็นผล จางม่านอวี้ไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ว่าที่พระสนมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว
“ข้าจะไปจวนรองแม่ทัพ” หลินหลินไม่ถามต่อว่าไปทำไม เพราะรู้คำตอบนั้นดี สองสาวเปลี่ยนทิศทางการเดินไปยังบ้านเฉินต้าเหว่ยที่อยู่ห่างจากตลาดไม่มากนัก
ในขณะที่จางม่านอวี้กับหลินหลินกำลังเดินไปจวนรองแม่หนุ่ม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่องค์รัชทายาทกับองครักษ์เดินออกมาจากโรงเตี๋ยมที่พักอาศัยพอดี และเมื่อเห็นสาวถูกใจ เขารีบปรี่เดินไปหา
“แม่นางจะไปไหนรึ ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า” จางม่านอวี้เงยหน้ามองคนทักที่ส่งยิ้มให้ตน ด้วยมารยาทจางม่านอวี้ยิ้มตอบ แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนครั้งแรกที่โปรยยิ้มให้เขา ยิ้มนางดูเศร้าเหลือเกิน “เจ้าจำข้าได้หรือไม่ เราเคยเจอกันเมื่อสองวันก่อน”
“จำได้” จางม่านอวี้ตอบสั้นๆ “เจ้าเป็นพ่อค้าไง”
“ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอเจ้า วันนี้ข้าตั้งใจว่าจะไปหาเจ้าที่บ้านพอดี” จางม่านอวี้เลิกคิ้วสงสัย มองหน้าหนุ่มหน้าตาหล่อผิวพรรณดีนิ่ง
“เจ้ารู้จักบ้านข้าด้วยหรือ แล้วเจ้าจะไปหาข้าทำไม”
“ข้าถามพ่อค้าขายซาลาเปา ว่าเจ้าเป็นใคร เพราะจากการแต่งตัวและจากคำพูดของพ่อบ้านที่ข้าได้ยิน ข้าเลยคิดว่า เจ้าคงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่นอน แล้วข้าก็ได้รู้คำตอบว่าเจ้าคือใคร คุณหนูสี่แห่งตระกูลจาง ชื่อจางม่านอวี้”
Chapter 9สองวันมานี้จางม่านอวี้คิดหาวิธีเข้าใกล้พระสนมมู่เซียน โดยที่อีกฝ่ายจะต้องไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถูกล้วงความลับ เดิมทีจางม่านอวี้ตั้งใจเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับมู่เซียน แต่คิดไปคิดมา วิธีนี้คงไม่ได้ผล คนฉลาดอย่างสนมมู่เซียนต้องสงสัยว่า ตนเข้าไปทำความรู้จักเพื่อเหตุผลใด เพราะปกติเหล่าพระสนมจะชิงดีชิงเด่น ชิงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ น้อยนักที่จะสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว และนั่นอาจส่อพิรุธให้มู่เซียนจับได้ จางม่านอวี้จึงคิดหาทางอื่น ที่จะทำให้มู่เซียนไว้ใจและเชื่อใจนาง ทว่างานนี้นางทำคนเดียวไม่ได้ นางต้องมีคนช่วยและมีอีกเรื่องหนึ่งที่จางม่านอวี้บอกจิวฮองเฮา เรื่องนั้นคือเรื่องการติดต่อระหว่างนางกับฮองเฮา ก่อนจะถึงวันแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระสนม จางม่านอวี้คิดว่า ไม่สมควรเจอกันบ่อยนักเพราะอาจทำให้มู่เซียนเกิดความสงสัย ทางใดที่ทำให้มู่เซียนเกิดความคลางแคลงใจ จำต้องตัดทิ้งเพื่อความสำเร็จในวันหน้า จางม่านอวี้ใช้วิธีเขียนจดหมายถึงฮองเฮาจิวหยวน ให้นางทำตามแผนที่ตนเขียนไว้อย่างละเอียดภายในจดหมายฉบับนั้น ก่อนจะให้เจี่ยเหว่ยนางกำนัลรับใช้ที่จิวฮองเฮาส่งมา นำสารดังกล่าวไปตำหนักกลาง จิวฮองเฮาเปิดจด
