LOGINวันนี้บานชื่นและโชติรู้สึกเหมือนโดนฟ้าถล่มใส่หัวกันตั้งแต่เช้าเมื่อเห็นกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่แปะอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว ซึ่งแผ่นกระดาษดังกล่าวเป็นหมายศาลที่แจ้งให้ทั้งคู่ย้ายออกจากที่ดินแห่งนี้โดยทันที
“ทำไมเป็นแบบนี้วะชื่น อยู่มาหลายปีดีดักก็ไม่เห็นโผล่มา แต่พอโผล่มาก็ดันมาไล่เราออกดื้อ ๆ”
บานชื่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ต้องเป็นเพราะนังแก่นั่นแน่ ๆ มันต้องเป็นคนไปบอกเจ้าของให้ไล่เราออกไป เลวจริง ๆ”
“นังแก่บ้า! นังสายบ้า! แกออกมาเดี๋ยวนี้นะ นังสาระแน แกไปบอกเจ้าของที่มาไล่พวกกูใช่ไหม” บานชื่นเดินดุ่มไปหน้าประตูรั้วของบ้านสายพร้อมกับเขย่าประตูและตะโกนเรียกเสียงลั่น
“ออกมาเดี๋ยวนี้! ออกมาพูดกับฉันให้รู้เรื่อง”
แต่คนที่เดินส่ายอาดมาพร้อมกับปังตอทั้งสองมือกลับเป็นวรรณารีแทน “ไม่มีความเกรงใจในสมองกันเลยหรือ โหวกเหวกโวยวายรบกวนชาวบ้านเค้าแบบนี้”
“ฉันไม่ต้องการพูดกับแก เรียกนังสายบ้าออกมา”
“ห้ามเรียกป้าสายแบบนั้น ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ” วรรณารีตาเขียวปั้ด
“เพราะแกใช่ไหม นังสายมันถึงวางแผนเล่นงานฉันกับผัวแบบนี้ คงคิดแก้แค้นแทนแกแน่ ๆ แกนี่ร้ายกาจไม่เบานะ นอกจากคิดจะแอ้มผัวฉันแล้วยังจะปั่นหัวอีแก่บ้านั่นมาเล่นงานฉันอีก”
“ไม่ต้องเสียเวลายืนเถียงกับคนแบบนั้น เข้าบ้านมาดูลูกเถอะ ร้องหาแม่นานแล้ว” เสียงแหบของสายเรียกมาจากในบ้าน
“อีแก่ ออกมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้”
“จะคุยกับฉันทำไมให้เหนื่อย เก็บเสียงและแรงของหล่อนเอาไว้คุยกับคนที่มีหน้าที่โดยตรงดีกว่า วรรณ...กลับเข้าบ้าน” สายสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดปิดท้าย
“แกหมายความว่ายังไง” บานชื่นถามกลับ
ไม่ทันขาดคำ ด้านหลังบานชื่นก็มีชายวัยกลางคนสวมสูทสีเทาเข้มเดินทำหน้าขรึมเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนาย โชติซึ่งเหลียวไปเห็นพอดีถึงกับมีสีหน้าซีดเผือด
“ช...ชื่น นังชื่น” แล้วรีบสะกิดแขนบานชื่นอย่างไม่รอช้า
“อะไรวะ” บานชื่นเหลียวไปตวาดสามีอย่างอารมณ์ไม่ดี แต่แล้วก็ต้องชะงักค้างไปแบบนั้นเมื่อเห็นบุคคลทั้งสี่ที่เพิ่งมาใหม่
กว่าที่คู่สามีภรรยาจะตกลงกับบุคคลที่แนะนำตัวเองว่าเป็นทนายของเจ้าของที่ดินแห่งนี้เสร็จก็ล่วงเข้าช่วงเย็นของวัน ทั้งคู่ต้องทำการย้ายออกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับจากนี้โดยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
ระหว่างการย้ายออก ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ตลอดเวลาจนคู่สามีภรรยาไม่สามารถกระดิกตัวไปหาเรื่องใครได้อีก บานชื่นและโชติจึงได้แต่จำใจเก็บข้าวของใส่รถเข็นมือเป็นระวิง กระนั้นบานชื่นก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองบ้านสายด้วยแววตาอาฆาตก่อนเข็นรถเข็นออกจากที่ดินแห่งนี้ไป
-----
“เอานี่ไปจัดการด้วยตัวเอง” เมื่อจัดการขับไล่บานชื่นออกจากที่ดินได้แล้ว สายได้ยื่นใบโฉนดที่ดินให้วรรณารีในอีกสามวันให้หลัง
วรรณารีมีสีหน้างุนงงอยู่ไม่น้อยแต่ก็รับใบโฉนดที่ดินมาไว้ในมือแต่โดยดี แต่เมื่อได้อ่านรายละเอียดที่ระบุในโฉนด หญิงสาวถึงกับทำตาโต “ป้าคะ ทำไมโฉนดเป็นชื่อวรรณ”
“ฉันโอนให้เพื่อที่เธอจะได้นำที่ดินไปจำนองได้ เธอจะได้มีเงินไปทำร้าน”
“ไม่เอาค่ะป้า วรรณเกรงใจ แค่ป้าออกทุนทำบ้านใหม่ทั้งหมดเอง วรรณก็เกรงใจจนไม่รู้จะเกรงใจยังไงแล้ว วรรณจะทำเหมือนเดิม สร้างเพิงเล็ก ๆ ไว้เก็บของที่หามาได้ก็พอ รอมีรายได้สักระยะก็ค่อยขยับขยายให้มันใหญ่ขึ้น”
