“เด็กโง่”
อาซานอยากจะหยั่งรู้ว่าสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ หาเงินหรือ นางคิดว่าเพื่อแค่เดินตามทางถนนจะมีงานให้ทำ จะมีเศษเงินตกหล่นให้เก็บง่ายเช่นนั้นเชียวรึ ถ้าเช่นนั้นปานนี้เขาคงมีงานทำแล้วกระมัง กระท่อมหลังเล็กๆ ทรุดโทรมที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้เงียบสงบลงเช่นเคย ยามนี้ดวงอาทิตย์ลอยเด่นขึ้นกลางหัว อาซานนั่งจิบน้ำที่หระหนึ่งน้ำชาชั้นดีอยู่แคร่ลานกว้างแสงแดดสาดส่องจ้าร้อนระอ ประหนึ่งถูกแผดเผาทั้งเป็น แถบนี้เมื่อร้อนก็ร้อนจนจะหลอมละลายเมื่อหนาวก็เย็นจับลึกเข้าถึงกระดูก รู้ตัวอีกทีเขาก็มาฤดูกาลมาได้ถึงสองครั้งนับเกือบครึ่งปีเสียแล้วกระมัง หมู่บ้านที่เงียบสงบไร้ผู้คนพลุ่งพล่านไร้เรื่องคอยให้ปวดหัว เปรียบเสมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง แต่ทว่าเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างหนึ่ง อยู่กับข้าโชคร้ายหน่อยเสียเพราะข้าขี้คร้านตัวเป็นขนขี้เกียจทำงานหาเพียงเศษเงินเท่านั้น ชายหนุ่มแหงนหน้าหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับบรรกาศพักผ่อนหย่นใจอย่างสงบสุขโดยที่หารู้ไม่ว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่กำลังสาดส่องมอง เสียงสวบสาบของใบหน้าทำให้เขาต้องพลันลืมตาขึ้น “ผู้ใด” “จงออกมาเสีย” ร่างท้วมร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นหนึ่งที่ทางเข้ากระท่อม เสื้อผ้าสีซีดมีรอยปะชุนแก้ตัวผืน “เอ่ออ.. อาซานแย่แล้ว” “กระไร” มีอะไรแย่เสียกว่าเขามีภรรยามิทันตั้งตัว “ภรรยาเจ้ามีเรื่องทะเลาะกับลูกสาวพ่อค้าหมูในตลาด” บัดซบ! บนท้องถนนกลางตลาดมีฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนมุ่งล้อมเป็นวงกลมรอชมความครึกครื่นก็ไม่ปาน เสียงสตรีตะโกนดังโต้ตอบกันสนั่นหวั่นไหวโดยไม่สนสายตาผู้คนทั้งหลาย ‘ลู่หลิน’ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของสกุลลู่พ่อค้าหมูร่ำรวยผู้หนึ่งในหมู่บ้าน ตั้งนางเกิดมามารดาก็ด่วนจากไปแล้ว เถ้าแก่ลู่จึงรักมากและถนุถนอมตามอกตามใจมาเสียตั้งแต่เด็ก ไม่ว่านางอยากได้อะไรล้วนหาประเคนมาให้ไม่ขัดใจเลยสักครั้ง เป็นเหตุให้นางกลายเป็นหญิงสาวผู้มั่นอกมั่นใจไม่ว่าจะทำอะไรล้วนต้องถูกต้องเพราะคอยมีบิดาหนุนหลังอยู่เสมอ ในตอนก่อนที่จะเกิดเรื่องไฉ่หงเดินเตล็ดเตร่ล่องลอยไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ นางกำลังคิดถึงที่ที่จากมาและเรื่องราวหลังจากที่จากมาจะเป็นอย่างไรต่อ เจ้านีโม่สุนัขแสนรักจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีนางแล้ว ขณะกำลังเหม่อลอยกับมีสิ่งๆ หนึ่งชนนางอย่างแรงจนเซถอยหลังไปก้าว ก่อนที่เสียงของผู้คนจะดังเข้าโสตประสาท นางเดินมาถึงตลาดแล้ว “เจ้าเด็กขอทานขี้ขโมยหยุดบัดเดี๋ยวนี้” เสียงแวดแสบแก้วหูดังขึ้นมาไกลพร้อมกับหญิงสาวที่เดินแหวกฝูงชนเข้ามาใกล้ๆ เรื่อย ไฉ่หงพลันก้มหน้ามองสิ่งที่ชนตนเมื่อครู่ เป็นเด็กชายสภาพมอมแมมผู้หนึ่งสูงระดับเอวของนาง มือข้างหนึ่งกำลังกำชายเสื้อนางไว้ส่วนอีกข้างคล้ายถือถุงบางอย่างอยู่ “พี่สาวช่วยข้าด้วย” “เจ้าขโมยของนางมาไหม” นางมองเด็กชายที่ปฏิเสธส่ายหัวกับหญิงสาวผู้นั้นสลับกันไปมาก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเอาตัวบังอีกคนไว้ นี่มันเรียกว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าเห็นได้ชัด “หลบไป” ลู่หลินนับว่าโมโหโกรธเกรี้ยวถึงขั้นสุด ไม่ว่าใครจะฉุดจะดึงไว้ก็มิอาจทำได้เหตุเพราะกลัวนางจะลงไม้ลงมือแทน แต่สตรีผู้นางนี้เป็นใครกล้าขึ้นประชันหน้าไม่หลบหลีกไร้ความเกรงกลัวนัก ช่างไม่กลัวตาย “เขาบอกว่าไม่ได้ขโมย” ไฉ่หงออกปากฏิเสธแทน “หึ เจ้าเชื่อเด็กขอทานโสโครกนั้นจริงรึ เขามาซื้อหมูร้านค้าคนสุดท้ายหากแต่ปิดร้านยามนับเงิน เงินกับไม่ครบหากมิใช่เขาจ่ายเงินไม่ครบแล้วชิงเอาหมูไปนี่มิใช่เรียกว่าขโมยหรอกหรือ” ผู้คนรอบตลาดได้ยินล้วนให้ความสนใจเริ่มเกาะกันจับกลุ่มล้อมรอบมุ่งดูละครฉากใหญ่ ไม่ต้องรอบถึงตอนจบก็รู้ว่าผู้ใดจะชนะไปได้ซะอีก นอกจากลู่หลิน “ตลกเกินไปแล้ว ตอนเขาจ่ายเงินเจ้าไม่ดูให้ชัดหรอกหรือถึงกล้าจะปล่อยเขาไปแล้วไฉนตอนปิดร้านนับเงินพอเงินหายจะมาโทษเขาว่าเป็นตัวขโมย ข้าว่ามิใช่ลูกน้องในร้านเจ้าหรอกหรือที่เป็นตัวขโมย” ไฉ่หงร่ายยาวร่วกับว่าเป็นคนที่นี้มานานเสียอย่างนั้น เพ่งมองอีกฝ่ายที่ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธพร้อมปะทะ “นี่เจ้าจะหาว่าข้าใส่ร้ายเขางั้นหรือ!!!” ลู่หลินไม่เคยถูกผู้ใดโต้เถียงให้อับอายมาก่อนจึงเริ่มที่จะพาลไปทั่ว “ลูกน้องของล้วนทำงานอยู่ร้านเกือบครึ่งชีวิตของพวกเขาหากเป็นขโมยไฉนข้าผู้นี้จะไม่รู้เล่า” ไฉ่หงกรอกตามองบน โจรยังหากินกับความเชื่อใจนี่นับประสาอะไรกับลูกน้องและนายจ้างที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน “เจ้าตรวจสอบดูแล้วหรือยัง หากยังจงกลับไปตรวจดูเสียว่าผู้ใดมีพิรุธและหากเด็กที่อ้างว่าขโมยจริงข้าจะรับผิดชอบเอง” ลู่หลินถูกต้อนให้จนมุมเอาหลักหารเหตุผลเข้าสู้มิใช่การเถียงไปเพื่อเขาชนะเช่นที่เคยเป็นมาก่อน นางเริ่มร้อนรนกระวนกระวายหากวันนี้นางแพ้บ่ายต่อสตรีและเด็กขอทานนี่วันข้างหน้าต้องไม่มีใครให้เกียรติเห็นหัวนางเป็นแน่ “เหอะ! เจ้าเป็นสตรีบ้านใดไยไม่ข้าลู่หลินไม่เคยพบเห็นหน้า” ในเมื่อมีบิดาคอยหนุนหลังนางฉลาดจึงใช้บิดาอ้าง นั่นสิยามนี้นางไม่มีบ้าน ไฉ่หงได้แต่ยืนอำๆ อึ้งๆ เสียงหลังอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแบบนันลู่หลินจึงเริ่มได้ใจสบโอกาสพลิกพันให้ตนเป็นฝ่ายเหนือกว่า “หรือว่า? เจ้าเป็นพวกของทานไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเดียวกับเด็กนั้นอย่างงั้นรึ ข้าก็ว่าอวดดีจริงแท้ช่างไม่ประมาณเสียเลย” “นางเป็นภรรยาข้า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะแหวกกลางฝูงชนเข้ามา “หมูชิ้นนั่นที่เขาขโมยมาราคากี่ชั่ง” อาซานบุรุษที่นางหลงรักตั้งแต่แรกพบ “อาซาน…” น้ำเสียงเอ่ยแผ่วเบา ลู่หลินตั้งสติได้เริ่มวางท่าทางสุขุมเหนียมอายดั่งดรุณีน้อยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงช้าๆ เบาๆ อีกครั้ง “ช่างเถิด ข้าไม่ถือสาเขาแล้ว หมูชิ้นนั่นไม่เท่าไหร่” เหอะ เมื่อครู่เจ้ายังเถียงหน้าตายอยู่เลย ไฉ่หงยังคงเดือดดาลใจกำลังจะอ้าปากโต้เถียงกลับหากแต่มีฝ่ามือหนึ่งกอบกุมไว้ดึงแขนนางเชิงว่าหยุดได้แล้ว นางได้แต่ปรายตาไปมองด้วยความครุนเคืองที่แท้ก็เป็นอาซานนี่เอง “ขอบคุณแม่นางหลินที่ไม่ถือสาเอาความ” ลู่หลินยิ้มกว้างหวังหง่านเสน่ห์สานต่อแม้เมื่อครู่หูจะให้ยิรว่าสตรีที่นางต่อปากต่อคำเป็นภรรยาอาซานแต่แล้วอย่างไรในเมื่อนางอยากจะได้ “อาซานเชิญไปชิมชาบ้านข้าก่อนหรือไหม พอดีบิดาข้าพึ่งได้ชาชั้นดีมาจากพ่อค้าหาบแร่เมื่อเช้าตรู่” “ไว้คอยหลังเถิด ยามนี้ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ นางถูกดึงแขนให้เดินตามหลังเขาที่เร่งเดินลิ่วๆ จากไปจากที่ตรงหนึ่ง “ช้าก่อน แล้วเด็กผู้นั้นเล่า” “ไปแล้ว” ไปไหน “เหตุใดถึงทำตัววุ่นวายยุ่งไม่เข้าเรื่อง” “ข้าไม่ได้ทำตัววุ่นวายและไม่ได้หาเรื่องผู้ใดก่อน เด็กชทยผู้นั้นถูกรังแกมาข้าก็สมควรที่จะปกป้อง” เส้นเลือดบนขมับอาซานเต้นตุบๆ จนปวด ไยนางเถียงคำต่อคำไม่เว้น นี่ข้าแต่งภรรยาหรือรับเลี้ยงบุตรสาวกันแน่อาซานนั่งอยู่ลานระเบียงหน้าบ้านอย่างกระสับกระส่าย ท้องฟ้ามืดค่ำปานนี้นางออกไปที่ใดไยไม่อยู่บ้านหรือนางจากไปแล้วคำพูดเสียดแทงใจครานั้นเขายอมรับว่าตนมีส่วนผิด ดังนั้นหลังออกจากสถานที่แห่งนั้นเขาจึงร้องขอเชิงขอคำสั่งให้อีกฝ่ายจัดเตรียมอาหารสีสันน่ากินมากมายนำมาส่งให้ถึงที่ใช่ ข้ากำลังทำในสิ่งที่มิเคยทำคือการง้อสตรีผู้หนึ่งในที่สุดแว่วเสียงก็ดังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่หน้ากระท่อมหลังนี้ อาซานพลันร้อนรนเดินวกไปวนมาเดินเอามือไพล่หลัง สีหน้าเคร่งขรึมหลังพูดคุยร่ำลากับเอินอิ๋นหลานสาวของป้าเอินเสร็จ ไฉ่หงกึ่งลากกึ่งเดินหอบตระกร้าสานที่เต็มไปด้วยหน่อไม้เข้าบ้านด้วยความทุรักทุเรบุรุษผู้นี้เป็นกระไรกันไฉ่หงเพียงปรายตามองเท่านั้นก่อนจะเดินจากประหนึ่งมองธาตุอากาศ“ช้าก่อน”อาซานมองตามหลังหญิงสาวเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปากเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปปรากฏตัวตรงหน้านาง“ไยหนีออกจากบ้าน”บุรุษผู้นี้ตาบอดไปแล้วหรือไยไม่เบิกตามองตระกร้าหน่อไม้ที่นางเก็บมามากมายเล่นเอาเหนื่อยแทบตาย ประกอบกับโทสะถ้อยคำวันนั้นที่เขาเอ่ยอย่างเย็นช้ายังก้องอยู่ในโสตประสาทเป็นเหตุให้ไฉ่หงอยากจะเมินเฉยไม่ผ
ตลอดทางกลับกระท่อมหลังน้อยท้ายหมู่บ้านไฉ่หงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กหน่อยเพราะเงินค่าแรงสิบอีแปะที่รับ หากแต่ยังไม่สามารถลบล้างความมากเล่ห์แสนเกียจคร้านของบุรุษผู้นั้นได้อยู่ที่ใดไฉนไม่จุดตะเกียงรอนางไฉ่หงหัวคิ้วมุ่นเริ่มเดือดดาลในใจ “อาซาน!”ไยถึงเงียบอีกนอนแล้วหรือไร แต่ช้าก่อนไยถึงนอนโดยไม่รอนางกลับมาก่อนเล่าทั้งที่ตนเองถีบหัวส่งนางออกไปทำงานบุรุษผู้นี้สมควรโดนข้าตีสักที!“อาซาน! อาซาน! เจ้าคนมากเล่ห์!” เสียงตะโกนร้องเรียกเอะอะโวยวายดังขึ้นต่อเนื่องไหวหยุด ในเมื่อทำนางไว้อย่างหวังว่าคืนนี้จะได้หลับนอนอย่างสบายใจ ไฉ่หงเดินทิ้งน้ำหนักเท้าตึงตังโมโหก่อนจะผลักประตูเข้าไปเกิดเสียงดังสนั่น“เจ้ามันสมควรถูกข้าตี!”อาซานนั่งเหยียดตรงในมือถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งกลับหันมามอง “กระไร”“รู้หรือไหมว่าวันนี้ข้าไปทำอะไรมา”“อ่อ ป้าเอินอยากได้คนเก็บผักโขมข้าเลยเสนอตัวรับปากแทนเจ้า”“เหอะ เหอะ รับปากแทนข้า” ไฉ่หงยิ่งเดือดดาลปุๆ เมื่อเขาตอบหน้าตายไร้ความรู้สึกผิดที่ไม่บอกนางก่อนประหนึ่งตั้งใจให้นางถูกล่อลวง “ถุ้ย!! เจ้ามันคนโกโหเพอุบายมากเล่ห์จอมหลอกลวง”คนผู้นั้นเพียงพยักหน้าปรายตามองเท่านั้นนี่มันตั้