Chapter 8 เฉินหมิงไม่คิดว่า บุตรชายจะรักจางม่านอวี้มากกว่าอนาคตของตัวเอง ถึงได้ยอมสละอะไรหลายอย่างเพื่อนาง ที่เขาไม่ขัดความคิดของบุตรชายเป็นเพราะ หน้าที่ที่จางม่านอวี้ไปทำนั้นมีความเสี่ยงมาก ขุนนางในวังล้วนแต่เป็นเสือและสิงห์ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อำนาจก็มีมาก ยิ่งต้องไปต่อสู้กับพระสนมมู่เซียนที่ใครต่างรู้ดีว่า มีอำนาจมากแค่ไหน จางม่านอวี้จำเป็นต้องมีคนช่วยอีกทางหนึ่ง แล้วรู้ด้วยว่า อีกเหตุผลหนึ่งของเฉินต้าเหว่ยคือ จะได้ใกล้ชิดจางม่านอวี้“ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็เห็นตามนั้น” เฉินหมิงตอบกลับ “แล้วเจ้าจะเข้าไปอยู่ในวังได้ยังไง”“ข้ามีวิธีขอรับท่านพ่อ”การที่เฉินต้าเหว่ยตัดสินใจลาออกจากการเป็นรองแม่ทัพ ไปทำงานเป็นขุนนางในวังก็เพื่อช่วยเหลือจางม่านอวี้ เขาต้องมีวิธีที่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น“ข้าไม่ห้ามเจ้าว่าจะทำอะไร และไม่ห้ามเจ้าไม่ให้รักม่านอวี้ เพราะรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องดี เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง” เฉินหมิงพูดอย่างเข้าใจความรู้สึกลูก“ขอบคุณขอรับท่านพ่อที่เข้าใจข้า” เฉินต้าเหว่ยคำนับบิดา “ข้าขอตัวไปหาเฉียนเจ้าก่อนนะขอรั
Chapter 7“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าไปอยู่ในตำหนักชิวเป่า เป็นตำหนักในส่วนของพระสนมขั้นสามและสี่อยู่”“เพคะฮองเฮา”“ส่วนนางกำนัลรับใช้ ข้าจะให้ฮุ้ยเจี้ยนกับเจียเหม่ยไปดูแลเจ้า สองคนนี้เป็นคนของข้า จะคอยส่งข่าวให้เจ้ารู้ว่า เจ้าต้องทำอะไร”“หม่อมฉันขอให้สาวใช้ของข้าอยู่รับใช้หม่อมฉันที่นี่ด้วยได้ไหมเพคะ”“ข้าว่าอย่าดีกว่า มีคนของข้าแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คนของเจ้า”ฮองเฮาไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือรับรู้เรื่องแผนการกำจัดพระสนมมู่เซียนมากนัก ยิ่งรู้มากการที่ข่าวจะรั่วไหลก็มากตาม“หม่อมฉันกลับคิดว่ามีความจำเป็นเพคะ”“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าจำเป็น” ฮองเฮาถามกลับ“หม่อมฉันต้องการให้มีคนที่หม่อมฉันไว้ใจที่สุดอยู่ใกล้ด้วย หลินหลินอยู่กับหม่อมฉันตั้งแต่เกิด เราโตมาด้วยกัน และรักกันเหมือนพี่น้อง หม่อมฉันไม่เคยมีความลับกับหลินหลิน เช่นเดียวกับที่หลินหลินไม่เคยมีความลับกับหม่อมฉัน การที่หม่อมฉันเข้ามาอยู่ในวังที่เปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่กว้างใหญ่และน่ากลัว แล้วยังต้องแบกภาระหน้าที่ที่ต้องทำอีกด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาคนที่ไว้ใจที่สุดในการทำงาน ซึ่งหม่อมฉันไม่ไว้ใจคนของฮองเฮา เพ
Chapter 6ขบวนเกี้ยวมาหยุดเมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง จางม่านอวี้ก้าวลงมาจากเกี้ยว นางยืนมองไปรอบๆ ที่เป็นลานกว้างมีทหารหลายสิบนายเดินตรวจตรา ห่างไปตรงหน้าราวห้าสิบเชี้ยะเป็นประตูบานใหญ่ซึ่งนางคิดว่า คงเป็นประตูวัง จางม่านอวี้มองประตูบานนั้นนิ่ง หากนางก้าวผ่านขอบประตูบานนั้น นั่นหมายความว่า นางจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจ ไม่อาจหันหลังกลับ ทางเดียวต่อจากนี้คือ เดินหน้าทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพียงแค่เห็นความกว้างใหญ่ของวังหลวง จางม่านอวี้สัมผัสได้ถึงความว้าเหว่ เปลี่ยวเหงา ด้านหลังประตูบานนั้นนางไม่รู้จักใครเลย แปลกทั้งสถานที่และคน อย่างหลังนางถึงกับหนักใจ นางรู้มาว่า คนในวังหลวงแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่ละคนเสมือนจิ้งจอกล่าเนื้อ รวมถึงขนบธรรมเนียมที่ต่อจากนี้ไปนางต้องเรียนรู้ ที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่นางเองก็ไม่รู้ว่า จะทำได้ดีหรือไม่ “แม่นางจาง เชิญขอรับ ฮองเฮารออยู่”หลีกงกงบอกว่าที่พระสนม จางม่านอวี้พยักหน้าเดินตามหลีกงกงข้ามผ่านประตูสีแดงเข้าไปในเขตวัง ความรู้สึกของจางม่านอวี้เวลานี้ นางรู้สึกร้อนเท้า แต่ละก้าวที่จางม่านอวี้ก้าวเดินเสมือนเดินบนกองไฟอย่างไงอย่างนั้น ค
Chapter 5เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามเฉินต้าเหว่ยควบม้าคู่ใจด้วยใจอันร้อนรน การขี่ม้าครั้งนี้ถือว่าเร็วที่สุดในชีวิต เร็วกว่าตอนออกศึกรบเสียอีก ทว่าความเร็วของม้ายังไม่เพียงพอ เขาอยากให้มันเร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้ตามทันขบวนเกี้ยวที่มารับจางม่านอวี้เข้าวัง แต่ความเร็วของม้าทำได้เพียงแค่นี้ ช้ากว่าใจเฉินต้าเหว่ยเป็นร้อยเท่าทันทีที่แม่ทัพหนุ่มกลับมาจากส่งสารสำคัญจากต่างเมือง เขาได้รับข่าวร้ายจากบิดาเรื่องจางม่านอวี้ ตอนนั้นเฉินต้าเหว่ยรู้สึกงงงวย ความไม่เข้าใจแฝงในความรู้สึกที่อยู่ๆ จางม่านอวี้ได้เป็นพระสนม นางกำลังจะเป็นของชายอื่น ซึ่งผู้ชายคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งแคว้น รองแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรไม่รู้ที่มาที่ไปของการเข้าวังของนาง ในใจของเขาตอนนี้รู้เพียงว่า ต้องตามนางให้ทัน เขาจึงรีบควบม้าตามขบวนเกี้ยวอย่างไม่ลดละระยะทางจากเมืองหลานหยูไปเมืองหลวงมีระยะทางหลายร้อยลี้ ขบวนเกี้ยวที่มารับจึงใช้ม้าในการลากเกี้ยวแทนคนแบกหาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้น เนื่องจากม้าเดินไม่ได้วิ่ง ส่งผลให้แรงอาชาไนยของรองแม่ทัพหนุ่มนำพาเขามาทันขบวนเกี้ยวที่มองเห็นในระยะสายตาเฉินต้าเหว่ยรีบเร่
Chapter 4องค์รัชทายาทไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่กับตัวเองนาน เขารีบเข้าไปถามพ่อค้าซาลาเปากับคำตอบที่อยากได้ โดยให้สินน้ำใจหนึ่งตำลึง มีหรือที่คำตอบนั้นจะไม่พรั่งพรูออกจากพ่อค้า เมื่อรู้คำตอบ เขาไม่ได้เร่งรีบไปหาจางม่านอวี้ เพราะมีงานสำคัญงานหนึ่งต้องทำ ตั้งใจว่าทำเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบไปหานางทันที แต่เผอิญว่าเจอนางที่นี่เสียก่อน“แล้วเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครไปทำไม ทีข้ายังไม่อยากรู้เรื่องของเจ้าเลย”“ก็เพราะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ชายรูปร่างสูงเพรียว แต่งกายคล้ายจอมยุทธเดินเข้าหา ก่อนจะกระซิบข้างหู “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางจาง ไว้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านนะ”องค์รัชทายาทพูดจบก็รีบเร่งเดินไปยังท่าเรือพร้อมพรรคพวก“ผู้ชายคนนี้ดูแปลกๆ นะเจ้าคะคุณหนู” หลินหลินพูดกับเจ้านายสาว“ช่างเขาเถอะอย่าไปสนใจเลย ข้าเชื่อว่า ข้ากับเขาคงไม่ได้พบกันอีก” จางม่านอวี้คิดเช่นนั้น “ไปกันเถอะ”สองสาวพากันเดินไปยังจวนรองแม่ทัพ จางม่านอวี้หวังว่าจะได้พบเฉินต้าเหว่ย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คนที่นางอยากเจอยังไม่กลับมาจากออกศึก จางม่านอวี้เศร้าหนักกว่าเดิม ความรู้สึกตอนนี้ของนางไม่ดีเลย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ ชอบกล ด้วยเหตุผลใด