ตั้งแต่ได้คุยเรื่องย้ายบ้านกับสายในวันนั้น ทำให้วรรณารีได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวในชีวิตของสายมาตั้งแต่ต้น ไม่เท่านั้น เธอยังรับรู้อีกว่าที่ดินที่บานชื่นใช้อาศัยอยู่ แท้จริงแล้วเป็นของสาย และสายไม่ใช่หญิงบ้าหาเช้ากินค่ำอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ เธอเป็นคนมีฐานะดีมากคนหนึ่งเพียงแค่ไม่แสดงตัวให้ใครรับรู้ เผลอ ๆ อาจมีฐานะดีพอ ๆ กับยี่สุ่นเสียด้วยซ้ำ
สายนิ่วหน้า “เกรงใจอะไรกัน ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ถ้าป้าจะยกที่ดินหรือสร้างบ้านให้หลานมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย อีกอย่าง ถ้าคิดแต่จะทำกิจการเล็ก ๆ แบบนี้ต่อไป แล้วเมื่อไหร่ชีวิตจะก้าวหน้า เธอไม่อยากให้ลูกสาวภูมิใจหรือว่ามีแม่เก่ง สามารถเปิดร้านใหญ่โตได้”
วรรณารีเหลือบตามองสายอย่างลังเลก่อนตัดสินใจถาม “ที่ดินเป็นชื่อวรรณแบบนี้ ป้าไม่กลัวว่าวรรณจะคดโกงแล้วคิดไม่ดีกับป้าหรือคะ”
สายมองแบบกึ่งขันกึ่งฉิว “นี่เธอเห็นฉันที่อายุเกือบหกสิบยังเป็นเด็กอมมืออยู่หรือ ถึงคิดว่าฉันมองคนไม่ออก”
วรรณารียิ้มเจื่อนก่อนพูดต่อ “แต่เรื่องร้าน วรรณยังไม่มั่นใจ วรรณกลัวว่ากิจการร้านจะออกมาไม่ดี”
“อย่าตีตนไปก่อนไข้ ฉันเชื่อในตัววรรณารีคนที่ใจกล้าเดินไปคุ้ยหาของในถังขยะตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจับงานขายของเก่า ขนาดฉันยังเชื่อมั่นในตัวเธอ แล้วทำไมเธอถึงไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะ”
วรรณารีหลุบตามองพื้น “วรรณอายที่จะเอาของของป้ามาแบบนี้”
“คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง” สายเอ็ดเสียงดัง “เธอมายื้อมาแย่งของฉันไปหรือก็เปล่า ฉันให้ด้วยความเต็มใจ”
สายถอนหายใจเฮือกเมื่อยังเห็นท่าทีไม่ยินยอมพร้อมใจของหญิงสาว
“ที่ป้าตัดสินใจโอนที่ดินผืนนี้ให้ก็เพื่อความสะดวกของพวกเราทั้งคู่ วรรณจะได้สะดวกตรงที่มีเงินในมือเพียงพอต่อการจะคิดจะทำอะไร ป้าก็สะดวกตรงที่ไม่ต้องเหนื่อยจัดการเรื่องจุกจิกในบ้านอีก ป้าอายุเยอะแล้ว ถ้าวรรณจะสงเคราะห์ก็แค่ปล่อยให้ป้านั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านแบบสบาย ๆ กับจิ๊ดริดโดยไม่ต้องเปลืองสมองกังวลกับภาระจุกจิกต่าง ๆ ดีกว่า”
“แต่ถ้าเธอยังรู้สึกกระดากใจก็เอาแบบนี้สิ พอร้านเปิดสักระยะค่อยแบ่งรายได้ให้ป้าเป็นรายเดือนก็ได้”
วรรณารีรีบพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นเรามาแบ่งกันคนละครึ่งนะคะ”
“ฉันจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ” สายตวาดแหว “เอาแค่ห้าหรือสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ แล้วอย่าคิดเล่นตุกติกให้ฉันมากกว่านี้เชียวนะ ฉันเก่งเรื่องบัญชีตัวเลขพอตัว”
“ไปดีกว่าจิ๊ดริด ไปนอนเล่นกันที่ห้องยาย ฟังแม่เราพูดไร้สาระแบบนี้ปวดหัวใช่ไหม” สายไม่สนใจต่อความยาวกับวรรณารีอีก เธออุ้มที่รักที่นอนลืมตาแป๋วฟังยายและแม่พูดกันอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ ขึ้นมาและเดินลิ่วไปยังห้องนอนของตัวเองโดยมีวรรณารีส่งยิ้มเจื่อนตามหลังไป
“เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่
สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร
“แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง
“แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห