ตกยามเย็นบรรยายโดยรอบเริ่มเงียบสงบ
ไฉ่หงนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาบนเตียงแข็งๆ ที่ปูทับด้วยมารองอีกชั้นหนึ่งแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ลงความแข็งทื่อลงสักนิด ขัดสนเกินไปแล้ว ก่อนจากบ้านแม้นางไม่ร่ำรวยหากแต่เป็นที่นอนนิ่มทับด้วยฟูกหลายๆ ชั้นตอนกระโดดขึ้นเตียงนอนนุ่มราวกับขนมสายไหม แต่นี่กระไรกันหากนางทำเช่นนั้นมีหวังได้หัวแตกตายอีกครั้งแน่ “หลับแล้วหรือ” เสียงตะโกนดังขึ้นหน้าห้องทำให้นางยันตัวลุกขึ้นเอียงหูตั้งใจฟัง ตั้งแต่กลับมาจากตลาดทั้งเขาและนางต่างไม่มีใครเอ่ยขึ้นก่อนจนถึงเมื่อครู่ เหอะ นางกำลังงอนอยู่นะไยต้องตอบ “เจ้าอยากซดน้ำแกงเกี๊ยวร้อนๆ ก่อนนอนหรือไม่” “ไม่!” ไยต้องเอาอาหารมาล่อนางดูเห็นแก่กินงั้นรึ ไม่อยากกิน ต่อให้หิวแค่ไหนนางจะไม่ยอมอ่อนข้อลดศักดิ์ไปขอวอนขอกินเกี๊ยวหรือกินข้าวกับเขาเป็นอันเด็ดขาด แต่ทว่าลองงอนพูดคุยกับนางมากเสียหน่อยเผื่อนางอาจจะยอม “อ่า เช่นนั้นข้าจะเอาได้ไปคืนป้าเอิน” เดี๋ยวนะ!!? “ช้าก่อน” ไฉ่หงปริปากรีบตะโกนโต้ตอบหลังเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเร่งมาเปิดประตู สายตามองไปที่เกี๊ยวควันลอยโขมงหอมยั่วน้ำลาย ทั้งเกี๊ยวตัวอวบอ้วนใส่แน่นๆ เต็มคำ นางพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างลืมความโกรธไปชั่วขณะ “น้ำลายย้อยรู้ตัวหรือไม่” นางชะงักตัวเกร็ง หัวคิ้วมุ่นเข้ากันกัน ก่อนที่จะยกมือขี้นมาเช็ดปากเช็ดคางประหนึ่งไม่พอใจที่ถูกจับสังเกต “ไฉนบอกไม่หิว” “ข้าบอกเมื่อใดกันว่ามิหิว” ยามนี้ชามเกี๊ยวถูกสลับเปลี่ยนมือแล้ว อาซานได้แต่มองตามนิ่งๆ แม้จะรู้สึกไม่รู้ชะตากับนางตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ ยิ่งได้ตบแต่งนางโดยการบังคับยิ่งไม่ชอบ หากแต่ยามนี้ก็ไม่ได้แย่หรือติดขัด ไฉ่หงค่อยๆ วางชามลงอย่างเบามือลงกลางโต๊ะตัวเตี๊ยซอมซ่อที่ตั้งอยู่กลางบ้าน ก่อนจะรีบตักเข้าปากอย่างกระตือรือร้นก็แน่ล่ะสิ ทุกมื้อที่ล้วนกินไม่สามารถเรียกสินั้นว่าอาหารได้เลย “ท่านกินหรือไม่” “ข้าอิ่มแล้ว” สัตย์เลี้ยงบ้านเขากินจุผู้ใดจะกล้าแย่ง เขาทำหน้าที่นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนนางจนกินเสร็จ แอบมีบางครั้งที่ปรายตามองท่าทางเอร็ดอร่อยแสนอดอยากนั่น คำสุดท้ายนางจับชามยกขึ้นซดไม่ให้เหลือทุกหยดหยาดอย่างเสียดายของ ก่อนจะวางชามกลับลงดังเดิมพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนหน่วยตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ด้วยความอารมณ์ “ท่านได้มาอย่างไรกัน หรือบากหน้าไปขอมันมาให้ข้าหรือ” ไฉ่หงเอ่ยออกไปตรงๆ อดที่จะเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่ากำลังถูกง้อจากอีกคนอยู่ “ป้าเอินให้มาเมื่อเย็น นางได้ข่าวว่าเจ้ามีเรื่องกับลูกสาวเถ้าแก่ลู่เกรงว่าจะถูกตบตีจนใบหน้าบวมช้ำน่าเกียจประจวบเหมาะกับนางเคี้ยวน้ำแกงเกี๊ยวจึงตักมาฝากข้ามาให้เจ้า” นางพึ่งเคยได้ฟังเขาพูดประโยคยาวเหยียดครั้งแรกจึงตั้งใจฟัง “ป้าเอินคือผู้ใดเพื่อนบ้านรึ ใจดียิ่งนัก” “พรุ่งนี้ก็ไปทำงานตอบแทนเสีย” สิ้นประโยคอาซานก็ลุกขึ้นทันทีทคล้ายวางระเบิดก่อนใหญ่ไว้รีบหนีก็ปะทะ “เดี๋ยว!” ความไวมีหรือจะสู้นางได้ “ไยจะต้องระบุว่าเป็นข้าที่ต้องทำงาน มิใช่เจ้าที่เป็นบุรุษต้องทำหรื” นางก็ไม่ได้อยากจะแบ่งหน้าที่การงานหาเงินเข้าบ้านแต่นี่มิใช่เอามาให้ฟรีหรอกหรือ เขาเรียกว่าทำบุญหวังผลตอบแทนโดยแท้ “แล้วข้าต้องทำรึ” ใช่ อาซานเจ้านั่นแหละ “หากเจ้าละอายใส่แก่เกี๊ยวนั่นพรุ่งนี้ก็ไปพบป้าเอินที่บ้านของนางซะ” นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ไฉ่หงใบหน้าเขียวคล้ำโมโห เขานัานแหละจะมากเกินไปแล้วนางว่าแท้จริงป้าเอินไม่นางบอกเช่นนั้น หากแต่เป็นเขาเติมแต่งสีแอบอ้างบุญคุณเกี๊ยวแค่ถ้วยหนึ่งเท่านั่น เช้าวันรุ่งขึ้นไฉ่หงปรากฎตัวขึ้นอยู่ลานท้ายบ้านสวนผักโขมขณะใหญ่ของป้าเอินด้วยท่าทางทะมัดทะเมงสวมเสื้อผ้าสีซีดอีกตามเคย “นี่เมียอาซานเจ้ามีนามว่ากระไร” หญิงอ้วนท้วมมีริ้วรอยตามวัยผู้หนึ่งหรือป้าเอินตะโกนถามไถ่ข้ามแปลงผัก “ข้าไฉ่หง อย่าเรียกข้าว่าเมียอาซาน” ‘พรืด’ ป้าเอินหัวเราะร่อออกมาพรืดหนึ่งอย่างขบขัน “คู่ใหม่ปลามันอย่างเจ้าคงเขอะเขินอยู่สิท่า” “ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” ไฉ่หงปฏิเสธมือแทบพัลวัน “เอาเถิดๆ” ป้าเอินยังคงทำสีหน้าหยอกล้อเอออ้อแกล้งอีกฝ่าย คนแก่ก็แบบนี้แหละ นางเป็นสาวหม่ายทั้งยังไร้ลูกหลานยามมีคนมาหาถึงบ้านจึงเป็นธรรมดาที่อยากพูดคุยอย่างสนุกสนาน “แล้วอาซานเล่าอาการป่วยเป็นเช่นใดบ้าง” เขาป่วย? “ไฉ่หงเจ้านี่ก็ช่างดีเหลือเกินปกติอาซานเขาตกปากรับคำพูดอื่นว่าจะทำงานเสียที่ไหนกัน นี่กระไรแต่งเมียได้ไม่นานก็หลงใหลถึงขั้นอยากหาเงินเข้าบ้านเสียแล้ว หากวันนี้เขาไม่เร่งรีบมาบอกข้าตั้งแต่เช้าตรู่ปานนี้คงได้ซักไซร้พูดคุยมากกว่านี้เสียหน่อย” ช่างประเสริญดีแท้ คอยดูเถอะหากกลับบ้านไปวันนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตดี ข้าไฉ่หงผู้นี้แหละจะคว้ารองเท้าขึ้นมาปาฟาดใส่หน้าท่านเอาให้เลือดตกยางออกก็จะมิหยุดเด็ดขาด ไฉ่หงได้แต่เก็บความโกรธเกรี้ยวไว้ในใจไม่แกล้งออกตอนนี้ พลันสูดลมหายใจเข้าออกอย่างหนักผ่อนคลายอารมณ์ที่พร้อมปะทุตลอดเวลา ป้าเอินเห็นอีกฝ่ายเงียบได้ทีจึงพูดขึ้น “เมียเช่นเจ้านับว่าหางานที่ทำงานหาเงินเลี้ยงสามารถที่ป่วยเช่นนันหากวันนี้เก็บหมดแปลงเร็วข้าจะเพิ่มเงินให้สองเท่ารวมเป็นสิบอีแปะ” ไฉ่หงตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำว่าเพิ่มเงินให้หลงลืมความโกรธไปชั่วขณะ แต่สิบอีแปะคือเท่าไหร่อาซานนั่งอยู่ลานระเบียงหน้าบ้านอย่างกระสับกระส่าย ท้องฟ้ามืดค่ำปานนี้นางออกไปที่ใดไยไม่อยู่บ้านหรือนางจากไปแล้วคำพูดเสียดแทงใจครานั้นเขายอมรับว่าตนมีส่วนผิด ดังนั้นหลังออกจากสถานที่แห่งนั้นเขาจึงร้องขอเชิงขอคำสั่งให้อีกฝ่ายจัดเตรียมอาหารสีสันน่ากินมากมายนำมาส่งให้ถึงที่ใช่ ข้ากำลังทำในสิ่งที่มิเคยทำคือการง้อสตรีผู้หนึ่งในที่สุดแว่วเสียงก็ดังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่หน้ากระท่อมหลังนี้ อาซานพลันร้อนรนเดินวกไปวนมาเดินเอามือไพล่หลัง สีหน้าเคร่งขรึมหลังพูดคุยร่ำลากับเอินอิ๋นหลานสาวของป้าเอินเสร็จ ไฉ่หงกึ่งลากกึ่งเดินหอบตระกร้าสานที่เต็มไปด้วยหน่อไม้เข้าบ้านด้วยความทุรักทุเรบุรุษผู้นี้เป็นกระไรกันไฉ่หงเพียงปรายตามองเท่านั้นก่อนจะเดินจากประหนึ่งมองธาตุอากาศ“ช้าก่อน”อาซานมองตามหลังหญิงสาวเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปากเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปปรากฏตัวตรงหน้านาง“ไยหนีออกจากบ้าน”บุรุษผู้นี้ตาบอดไปแล้วหรือไยไม่เบิกตามองตระกร้าหน่อไม้ที่นางเก็บมามากมายเล่นเอาเหนื่อยแทบตาย ประกอบกับโทสะถ้อยคำวันนั้นที่เขาเอ่ยอย่างเย็นช้ายังก้องอยู่ในโสตประสาทเป็นเหตุให้ไฉ่หงอยากจะเมินเฉยไม่ผ
ตลอดทางกลับกระท่อมหลังน้อยท้ายหมู่บ้านไฉ่หงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กหน่อยเพราะเงินค่าแรงสิบอีแปะที่รับ หากแต่ยังไม่สามารถลบล้างความมากเล่ห์แสนเกียจคร้านของบุรุษผู้นั้นได้อยู่ที่ใดไฉนไม่จุดตะเกียงรอนางไฉ่หงหัวคิ้วมุ่นเริ่มเดือดดาลในใจ “อาซาน!”ไยถึงเงียบอีกนอนแล้วหรือไร แต่ช้าก่อนไยถึงนอนโดยไม่รอนางกลับมาก่อนเล่าทั้งที่ตนเองถีบหัวส่งนางออกไปทำงานบุรุษผู้นี้สมควรโดนข้าตีสักที!“อาซาน! อาซาน! เจ้าคนมากเล่ห์!” เสียงตะโกนร้องเรียกเอะอะโวยวายดังขึ้นต่อเนื่องไหวหยุด ในเมื่อทำนางไว้อย่างหวังว่าคืนนี้จะได้หลับนอนอย่างสบายใจ ไฉ่หงเดินทิ้งน้ำหนักเท้าตึงตังโมโหก่อนจะผลักประตูเข้าไปเกิดเสียงดังสนั่น“เจ้ามันสมควรถูกข้าตี!”อาซานนั่งเหยียดตรงในมือถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งกลับหันมามอง “กระไร”“รู้หรือไหมว่าวันนี้ข้าไปทำอะไรมา”“อ่อ ป้าเอินอยากได้คนเก็บผักโขมข้าเลยเสนอตัวรับปากแทนเจ้า”“เหอะ เหอะ รับปากแทนข้า” ไฉ่หงยิ่งเดือดดาลปุๆ เมื่อเขาตอบหน้าตายไร้ความรู้สึกผิดที่ไม่บอกนางก่อนประหนึ่งตั้งใจให้นางถูกล่อลวง “ถุ้ย!! เจ้ามันคนโกโหเพอุบายมากเล่ห์จอมหลอกลวง”คนผู้นั้นเพียงพยักหน้าปรายตามองเท่านั้นนี่มันตั้
ตกยามเย็นบรรยายโดยรอบเริ่มเงียบสงบไฉ่หงนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาบนเตียงแข็งๆ ที่ปูทับด้วยมารองอีกชั้นหนึ่งแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ลงความแข็งทื่อลงสักนิด ขัดสนเกินไปแล้ว ก่อนจากบ้านแม้นางไม่ร่ำรวยหากแต่เป็นที่นอนนิ่มทับด้วยฟูกหลายๆ ชั้นตอนกระโดดขึ้นเตียงนอนนุ่มราวกับขนมสายไหม แต่นี่กระไรกันหากนางทำเช่นนั้นมีหวังได้หัวแตกตายอีกครั้งแน่“หลับแล้วหรือ”เสียงตะโกนดังขึ้นหน้าห้องทำให้นางยันตัวลุกขึ้นเอียงหูตั้งใจฟัง ตั้งแต่กลับมาจากตลาดทั้งเขาและนางต่างไม่มีใครเอ่ยขึ้นก่อนจนถึงเมื่อครู่เหอะ นางกำลังงอนอยู่นะไยต้องตอบ“เจ้าอยากซดน้ำแกงเกี๊ยวร้อนๆ ก่อนนอนหรือไม่”“ไม่!”ไยต้องเอาอาหารมาล่อนางดูเห็นแก่กินงั้นรึไม่อยากกิน ต่อให้หิวแค่ไหนนางจะไม่ยอมอ่อนข้อลดศักดิ์ไปขอวอนขอกินเกี๊ยวหรือกินข้าวกับเขาเป็นอันเด็ดขาด แต่ทว่าลองงอนพูดคุยกับนางมากเสียหน่อยเผื่อนางอาจจะยอม“อ่า เช่นนั้นข้าจะเอาได้ไปคืนป้าเอิน”เดี๋ยวนะ!!?“ช้าก่อน” ไฉ่หงปริปากรีบตะโกนโต้ตอบหลังเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเร่งมาเปิดประตู สายตามองไปที่เกี๊ยวควันลอยโขมงหอมยั่วน้ำลาย ทั้งเกี๊ยวตัวอวบอ้วนใส่แน่นๆ เต็มคำ นางพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่าง
“เด็กโง่”อาซานอยากจะหยั่งรู้ว่าสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ หาเงินหรือ นางคิดว่าเพื่อแค่เดินตามทางถนนจะมีงานให้ทำ จะมีเศษเงินตกหล่นให้เก็บง่ายเช่นนั้นเชียวรึถ้าเช่นนั้นปานนี้เขาคงมีงานทำแล้วกระมังกระท่อมหลังเล็กๆ ทรุดโทรมที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้เงียบสงบลงเช่นเคย ยามนี้ดวงอาทิตย์ลอยเด่นขึ้นกลางหัว อาซานนั่งจิบน้ำที่หระหนึ่งน้ำชาชั้นดีอยู่แคร่ลานกว้างแสงแดดสาดส่องจ้าร้อนระอ ประหนึ่งถูกแผดเผาทั้งเป็น แถบนี้เมื่อร้อนก็ร้อนจนจะหลอมละลายเมื่อหนาวก็เย็นจับลึกเข้าถึงกระดูกรู้ตัวอีกทีเขาก็มาฤดูกาลมาได้ถึงสองครั้งนับเกือบครึ่งปีเสียแล้วกระมัง หมู่บ้านที่เงียบสงบไร้ผู้คนพลุ่งพล่านไร้เรื่องคอยให้ปวดหัว เปรียบเสมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง แต่ทว่าเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างหนึ่งอยู่กับข้าโชคร้ายหน่อยเสียเพราะข้าขี้คร้านตัวเป็นขนขี้เกียจทำงานหาเพียงเศษเงินเท่านั้นชายหนุ่มแหงนหน้าหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับบรรกาศพักผ่อนหย่นใจอย่างสงบสุขโดยที่หารู้ไม่ว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่กำลังสาดส่องมองเสียงสวบสาบของใบหน้าทำให้เขาต้องพลันลืมตาขึ้น “ผู้ใด”“จงออกมาเสีย”ร่างท้วมร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นหนึ่งที
เรือนไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่งท้ายหมู่บ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่ริมทางเดิน ไอความร้อนพัดโชยตามแผดเผาหญ้าจนมอดไหม้ แก้มขาวนวลก็เช่นกัน ยามนี้ถูกเฉียดคมจนเป็นรอยขีดบาดข้างแก้มจนแดงเถือกที่นี่ที่ไหนเธอตายไปแล้วเหรออย่าบอกอะไรโง่ๆ นะว่าเธอทะลุมิติมาทันทีที่รู้สึกตัวเธอก็ถูกจับแต่งงานร่วมผูกผมกับบุรุษหน้าน้ำแข็งผู้หนึ่งแล้ว นับจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันเอาไฉ่หงยังคงเอาแต่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หญิงสาวยุคปัจจุบันอย่างเธอตอนนี้ทะลุมิติย้อนกลับมาในอดีตแบบนั้นเหรอเหลือเชื่อเกินไปแล้วพนักงานสาวออฟฟิตที่ทำงานงกๆ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำจะทะลุมิติมาได้ยังไงหรือจริงๆ แล้วเธอทำงานหนักจนตายถ้างั้นบอกหน่อยได้ไหม ถ้าเธอทะลุมิติมาแล้วเป็นอีกคนเหมือนในนิยายแล้วทำไมไม่มีความสนจำมากมายแล่นเข้าหัวล่ะ แต่นี่เธอมาด้วยสมองที่ขาวโพรงที่แต่ความจำในโลกก่อนไฉ่หงไม่มีว่าจะคิดวิเคราะห์หาคำตอบยังไงก็ยังไม่มีความสมเหตุสมผลสักนิดก่อนจะมีเงาดำๆ เดินผ่านไป“เดี๋ยวก่อน...เอ่ออ ท่านจะไปไหน”ดวงตาสีน้ำสนิทเพียงปรายมองเท่านั้น เขายืนนิ่งสบตานางนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปาก “เข้าป่า”เข้าป่าหาของก
เพล้ง!เสียงถ้วยกระเบื้องถูกปัดล่วงลงสู่พื้นจนแตกดังสนั่นกลางท้องพระโรง ขุนนางซ้ายขวาพลันตื่นสะดุ้ง หัวใจเต้นระทึกราวกับตีกลองรั่ว เหงื่อไหลทั่วร่างจนเย็นเฉียบราวกับจะหยุดหายใจไปชั่วขณะขุนนางใหญ่รายงานประกาศข่าวการหายตัวไปของเฟยหลงชินอ๋องนานนับกว่าสิบวัน จึงตั้งของข้อสรุปได้ว่าอาจจะสิ้นพระชนม์ชีพหลังออกไปล่าสัตว์"บัดซบ! อาหลงหรือจะถูกลอบสังหาร พวกเจ้าเปิดตาดูเถิดมังกรเยี่ยงเขาจะมีทางถูกลอบสังหารได้อย่างไร"อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่!หากเอ่ยถึงคนผู้นี้หรือเฟยหลงชินอ๋องที่กล่าวมา ทั่วแคว้นต่างรับรู้ว่าเป็นมังกรตนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใด้เทียบเคียงได้ ทั้งมีนิสัยร้ายกาจ ไม่ชมชอบผู้ใดล้วนฆ่าทิ้งเสีย ทว่าหลังจวนกลับมีนางบำเรอมากมายไร้หงษ์เคียงข้าง และยังทรงเป็นพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้ร่วมอุทรองค์ปัจจุบันที่รักและตามใจยิ่งกว่าบุตรสาวบุตรชายของตนเสียอีก นับเป็นที่เกรงกลัวของข้าราชสำนักทั้งเบื้องบนเบื้องล่างทั้งหลายบาปบุญคุณโทษล้วนตอบสนองคนชั่วโดยเร็วมิใช่หรือ เฟยหลงชินอ๋องเค้นฆ่าผู้คนมากมายราวกับผักกับปลาสมควรตายแล้ว แต่มีหรือผู้ใดจะกล้าออกปากว่าหากไม่กลัวคอหลุดจากบ่า"เช่นนั้น-""ประกาศออกไป