“อาดี้?” เสียงเคาะประตูจากอีกฟากหนึ่งของประตูถาม"คะ?" ฉันตอบพลางนั่งลงบนเตียง“ฉันเองเบลล์ ฉันเข้าไปได้ไหมคะ”"แน่นอน เข้ามาได้เลยค่ะ"ประตูเปิดออกและเธอก็เข้ามายิ้มให้ฉัน"คุณหลับสบายดีไหมคะ?" เธอถามยิ้ม และนั่งลงบนเตียงของฉัน“ดีจ้ะ เตียงนี้นอนสบายมาก และฉันก็เหนื่อยมากด้วย” ฉันหาวและเหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ“นี่ก็เก้าโมงเช้าแล้ว และอัลฟ่าก็ขอให้คุณลงมากินข้าว” เธอพูดแล้วฉันก็พยักหน้าฉันลุกขึ้นจากเตียงเปิดกระเป๋าและสวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำและกางเกงยีนส์ของฉัน ฉันหยิบชุดชั้นในและกางเกงชั้นในและเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวฉันอาบน้ำและแปรงฟันอย่างรวดเร็ว ถักเปียไว้ด้านข้างและสวมเสื้อผ้า เมื่อออกจากห้องน้ำก็พบว่าเบลล์กำลังถือกรอบรูปของครอบครัวฉันอยู่"คุณกำลังทำอะไรน่ะ?" ฉันถาม เสียงเย็นโดยเธอไม่ทันตั้งตัว“เอ่อ ฉันกำลังคิดจะช่วยเก็บของของคุณ และฉันก็เห็นกรอบรูปนี้ ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ต้องการเข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของคุณเลย” เธอพูดด้วยความเสียใจและเก็บกรอบรูปไว้บนโต๊ะ“ไม่ ไม่เป็นไร” ฉันพูดแล้วเดินไปหาเธอและโบกมือให้เธอช่วยฉันเก็บของ เธอยิ้ม และภายใน 15 นาที เราก็เก็บของทุกอย่าง
ขณะที่ผมมุ่งหน้าไปยังที่ทำงาน ผมก็ส่งกระแสจิตถึงเบลล์ ขอให้เธอพาบรูคส์ลงไปรับประทานอาหารเช้าด้วย ข่าวการปรากฏตัวของเธอในบ้านของผม และข่าวที่ว่าเธอคือลูน่า แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟป่า มนุษย์หมาป่าทุกตัวได้รู้ข่าวว่าเธอจะเป็นราชินีภายในชั่วข้ามคืนผมไม่สามารถโทษใครได้ เอเดอริน มีรังสีออร่าอยู่รอบตัวเธอ ซึ่งทำให้มนุษย์หมาป่าต้องสวามิภักต่อเธอ เธอถูกวางให้เป็นคู่กับราชามนุษย์หมาป่า ซึ่งนั่นจะทำให้เธอเป็นราชินีแห่งมนุษย์หมาป่าแม้ว่าเธอจะสวยมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือเธอเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่มีทางเปรียบเทียบกับมนุษย์หมาป่าในแง่ใดได้เลย มนุษย์หมาป่าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มากทั้งในเรื่องความแข็งแรงทางกายภาพ พลัง อายุขัย หรือแม้กระทั่งสติปัญญาการแต่งงานกับมนุษย์หมายถึงความรับผิดชอบ มนุษย์ไม่ควรจะรู้เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า และในเมื่อผมจะต้องแต่งงานกับมนุษย์ ผมจะต้องดูแลเธอและชีวิตของเธอ เหมือนเธอเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชิวิตผม และนี่เป็นเรื่องยากสำหรับผมและสำหรับเธอที่เป็นมนุษย์เธอไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กับมนุษย์หมาป่าและศัตรูของผม การเป็นราชา ผมจะต้องดูแลอาณาจักรและประชาชนของผมเอง แต่ผมก
