ลมเหมันต์พัดมาต้องกายในยามเช้า ทำให้จ้าวเยว่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ฤดูเหมันต์ในปีนี้เหมือนจะหนาวกว่าทุก ๆ ปี ตามถนน หลังคาจวน ต้นไม้ บันได และที่อื่น ๆ ต่างก็มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้นางถึงกับไม่อยากออกจากจวนไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน อากาศยิ่งหนาวมากเท่าไร นางก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเท่านั้น
เวลานี้จ้าวเยว่เอาผ้าห่มมาพันม้วนตัวเองไว้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ราวกับถังหูลู่ที่กลิ้งชุบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น
“ผิงผิงเจ้าเติมฟืนที่เตาให้หน่อยสิ ข้ารู้สึกว่ามันยังร้อนไม่พอ” จ้าวเยว่หันไปบอกกับผิงผิงสาวใช้คนสนิท ทั้งที่ตัวนางยังไม่ยอมออกจากผ้าห่ม
ผิงผิงมองไปที่เตาเห็นไฟลุ่มท่วมจนล้นออกมาด้านนอกก็ตอบกลับคล้ายจะประชดเล็กน้อย “จะเติมอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเติมมากกว่านี้ ก็เท่ากับคุณหนูจะเผาเรือนแล้วนะเจ้าคะ”
“ก็ข้าหนาวนิ” จ้าวเยว่บ่นอุบ พร้อมกับมีเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ
“เดี๋ยวผิงผิงไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ไปหยิบผ้าห่มด้านหลังห้อง
ส่วนจ้าวเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาวิธีที่จะคลายหนาว ฉับพลันในหัวก็คิดขึ้นมาได้ ‘หรือว่าจะแอบออกไปฝึกยุทธ์ดี ถ้าออกไปฝึกยุทธ์ ร่างกายก็คงจะอบอุ่นอยู่ไม่น้อย’ จากนั้นจึงได้เรียกบอกให้ผิงผิงสาวใช้คนสนิทของตนไม่ต้องเอาผ้ามาแล้ว
“ผิงผิง เจ้าไม่ต้องเอาผ้าห่มออกมาแล้วล่ะ ข้าไม่ใช้แล้ว”
“ทำไมหรือเจ้าคะ คุณหนูบอกว่าหนาวมิใช่หรือเจ้าคะ” ผิงผิงตอบกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย ในเมื่อบอกว่าหนาวแล้วทำไมถึงไม่ให้เอาผ้าห่มให้ล่ะ
“ตอนนี้ไม่หนาวแล้ว ข้ามีความคิดดี ๆ ที่จะไม่ทำให้ข้าหนาวเย็นแล้วล่ะ” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้าง ท่าทางภูมิใจยิ่งนัก
“อะไรหรือเจ้าคะ ต้องไม่เป็นเรื่องดีแน่เลย” ผิงผิงเอ่ยราวกับคาดเดาได้ว่าคุณหนูของตนจะทำอะไร
จ้าวเยว่ทำหน้าตาบูดบึ้งใส่สาวใช้คนสนิท ที่ดุเหมือนจะรู้ทันนาง “เจ้านี่ก็ชอบมองข้าในแง่ร้ายอยู่เรื่อย ข้าไม่ไปทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปสังหารผู้ใด”
“จะมีสักกี่ครั้ง ที่คุณหนูคิดจะทำอะไรแล้วจะไม่ถูกฮูหยินเรียกไปพบที่ห้องโถงบ้างเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นตามจริง จะมีสักกี่ครั้งที่คุณหนูของนางทำอะไรแล้วไม่ถูกเรียก
“ก็จริงของเจ้า เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ข้าไม่ยอมหรอก อย่างไรข้าก็ต้องไปให้ได้” จ้าวเยว่เอ่ยเสียงดังขึ้นมา ก่อนที่นางจะลุกพรวดออกจากเตียง แล้วไปเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฝึกยุทธ์ที่ทะมัดทะแมง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็วิ่งออกจากประตูไปทันที
ผิงผิงที่พยายามจะวิ่งตาม แต่ก็ช้ากว่าตลอด ได้แต่ตะโกนไล่หลังให้คุณหนูของนาง “คุณหนูไปไหนเจ้าคะ รอผิงผิงด้วย”
จ้าวเยว่วิ่งออกจากห้องมาอย่างร่าเริง แต่ทว่ายังไปไม่ถึงไหนก็ต้องพบกับจ้าวฮูหยินที่เดินสวนมาเสียก่อน เนื่องจากนางกำลังจะมาหาจ้าวเยว่ อยู่พอดี