ตกยามเย็นบรรยายโดยรอบเริ่มเงียบสงบไฉ่หงนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาบนเตียงแข็งๆ ที่ปูทับด้วยมารองอีกชั้นหนึ่งแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ลงความแข็งทื่อลงสักนิด ขัดสนเกินไปแล้ว ก่อนจากบ้านแม้นางไม่ร่ำรวยหากแต่เป็นที่นอนนิ่มทับด้วยฟูกหลายๆ ชั้นตอนกระโดดขึ้นเตียงนอนนุ่มราวกับขนมสายไหม แต่นี่กระไรกันหากนางทำเช่นนั้นมีหวังได้หัวแตกตายอีกครั้งแน่“หลับแล้วหรือ”เสียงตะโกนดังขึ้นหน้าห้องทำให้นางยันตัวลุกขึ้นเอียงหูตั้งใจฟัง ตั้งแต่กลับมาจากตลาดทั้งเขาและนางต่างไม่มีใครเอ่ยขึ้นก่อนจนถึงเมื่อครู่เหอะ นางกำลังงอนอยู่นะไยต้องตอบ“เจ้าอยากซดน้ำแกงเกี๊ยวร้อนๆ ก่อนนอนหรือไม่”“ไม่!”ไยต้องเอาอาหารมาล่อนางดูเห็นแก่กินงั้นรึไม่อยากกิน ต่อให้หิวแค่ไหนนางจะไม่ยอมอ่อนข้อลดศักดิ์ไปขอวอนขอกินเกี๊ยวหรือกินข้าวกับเขาเป็นอันเด็ดขาด แต่ทว่าลองงอนพูดคุยกับนางมากเสียหน่อยเผื่อนางอาจจะยอม“อ่า เช่นนั้นข้าจะเอาได้ไปคืนป้าเอิน”เดี๋ยวนะ!!?“ช้าก่อน” ไฉ่หงปริปากรีบตะโกนโต้ตอบหลังเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเร่งมาเปิดประตู สายตามองไปที่เกี๊ยวควันลอยโขมงหอมยั่วน้ำลาย ทั้งเกี๊ยวตัวอวบอ้วนใส่แน่นๆ เต็มคำ นางพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่าง
“เด็กโง่”อาซานอยากจะหยั่งรู้ว่าสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ หาเงินหรือ นางคิดว่าเพื่อแค่เดินตามทางถนนจะมีงานให้ทำ จะมีเศษเงินตกหล่นให้เก็บง่ายเช่นนั้นเชียวรึถ้าเช่นนั้นปานนี้เขาคงมีงานทำแล้วกระมังกระท่อมหลังเล็กๆ ทรุดโทรมที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้เงียบสงบลงเช่นเคย ยามนี้ดวงอาทิตย์ลอยเด่นขึ้นกลางหัว อาซานนั่งจิบน้ำที่หระหนึ่งน้ำชาชั้นดีอยู่แคร่ลานกว้างแสงแดดสาดส่องจ้าร้อนระอ ประหนึ่งถูกแผดเผาทั้งเป็น แถบนี้เมื่อร้อนก็ร้อนจนจะหลอมละลายเมื่อหนาวก็เย็นจับลึกเข้าถึงกระดูกรู้ตัวอีกทีเขาก็มาฤดูกาลมาได้ถึงสองครั้งนับเกือบครึ่งปีเสียแล้วกระมัง หมู่บ้านที่เงียบสงบไร้ผู้คนพลุ่งพล่านไร้เรื่องคอยให้ปวดหัว เปรียบเสมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง แต่ทว่าเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างหนึ่งอยู่กับข้าโชคร้ายหน่อยเสียเพราะข้าขี้คร้านตัวเป็นขนขี้เกียจทำงานหาเพียงเศษเงินเท่านั้นชายหนุ่มแหงนหน้าหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับบรรกาศพักผ่อนหย่นใจอย่างสงบสุขโดยที่หารู้ไม่ว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่กำลังสาดส่องมองเสียงสวบสาบของใบหน้าทำให้เขาต้องพลันลืมตาขึ้น “ผู้ใด”“จงออกมาเสีย”ร่างท้วมร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นหนึ่งที
เรือนไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่งท้ายหมู่บ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่ริมทางเดิน ไอความร้อนพัดโชยตามแผดเผาหญ้าจนมอดไหม้ แก้มขาวนวลก็เช่นกัน ยามนี้ถูกเฉียดคมจนเป็นรอยขีดบาดข้างแก้มจนแดงเถือกที่นี่ที่ไหนเธอตายไปแล้วเหรออย่าบอกอะไรโง่ๆ นะว่าเธอทะลุมิติมาทันทีที่รู้สึกตัวเธอก็ถูกจับแต่งงานร่วมผูกผมกับบุรุษหน้าน้ำแข็งผู้หนึ่งแล้ว นับจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันเอาไฉ่หงยังคงเอาแต่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หญิงสาวยุคปัจจุบันอย่างเธอตอนนี้ทะลุมิติย้อนกลับมาในอดีตแบบนั้นเหรอเหลือเชื่อเกินไปแล้วพนักงานสาวออฟฟิตที่ทำงานงกๆ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำจะทะลุมิติมาได้ยังไงหรือจริงๆ แล้วเธอทำงานหนักจนตายถ้างั้นบอกหน่อยได้ไหม ถ้าเธอทะลุมิติมาแล้วเป็นอีกคนเหมือนในนิยายแล้วทำไมไม่มีความสนจำมากมายแล่นเข้าหัวล่ะ แต่นี่เธอมาด้วยสมองที่ขาวโพรงที่แต่ความจำในโลกก่อนไฉ่หงไม่มีว่าจะคิดวิเคราะห์หาคำตอบยังไงก็ยังไม่มีความสมเหตุสมผลสักนิดก่อนจะมีเงาดำๆ เดินผ่านไป“เดี๋ยวก่อน...เอ่ออ ท่านจะไปไหน”ดวงตาสีน้ำสนิทเพียงปรายมองเท่านั้น เขายืนนิ่งสบตานางนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปาก “เข้าป่า”เข้าป่าหาของก
เพล้ง!เสียงถ้วยกระเบื้องถูกปัดล่วงลงสู่พื้นจนแตกดังสนั่นกลางท้องพระโรง ขุนนางซ้ายขวาพลันตื่นสะดุ้ง หัวใจเต้นระทึกราวกับตีกลองรั่ว เหงื่อไหลทั่วร่างจนเย็นเฉียบราวกับจะหยุดหายใจไปชั่วขณะขุนนางใหญ่รายงานประกาศข่าวการหายตัวไปของเฟยหลงชินอ๋องนานนับกว่าสิบวัน จึงตั้งของข้อสรุปได้ว่าอาจจะสิ้นพระชนม์ชีพหลังออกไปล่าสัตว์"บัดซบ! อาหลงหรือจะถูกลอบสังหาร พวกเจ้าเปิดตาดูเถิดมังกรเยี่ยงเขาจะมีทางถูกลอบสังหารได้อย่างไร"อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่!หากเอ่ยถึงคนผู้นี้หรือเฟยหลงชินอ๋องที่กล่าวมา ทั่วแคว้นต่างรับรู้ว่าเป็นมังกรตนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใด้เทียบเคียงได้ ทั้งมีนิสัยร้ายกาจ ไม่ชมชอบผู้ใดล้วนฆ่าทิ้งเสีย ทว่าหลังจวนกลับมีนางบำเรอมากมายไร้หงษ์เคียงข้าง และยังทรงเป็นพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้ร่วมอุทรองค์ปัจจุบันที่รักและตามใจยิ่งกว่าบุตรสาวบุตรชายของตนเสียอีก นับเป็นที่เกรงกลัวของข้าราชสำนักทั้งเบื้องบนเบื้องล่างทั้งหลายบาปบุญคุณโทษล้วนตอบสนองคนชั่วโดยเร็วมิใช่หรือ เฟยหลงชินอ๋องเค้นฆ่าผู้คนมากมายราวกับผักกับปลาสมควรตายแล้ว แต่มีหรือผู้ใดจะกล้าออกปากว่าหากไม่กลัวคอหลุดจากบ่า"เช่นนั้น-""ประกาศออกไป