“ไปทานอาหารกันเถอะค่ะ” เบลล์พูดพร้อมกับจับมือฉันแล้วลากฉันไปที่ไหนสักแห่ง"เดี๋ยวสิ! เราจะไม่ไปทานร่วมกับพวกเขาเหรอ?” ฉันถามแล้วชี้ไปที่ผู้คนที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ในห้อง“ไม่ค่ะ เราจะไปทานกันในอีกห้องหนึ่ง” เธอลากฉันไป แล้วฉันก็สังเกตว่ามีคนมองเมื่อเราเดินผ่านพวกเขาเข้าไปในห้อง“ทำไมเราถึงแยกออกไปกินกันตามลำพัง ไม่นั่งรวมพวกเขาล่ะ” ฉันถาม“เบลค โคล และแม้แต่อัลฟ่าก็จะมาร่วมทานอาหารกับเราที่นี่ค่ะ” เธอพูดขณะที่เธอเริ่มวางจานลงบนโต๊ะฉันช่วยเธอ และทันทีที่เธอกล่าว ลิงสามตัวก็เข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย“คุณจะทานอะไรดีคะ ขนมปังหรือซีเรียล” เบลล์ถามจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ“ขอขนมปังค่ะ” ฉันยิ้มให้เธอ และตลอดเวลาฉันรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างร้อนรน เผาไหม้อยู่ข้างๆฉัน ฉันมองไปทางซ้าย แล้วพบว่าเหมือนมีคิงคองยักษ์กำลังมองฉันอยู่ กะพริบตาไปมาช้าๆ ราวกับว่าเขาพยายามจะอ่านใจฉัน“ไร้สาระน่า” ฉันคิดแล้วเอามือตบโต๊ะอย่างตั้งใจ นั่นทำให้เขาหลุดออกมาจากโลกใบเล็กๆของเขาตอนแรก เขาจ้องมองมาที่ฉันอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทำหน้าบึ้ง และนาทีต่อมาเขาก็กินอาหาร“ผู้ช
เป็นเวลาสามสัปดาห์แล้วที่ฉันมาอยู่ที่นี่ และจะบอกว่าฉันชอบที่นี่ ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่จริงๆสำหรับฉัน ฉันไม่เคยติดใจอะไรง่ายๆแบบนี้มาก่อนเบลล์ได้ใกล้ชิดกับฉันมากขึ้นในช่วงเวลานี้ และส่วนที่ตลกที่สุดคือฉันได้รับการดูแลจากผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ฉันชอบความรู้สึกนั้น เป็นความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ นอกเหนือจากนี้ ก็มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถทำให้ฉันหงุดหงิดได้คนแรกคือ แม่สาวผมบลอนด์สุดชิค ลิลลี่ และคนที่สองคือตาบ้า ดีแลนฉันไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไรกับฉัน แต่ทุกครั้งที่ฉันพบเขา เขาจะทำท่าเย็นชากับฉัน และเขายังดุฉัน เยาะเย้ยว่าฉันเป็นเด็กและอ่อนแอฉันเหนื่อยหน่ายกับสองคนนี้มาก ปัญหาคือลิลลี่ชอบดีแลน อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่ฉันได้ยินมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้น ฉันไม่เข้าใจว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ลิลลี่ชอบดีแลน ดีแลนชอบงานและผู้คนของเขา คนของเขาชอบฉันเป็นเหมือนสามเหลี่ยม จะแปลกอะไร“รู้ไหมว่าทำไมตึกถึงกระโดดไม่ได้” เบลคชวนฉันเล่นเกมกับเขาฉันเกาคางครุ่นคิดแล้วยิ้มเมื่อพบคำตอบ “เพราะตึกไม่ใช่จิงโจ้” ฉันกรีดร้องทำให้เขาหัวเราะและเราทั้งคู่ก็แปะมือไฮไฟกัน จากนั้นก็หัวเราะออกมา“ไร้สาระอะไรกัน” ฉันได