ความรู้สึกตอนนั้นของจ้าวเยว่ ก็เหมือนกับว่าถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะอย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่มุ่งหมายไว้พังทลายลงไปกับตา นางได้แต่ทำหน้าเจื่อนก่อนจะเรียกมารดาเสียงเบา
“ท่านแม่”
“เจ้าจะไปไหนหรือเยว่เอ๋อร์” ฮูหยินใหญ่เอ่ยถาม สายตาสำรวจมองดูจ้าวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ท่าทางของเจ้าดูเหมือนจะออกไปข้างนอก จะออกไปโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตข้า ใช่หรือไม่”
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปขออนุญาตท่านแม่อยู่พอดี ว่าจะออกไปซื้อแป้งผัดหน้ามาไว้เพิ่มเสียหน่อย” จ้าวเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่กล้าสู้หน้ามารดาสักเท่าไร
จ้าวเยว่คิดว่าคำโกหกของนาง จะสามารถทำให้นางเอาตัวรอดไปได้แล้ว แต่ว่าท่าทางที่ผิดปกตินั้นก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของผู้เป็นมารดาอยู่ดี เมื่อมองการแต่งกายของบุตรสาวนั้นช่างผิดปกติวิสัยนัก มีอย่างที่ไหนถึงได้แต่งตัวเช่นนี้
“ไปซื้อแป้งผัดหน้าหรือ เหตุใดจึงต้องแต่งตัวเช่นนี้ บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้นะ จ้าวเยว่!!” จ้าวฮูหยินเค้นเสียงถามเยียบเย็น เมื่อเห็นการแต่งกายของจ้าวเยว่
เมื่อถูกต้อนให้จนมุม จ้าวเยว่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่พยายามหาคำเอ่ยที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดแล้วเอ่ยออกมา
“ข้าไม่ได้โกหกนะเจ้าคะท่านแม่ ข้าจะไปซื้อแป้งผัดหน้าจริง ๆ แต่ระหว่างทางกลับข้าก็แค่จะแวะเล่นน้ำสักหน่อย แฮะ ๆ”
“เหตุผลของเจ้าฟังไม่ขึ้นเลย อากาศหนาวถึงเพียงนี้จะเล่นน้ำ... เจ้าไม่ต้องเอ่ยแล้ว ตามข้ามา” จ้าวฮูหยินคร้านจะสนใจฟังคำแก้ตัวของบุตรสาวอีกแล้ว จึงได้บอกให้นางเดินตามมา
จ้าวเยว่ปฏิเสธไม่ได้จึงได้เดินตามมารดาของตนกลับเข้าไปในห้องแต่โดยดี ส่วนผิงผิงที่ไหวตัวทัน ก็รีบวิ่งกลับมาก่อนแล้วจัดเตรียมห้องให้เรียบร้อย
เมื่อเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว จ้าวฮูหยินซึ่งมาพร้อมสาวใช้นางหนึ่ง ในมือของสาวใช้มีผ้าสีแดงผืนโปร่งบางอยู่หนึ่งพับ พร้อมทั้งสะดึงและด้ายสีต่าง ๆ อีกสามสี่ม้วน สาวใช้นางนั้นยื่นของในมือทั้งหมดให้กับจ้าวเยว่ จ้าวเยว่เองก็จำใจรับมาพร้อมกับทำหน้างุนงง
“ท่านแม่ให้สิ่งนี้ข้ามาทำไมหรือเจ้าคะ” จ้าวเยว่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“นี่คือผ้ามงคลสำหรับให้เจ้าตัดเย็บผ้าปิดหน้าเจ้าสาว ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าต้องเป็นคนตัดเย็บมันด้วยตัวเอง และอีกเพียงสิบวันก็จะถึงวันงานแล้ว ข้าจึงต้องเอามาให้เจ้าก่อน เพราะข้ารู้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะทำเสร็จได้ภายในวันสองวันเป็นแน่”
