เมื่อเข้ามาในห้องโถง จ้าวเยว่ย่อกายทำความเคารพมารดา ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่มารดาเรียกตนเองมาพบ “ท่านแม่เรียกให้ข้ามาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
จ้าวฮูหยินโยนของบางอย่างลงพื้น ซึ่งนั่นก็คือผ้าปิดหน้าสีแดง พร้อมกับชี้ให้จ้าวเยว่ดู “เจ้าดูเอาเอง ว่านี่คืออะไร”
ตอนนี้จ้าวเยว่รู้แล้วว่าหายนะมาเยือนตัวเองแล้ว จะแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเช่นกัน วิธีที่ที่ดีสุด ก็คือยอมรับไปเลยดีกว่า แล้วค่อยหาข้ออ้างว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
“ท่านแม่ คะ...คือข้าคิดว่าฝีเข็มและความสามารถด้านการตัดเย็บของข้านั้นแย่เอามาก ๆ หากข้าทำออกมาเองคงจะกลายเป็นผ้าปิดหน้าที่อัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิ ต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันเลยก็เป็นได้ ข้าเลยคิดว่า ให้ผิงผิงทำน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไร จ้าวฮูหยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“ถึงจะอัปลักษณ์อย่างไร เจ้าก็ต้องทำเอง นี่มันคือผ้าปิดหน้าของเจ้า ผิงผิง...เจ้าเองก็เช่นกัน ช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่สมควรช่วย”
“ผิงผิงขอโทษเจ้าค่ะ ผิงผิงจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน”
ผิงผิงรีบคุกเข่ากล่าวขอโทษขอโพยฮูหยินใหญ่
จ้าวฮูหยินสูดลมหายใจเพื่อข่มโทสะของตัวเองลง เมื่อเป็นปกติแล้วจึงเอ่ยต่อ “ข้าจะสั่งลงโทษพวกเจ้า ข้าจะสั่งกักบริเวณเยว่เอ๋อร์จนกว่านางจะตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จ ส่วนผิงผิง ข้าสั่งห้ามเจ้าเข้าใกล้เรือนนอนของเยว่เอ๋อร์จนกว่านางจะทำเสร็จ ระหว่างนี้ ให้สาวใช้คนอื่นทำหน้าที่ดูแลคุณหนูของเจ้าแทนก่อน”
“เจ้าค่ะท่านแม่ / เจ้าค่ะฮูหยิน” จ้าวเยว่และผิงผิงต่างก็รับคำก่อนจะแยกย้ายกันไป ตามคำสั่งของจ้าวฮูหยิน
เมื่อกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง จ้าวเยว่ได้แต่จ้องมองผ้าสีแดงพับนั้นอย่างเหนื่อยใจ เวลานี้นางไม่มีผิงผิงคอยช่วยแล้ว จะทำอย่างไรต่อไปดี ยามนี้เหมือนกับว่าอะไรอะไรก็ดูมืดมนไปเสียหมด ก่อนจะหยิบผ้าพับนั้นขึ้นมา แล้วพันรอบหัวของตัวเองเพื่อวัดขนาด ว่าผ้าปิดหน้าควรจะมีขนาดประมาณไหน
เสวี่ยช่างเจิ้นที่แอบปีนหลังคาดูนางอยู่นั้น ถึงกับต้องหัวเราะออกมา เพราะท่าทางเช่นนั้นของนาง ดูน่าขันไม่น้อย
พอวัดขนาดผ้าปิดหน้าเจ้าสาวได้แล้ว จ้าวเยว่ก็ได้ทำการตัดแล้วเย็บขอบของผ้าปิดหน้า จากนั้นก็ปักลวดลายต่อ ตลอดเวลาที่นางทำผ้าปิดหน้านั้นสีหน้าของนางบูดบึ้งยิ่งนัก ภาพของหญิงสาวนั่งปักผ้าด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งนั้น กลับสร้างความเอ็นดูให้กับเสวี่ยช่างเจิ้นยิ่งนัก
จ้าวเยว่ที่ก้มหน้าก้มตาตัดเย็บผ้าปิดหน้าด้วยความไม่พอใจมาเป็นเวลาสามวันเต็ม ก็โล่งใจขึ้นมาเมื่อผ้าปิดหน้าผืนนี้ได้เสร็จเรียบร้อย นางกางผ้าตรวจดูความเรียบร้อยอักครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องแก้ไขแล้ว จึงเดินไปเรียกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอก
“เจ้าเอาผ้าปิดหน้านี่ไปให้ท่านแม่ดู แล้วก็ไปตามผิงผิงมาหาข้าด้วย บอกว่าข้าตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จแล้ว” จ้าวเยว่ยื่นผ้าปิดหน้าเจ้าสาวส่งให้สาวใช้ที่มารดาให้มารับใช้ช่วงนี้ ให้นำไปส่งให้จ้าวฮูหยินเพื่อแจ้งว่านางได้ปักเย็บผ้าผืนนี้เสร็จแล้วจริง ๆ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้นางนั้นรับผ้าปิดหน้าแล้วเดินจากไปทันที เพื่อนำไปให้ฮูหยินของจวน
หลังจากที่อุดอู้อยู่แต่ในห้องมาเป็นเวลาถึงสามวัน จ้าวเยว่ก็อยากออกไปยืดเส้นยืดสายบ้าง ถึงแม้ว่านางจะชอบอยู่ในห้องขนาดไหน แต่ครั้งนี้มันรู้สึกอึดอัดมากเกินไปจริง ๆ อีกทั้งต้องมาทำในสิ่งไม่ชอบอีก
เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจ้าวเยว่ก็คิดหาวิธีแก้เบื่อขึ้นมา
“วันนี้ข้าออกไปทำอะไรดีนะ นั่งปักผ้าทั้งวัน ปวดหลังจะแย่อยู่แล้ว” นางเอ่ยกับตัวเองระหว่างรอสาวใช้คนสนิท
ระยะเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป[1] ก็ปรากฏเสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นผิงผิงก็ก้าวเข้ามา จ้าวเยว่มองสาวใช้คนสนิทด้วยรอยยิ้มทันที
“คุณหนู ท่านตัดเย็บผ้าปิดหน้าเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความดีใจ
จ้าวเยว่ตอบอย่างภาคภูมิใจกับสาวใช้ของนางด้วยรอยยิ้ม “เสร็จแล้วน่ะสิ เอาไปให้ท่านแม่ตรวจดูแล้วด้วย”
“ดีเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ผิงผิงให้ครัวตุ๋นน้ำแกงรากบัวอยู่เดี๋ยวจะยกมาให้นะเจ้าคะ”
ผิงผิงเอ่ยบอก สายตาก็มองสำรวจคุณหนูของตนเอง มือทั้งสองของนางจับตามแขนขาของจ้าวเยว่ดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่ จากนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง
“การปักผ้ามิได้เคี่ยวกรำคุณหนูจนให้ลำบากเกินไปใช่หรือไม่ เจ้าคะ”
“ลำบากสิ ลำบากมากด้วย เจ้าดูมือข้าสิ ข้าโดนเข็มทิ่มตำไปไม่รู้ตั้งกี่แผล จนนิ้วมือข้าพรุนไปหมดแล้ว” จ้าวเยว่ตอบพร้อมกับยื่นมือให้ดู การปักผ้าสำหรับนางนั้นเป็นเรื่องลำบากมากจริง ๆ
ผิงผิงมองแล้วพร้อมกับมีสีหน้าหน้ากังวลก่อน จะผละมือจากคุณหนูของตนแล้วเดินไปที่ชั้นวางของทันที เพื่อหยิบบางอย่าง
“คุณหนูรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวผิงผิงจะทำแผลให้”
จากนั้นจึงหันไปหาสาวใช้ที่เฝ้าจ้าวเยว่มาตลอดทั้งสามวันและตำหนิด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้านี่ก็จริง ๆ เลย คุณหนูถูกเข็มตำขนาดนี้ ทำไมยังไม่รู้จักทำแผลให้”
“เจ้าอย่าไปว่าชุนสุ่ยเลย ข้าเองก็ไม่ได้บอกนาง เข็มตำแค่นี้ไกลหัวใจข้าทนไหว” จ้าวเยว่รีบกล่าวออกมาเมื่อเห็นสาวใช้อีกคนก้มหน้าสำนึกผิด
ผิงผิงหยิบยาและผ้าสำหรับปิดแผลขึ้นมา พลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ หากเข็มนั่นสกปรกขึ้นมาอาจทำให้เป็นแผลลุกลามได้ เสียโฉมได้เลยเจ้าค่ะ”
จ้าวเยว่จ้องหน้าผิงผิงก่อนจะบอกว่า “คนอย่างข้ากลัวเสียโฉมเมื่อไรกันเล่า”
ตั้งแต่ถูกกักบริเวณอยู่ในห้องเป็นระยะเวลาสามวัน โดยที่ไม่มีผิงผิง ทำให้นางรู้สึกว่าการถูกกักบริเวณครั้งนี้เป็นครั้งที่ทรมานที่สุด ที่ผ่านมาไม่ว่าจะโดนกักบริเวณสักกี่วัน ต่อให้เป็นสิบวันครึ่งเดือนก็ตาม แต่ทว่าเมื่อมีสาวใช้คนสนิทอย่างผิงผิงอยู่ด้วย ทุกอย่างก็เหมือนจะดีไปหมด อีกทั้งตัวนางเองก็สบายยิ่งกว่าอะไร
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีผิงผิงไม่อยู่นี่สิ ไม่มีแม้แต่คนที่จะคอยแสดงความคิดเห็น หรือว่าปลอบใจนางก็ยังไม่มี ชุยสุ่นก็ไม่เข้าใจนางมากพอที่จะให้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังได้
หลังจากผิงผิงทำแผลให้แล้ว จ้าวเยว่ก็สบายใจขึ้นมา
“นี่ผิงผิง เจ้าว่าวันนี้พวกเราควรไปที่ไหนกันดี” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใสพร้อมกับมีสีหน้าที่ดีไม่อมทุกข์อีก
ผิงผิงแอบถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบคุณหนูของตน “เพิ่งพ้นจากการถูกกักบริเวณเองนะเจ้าคะ คุณหนูก็จะหาเรื่องถูกลงโทษอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
คราวนี้เป็นจ้าวเยว่ที่ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผิงผิงขึ้นมาบ้าง
“เจ้าไม่รู้หรือว่าความรู้สึกของคนที่ถูกกักบริเวณเป็นเช่นไร รอบนี้ข้าถูกกักบริเวณอย่างทรมานที่สุด เจ้ามาหาข้าก็ไม่ได้ อีกทั้งข้ายังต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอีกด้วย เจ้าลองคิดดูสิว่า ข้าจะต้องทนทุกข์สักแค่ไหน”
“ก็ได้เจ้าค่ะ คุณหนูอยากไปไหนดีละเจ้าคะ” ผิงผิงที่เห็นคุณหนูของตนเองโวยวายใหญ่ ก็ยอมใจอ่อนจนได้
จ้าวเยว่หันมาสบตาผิงผิงแล้วทำตาโตใส่ ก่อนจะกล่าวประโยคต่อมา “ไปฝึกยุทธ์กัน”
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู” ผิงผิงรีบแย้งขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ได้อย่างไร เมื่อครู่เจ้ารับปากข้าแล้ว” เมื่อผิงผิงไม่เห็นด้วย จ้าวเยว่จึงได้เถียงกลับทันที
คราวนี้ผิงผิงจนมุมและไม่มีคำโต้แย้งใด ๆ อีก ได้แต่ยืนคอตกไหล่เหี่ยวอยู่ตรงนั้น ส่วนจ้าวเยว่ก็เดินไปเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฝึกยุทธ์ เมื่อเปลี่ยนเสร็จแล้ว ก็เดินกลับมาหาผิงผิงทันที
“ไปกันเถอะ เจ้าออกไปดูที่ประตูหลังก่อน เจ้าจงนัดแนะกับคนเฝ้าประตูให้เรียบร้อย” จ้าวเยว่ออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะหากโดนจับได้ ไม่รู้ว่าทั้งนางและคุณหนูจะโดนลงโทษอะไร
ไม่นานจากนั้นทั้งคู่ก็ออกมาอยู่ที่ถนนเส้นเล็กหลังจวน ด้านหลังที่มีรถม้าจอดอยู่แล้ว เป็นรถม้าที่จ้าวเยว่แอบเช่าเอาไว้ เจ้าของรถม้านั้นอยู่ไม่ไกลจากจวนมากนัก จึงได้มีเวลาเตรียมรถม้าได้ทัน
สองนายบ่าวก้าวขึ้นไปบนรถม้าทันที จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกจากประตูหลังจวน ไปยังทิศทางของลานฝึกทางทิศตะวันตกของเมืองหมิงเวย
[1] หนึ่งก้านธูป เท่ากับ 30 นาที
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า