ฉันนั่งบนเตียงมองออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฉันเห็นต้นไม้เริ่มผลิใบแล้ว ฉันรักฤดูใบไม้ผลิฉันดูเวลาและพบว่าเป็นเวลาเย็นแล้วฉันสวมแจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อของฉันและเดินออกจากห้อง มันเป็นนิสัยของฉันตั้งแต่วัยเด็กที่จะไปเดินเล่นทุกเย็น มันช่วยทำให้จิตใจของฉันสงบลงฉันเดินออกจากบ้านและเดินไปตามเส้นทางเดิมที่ฉันใช้ทุกวัน เป็นพื้นที่ป่าไม้ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งขณะนี้กำลังผลิใบ ใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงบนพื้นปกคลุมพื้นดินเหมือนกับผ้าปูที่นอน ฉันเดินย่ำบนใบไม้ ชมทิวทัศน์ที่สวยงามเมื่อเห็นแสงตะวันกระทบใบไม้ทำให้ดูเป็นสีทองฉันจำได้ว่าบางครั้งพ่อของฉันจะมาเดินเล่นด้วยกัน เขาจะพูดถึงวันเวลาเก่าๆของเขาและเราก็จับมือกัน เดินไปด้วยกันฉันกำลังเดินอยู่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่จู่ๆก็หยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก ฉันหันไปมองรอบๆไม่เห็นใครเลย แต่ฉันถูกฝึกมาให้เชื่อหูมากกว่าเชื่อสายตา“ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่นั่น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ออกมาซะ ไม่ต้องซ่อนตัว” ฉันพูดและรอให้บุคคลนั้นออกมาฉันแน่ใจว่าตาของฉันแทบจะหลุดออกจากเบ้าเมื่อเห็นบุคคลผู้นั้น ดีแลนเขาออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ฉ
ฉันร้องบ่น เมื่อพบว่าโทรศัพท์ส่งเสียงร้องดัง ฉันเหยียดแขนออกไปหยิบโทรศัพท์และเช็คดูว่าใครส่งข้อความมาข้อความมาจากหมายเลขที่ไม่รู้จักเหมือนเช่นเคย ข้อความแจ้งว่า "รอบต่อไปจะจัดขึ้นในเดือนหน้า ให้อยู่ที่นั่น เป็นงานที่ใหญ่มาก”ฉันลบข้อความแล้วนั่งลงเอนพิงหัวเตียงฉันช่างมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ฉันสาปแช่งชะตากรรมของตัวเองที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ดีใจที่ได้ใช้ชีวิตที่สวยงาม ฉันมองไปทางซ้ายของเตียงเพื่อดูรูปครอบครัวและเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูป“ฉันคิดถึงแม่ พ่อและแนนซี่ ฉันอยากเจอทุกคนจัง” ฉันพึมพำและจูบลงบนกรอบรูปและเหลือบมองครั้งสุดท้าย ฉันวางเก็บมันไว้ข้างๆฉันลุกขึ้นจากเตียง จัดเตียงให้เรียบร้อยและเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ฉันใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานเพราะฉันไม่มีอะไรต้องทำ และบรรจงเทแชมพูใส่มือและค่อยๆสระผม ฉันห่อผ้าเช็ดตัวไว้รอบตัว ยืนอยู่หน้ากระจกและใช้ฝ่ามือเช็ดละอองน้ำที่ก่อตัวบนกระจกออกอย่างอ่อนโยน“อืม ฉันคงต้องตัดผมซะแล้ว” ฉันกระซิบกับตัวเอง เอานิ้วมือสางผมที่เปียกไปมาฉันเดินออกจากห้องน้ำและเดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ฉันเลือกใส่กางเกงยีนส์สีดำขาดๆ กับเส