พอได้ยินก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเล็กน้อย การเป็นเจ้าสาวว่าลำบากแล้ว นี่นางยังต้องมาลำบากตัดเย็บผ้าปิดหน้าเองอีกหรือ จึงเงยหน้ามองผู้เป็นมารดา แต่ทว่าเมื่อจ้าวฮูหยินกล่าวจบแล้ว ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้จ้าวเยว่แบกรับความลำบากใจนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ลับสายตาไปแล้วนั้น คุณหนูผู้ปราดเปรื่อง ก็หันขวับมามองผิงผิงสาวใช้คนสนิททันที ผิงผิงเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตนเอง จึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ไม่นะเจ้าคะ ผิงผิงไม่ทำ”
“เจ้า...ต้อง...ทำ” จ้าวเยว่มองเข้าไปในตาของผิงผิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ผิงผิงจึงได้บอกเล่าออกไปด้วยความจนใจว่า
“มันเป็นธรรมเนียมที่จ้าวสาวจะต้องเป็นผู้ตัดเย็บผ้าปิดหน้าของตัวเอง เองเจ้าค่ะ จะให้ผู้อื่นทำแทนไม่ได้”
“เมื่อไรพวกเขาจะยกเลิกธรรมเนียมพวกนี้เสียที ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อันใดเลย สมควรจะมีร้านขายผ้าปิดหน้าเลยเสียด้วยซ้ำ” จ้าวเยว่บ่นอุบเมื่อถูกสาวใช้ขัดใจ
“ทำไปเถอะเจ้าค่ะ อย่างไรเสียงานแต่งนี้ ก็เป็นงานของคุณหนู คุณหนูอยากปักลายอะไร ก็เลือกเองได้เลย” ผิงผิงเอ่ยบอกอย่างกระตือรือร้น
จ้าวเยว่ทำหน้าเอือมระอาให้ผิงผิงคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยกลับมา “ความสามารถอย่างข้าคงปักนกกระเรียนให้กลายเป็นไก่ล่ะสิไม่ว่า”
จากนั้นจึงหันไปอ้อนวอนผิงผิงอีกครั้ง “นะ...ผิงผิง เจ้าช่วยข้านะ ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครแล้ว” พร้อมกับส่งสายตาที่น่าสงสารให้กับสาวใช้คนสนิท
ซึ่งตัวของผิงผิงนั้นรักคุณหนูของตัวเองยิ่งกว่าผู้ใด ดังนั้นเมื่อถูกจ้าวเยว่อ้อนวอน ก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ จึงรับผ้าสีแดงพับนั้นมาด้วยดี
“อ้อ แล้วเจ้าก็อย่าทำเสร็จเร็วเกินไปล่ะ เดี๋ยวท่านแม่จะสงสัยเอา” จ้าวเยว่ได้เอ่ยจบ นางจึงเอนหลังลงนอนบนเตียงสบายใจ เนื่องจากการปักผ้าไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการเลย
สามวันต่อมา...
จ้าวฮูหยินเข้ามาในห้องของจ้าวเยว่ เพื่อที่จะดูว่าบุตรสาวตัดเย็บผ้าปิดหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่นางเข้ามาในตอนที่จ้าวเยว่กับผิงผิงไม่อยู่
เมื่อเข้ามาแล้วก็พบว่าผ้าปิดหน้าตัดเย็บเสร็จเรียบร้อย อีกทั้งยังถูกตัดเย็บอย่างดี ฝีเข็มในการเย็บละเอียดมาก มิหนำซ้ำลวดลายที่ปักบนผ้าก็สวยงามวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง
‘นี่ต้องไม่ใช่ความสามารถของจ้าวเยว่เป็นแน่ ลูกคนนี้ช่างร้ายกาจนัก”
นางคิดในใจ จากนั้นก็เก็บผ้าปิดหน้านี้ไว้ แล้วกลับไปยังห้องโถงและนั่งรอบุตรสาวจอมเจ้าเล่ห์ของตน
ไม่นานก็มีเสียงเดินและเสียงสนทนาดังมาจากทางประตูเข้าจวน เป็นจ้าวเยว่กับผิงผิงที่เพิ่งกลับมาจากออกไปเดินเล่นข้างนอกกับซูหนิง เมื่อกลับมาถึงจวน ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไป บ่าวที่เฝ้าประตูก็เอ่ยขึ้นมา
“ฮูหยินให้คุณหนูไปพบที่ห้องโถงขอรับ”
จ้าวเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดร่าเริงทันที ก่อนจะก็โอดครวญขึ้นมา “ห้องโถงอีกแล้ว นี่มันห้องประหารข้าชัด ๆ”
กล่าวจบก็เดินทำหน้าตาอิดโรยไปยังห้องโถงทันที โดยมี ผิงผิงสาวใช้คนสนิทตามไปด้วย
ผิงผิงสังหรณ์ใจว่า จะต้องเป็นเรื่องผ้าปิดหน้าเป็นแน่ นี่แสดงว่า ฮูหยินจะรู้ความจริงแล้ว
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า