เราเดินข้ามลำธารและฉันก็จ้องมองไปที่สถานที่นั้น มันสวยมาก ห่างไกลจากมลภาวะและเสียงรบกวน เงียบสงบแต่ยังสวยงาม รายรอบไปด้วยธรรมชาติ ในที่สุดเราก็เจอทุ่งหญ้าและหลังจากเดินไปอีกสิบห้านาที เราก็เจอจุดสิ้นสุดและเราก็มาถึงถนนคอนกรีต เราเดินไปตามทางนั้นและพบว่ามีรถวิ่งผ่านเราไปบนถนนสายนั้น ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองเล็กๆ"เมืองเหรอ?" ฉันถามงงๆ“ใช่ค่ะ และมันอยู่ภายใต้พื้นที่ของเรา” เบลล์พูดยิ้มๆ กับการแสดงออกของฉัน“มันเป็นของอัลฟ่าของคุณด้วยเหรอ?” ฉันถามและเธอก็พยักหน้าเราเดินเข้าไปในเมือง ฉันมองดูเด็กๆกำลังเล่นยางและผู้คนกำลังเดินกันเป็นกลุ่ม ร้านค้า บ้านเรือน และทุกสิ่งที่เมืองหนึ่งต้องการจะมี"เราจะไปที่ไหนคะ?" ฉันถาม และเธอมองกลับมาที่ฉัน และพูดว่า "ไปช้อปปิ้งมอลล์ค่ะ""อะไรนะ? มีห้างสรรพสินค้าที่นี่ด้วยหรือ” ฉันถามอย่างแปลกใจ"ใช่ค่ะ!" เธอตอบและเราเดินต่อไปที่ห้างที่เธอพูดถึงเราไปถึงที่นั่นและใช่แล้ว มันคือห้างสรรพสินค้าแต่ไม่ใช่ห้างใหญ่ ฉันยิ้มพอใจเมื่อเห็นห้างสรรพสินค้า“เข้าไปกันเถอะ” เธอพูดอย่างตื่นเต้น และฉันก็ยิ้มตามเธอเข้าไปในห้าง“ก่อนอื่น ไปที่แผนกเสื้อผ้ากันเถอะค่ะ” เธอพูดอย่างย
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?” ฉันถามพลางหรี่ตาลง“ผมพูดอะไร” ดีแลนตอบอย่างเงียบๆ และกินพาสต้าไก่ของเขาต่อไปอย่างไร้เดียงสาฉันแน่ใจว่าฉันได้ยินเขาพูดว่า "เธอเป็นสาวพรหมจารี ฉันได้กลิ่นมัน" กับเบลค“คุณก็เห็นว่าฉันไม่ได้หูหนวกนี่ เข้าใจไหม” ฉันกัดฟันพูดฉันตกใจมากที่เขารู้ว่าฉันเป็นเป็นสาวบริสุทธิ์? และคำว่า "ฉันได้กลิ่นมัน" มันหมายความว่ายังไง?ฉันจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน ถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อไป อีกแค่สามสัปดาห์เท่านั้น แล้วฉันจะไปจากที่นี่ ฉันจะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นมา ท่องเที่ยวไปอย่างสนุกสนาน และแน่นอน ฉันจะคิดถึงเบลล์ เบลค และโคล ถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะยังคงติดต่อกับพวกเขาต่อไปพวกเขาใกล้ชิดกับฉันมากในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ฉันจึงตัดสินใจจะรักษาความสัมพันธ์ ติดต่อกับพวกเขาต่อไป แต่ไม่ใช่กับดีแลน ฉันจะไม่คิดถึงเขาและจะไม่ติดต่อกับเขาอีก“กินอาหารของเธอซะ แล้วก็หยุดกวนผมได้แล้ว” เขาพูดอย่างหงุดหงิดเขานี่ทำให้ฉันจะประสาทเสีย เขานี่แหละที่กำลังกวนประสาทฉัน แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่าฉันทำให้เขารำคาญ“ฉันกวนประสาทคุณเหรอ? คุณสิเป็นคนที่ทำให้ฉันรำคาญใจ คุณช่วยทำงานของคุณไป โดยไม่ต้องสนใจฉันหรือพูดถึ