ตลอดทางกลับกระท่อมหลังน้อยท้ายหมู่บ้านไฉ่หงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กหน่อยเพราะเงินค่าแรงสิบอีแปะที่รับ หากแต่ยังไม่สามารถลบล้างความมากเล่ห์แสนเกียจคร้านของบุรุษผู้นั้นได้
อยู่ที่ใดไฉนไม่จุดตะเกียงรอนาง ไฉ่หงหัวคิ้วมุ่นเริ่มเดือดดาลในใจ “อาซาน!” ไยถึงเงียบอีก นอนแล้วหรือไร แต่ช้าก่อนไยถึงนอนโดยไม่รอนางกลับมาก่อนเล่าทั้งที่ตนเองถีบหัวส่งนางออกไปทำงาน บุรุษผู้นี้สมควรโดนข้าตีสักที! “อาซาน! อาซาน! เจ้าคนมากเล่ห์!” เสียงตะโกนร้องเรียกเอะอะโวยวายดังขึ้นต่อเนื่องไหวหยุด ในเมื่อทำนางไว้อย่างหวังว่าคืนนี้จะได้หลับนอนอย่างสบายใจ ไฉ่หงเดินทิ้งน้ำหนักเท้าตึงตังโมโหก่อนจะผลักประตูเข้าไปเกิดเสียงดังสนั่น “เจ้ามันสมควรถูกข้าตี!” อาซานนั่งเหยียดตรงในมือถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งกลับหันมามอง “กระไร” “รู้หรือไหมว่าวันนี้ข้าไปทำอะไรมา” “อ่อ ป้าเอินอยากได้คนเก็บผักโขมข้าเลยเสนอตัวรับปากแทนเจ้า” “เหอะ เหอะ รับปากแทนข้า” ไฉ่หงยิ่งเดือดดาลปุๆ เมื่อเขาตอบหน้าตายไร้ความรู้สึกผิดที่ไม่บอกนางก่อนประหนึ่งตั้งใจให้นางถูกล่อลวง “ถุ้ย!! เจ้ามันคนโกโหเพอุบายมากเล่ห์จอมหลอกลวง” คนผู้นั้นเพียงพยักหน้าปรายตามองเท่านั้น นี่มันตั้งใจยั่วยุกันแน่ๆ นางเดินสองก้าวหยุดฝีเท้าลงตรงหน้า ไฉ่หงโมโหแทบคลั่งก่อาจะเอื้อมมือไปคว้าหนังสือแย่งมืออาซานจากนั้นจึงฟาดกระทบกับไหล่หนาเต็มแรงทีหนึ่ง “บังอาจ!” “เหอะ! บังอาจหรือ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกันแน่ไยถึงกล้ากลั่นแกล้งข้าผู้เป็นภรรยาให้ลำบากหาเงินมาเลี้ยงสามีขี้คร้านเฉกเช่นเจ้า” อาซานมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาตกตระลึงแทบจะกินเลือดกินเนื้อก็ไม่ปาน นางเป็นผู้ใดกันกล้าดีเช่นไรมาตบตีเขา มองไฉ่หงก่อนจะยันตัวลุกขึ้นเต็มความสุขประชันหน้า “ออกไปจากบ้านข้า” กระไรกันนางเพียงเอาคืนที่โดนเสียเปรียบเท่านั้นไฉนถึงต้องโมโหเอ่ยปากทำร้ายจิตใจกันด้วย “เงียบหรือ” “ไฉนเงียบเล่าเจ้าต่อปากต่อคำเก่งไม่ใช่รึ” ไฉ่หงกล่าวตอบด้วยเสียงสั่นๆ “ข้าไม่มีที่ให้ไป” หากนางมีที่ให้ไปนางจะจากไปแบบไม่หันกลับมาเด็ดขาด จากกันแล้วจากกันเลยไม่ต้องพบเจอแต่ในยามนี้นางไม่มีที่ให้ไปทั้งยังไม่รู้จักผู้ใดอีกนอกจากเขา “เหอะ อวดเก่งแต่กลัวตายรึ” อาซานเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์จากที่อารมณ์ดีมาตลอดทั้งวันที่กลั่นแกล้งอีกฝ่ายได้สำเร็จ ทว่าในเมื่อนางมากระทำกริยาต่ำทรามเช่นนี้ผู้ที่ทรงนงในศักดิ์ศรีแบบเขามีหรือจะทนได้ เป็นผู้ใดกันถึงไม่รักชีวิตไม่กลัวกล้าลงไม้ลงมือตายตบตีเขา ผ่านไปอีกสองสามวัน ตอนนี้ในกระท่อมหลังเล็กกลับมาเงียบเชียงอีกดั่งเคย ไม่มีเงาของเจ้าของบ้านมีเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ไฉ่หงยังคงรับทำงานเก็บผักโขมกับป้าเอินจนตอนนี้รวบรวมเงินได้สามสิบอีแปะแล้วได้มาเพราะความเอ็นดูและเห็นใจ ทว่าเก็บผักจนหมดแปลกแล้วนางไม่มีลานง่ายๆ เช่นนี้ให้ทำอีกแล้ว เช่นนี้จะหาเงินตั้งตัวได้อย่างไรกัน “แม่นาง” เสียงสตรีมีใครนอกจากป้าเอินด้วยหรือหากแต่ทำเสียงมิใช่ นางกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะพบกับสตรีวัยแรกแย้มผู้หนึ่งกำลังโบกไม้โบกมือยิ้มแฉ่งมาทางนาง “ข้าหรือ เกรงว่าแม่นางจะจำผิดคนแล้วกระมัง” “ไม่ๆ ท่านนั่นแหละภรรยาอาซาน” “ตอนนี้มิใช่แล้ว” ไฉ่หงขัดหูยิ่งนักจึงตอกกลับไปทันควัน “ข้าไฉ่หง” “อ่า แม่นางไฉ่หง ข้าเอินอิ๋นหลานสาวป้าเอินนะเจ้าคะ นางให้ข้าแวะมาถามว่าอยากขึ้นเขาเก็บหน่อไม้ด้วยกันหรือไม่” ไฉ่หงพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเลเมื่อบุคคลที่ให้มาตามคือป้าเอินที่ไว้ใจได้ผู้หนึ่ง ดีเหมือนกัน นางก็เบื่อหน่ายจะอยู่อุดอู้แต่ที่นี่เต็มทนจวนจะอ้วก ส่วนบุรุษผู้นั้นหรือหายหน้าหายตาไปเสียแล้วกระมังเกรงว่าคงมิอาจทนมองหน้านางได้ ช่างเถิดในเมื่อเขาไม่สนใจ นางเองก็จะไม่ใส่ใจเช่นกัน อาซานเอนกายนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่พิงหัวเตียงไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรศิลป์งดงาม คนธรรมดาใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่ายเพราะล้วนต้องสั่งทำตามกำหนด เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนผู้หนึ่งดังขึ้นข้างหูจนเริ่มชักรำคาญ “สติเจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ หรือไยต้องมาทนอยู่ในสถานที่ซอมซ่อโสโครกเช่นนั้น” เขานิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “สตรีชมชอบอะไร” “นี่!” เสิ่นฉินป๋อประหลาดใจ เหตุใดเจ้าคนผู้นี้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้กัน “ว่าแล้วปานนี้พวกนางสุขสบายยิ่งกว่าเจ้าเสียอีกที่ไม่ต้องคอยมารองรับอารมณ์เกรี๊ยวกาจประเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” “…..” อาซานได้แน่นอนฟังอยู่เงียบๆ มิใช่พวกนางเขาไม่มีทางหมายถึงสตรีน่ารังเกียจมากเล่ห์พวกนั้น หากแต่เป็นคนผู้หนึ่งเท่านั้นพอตั้งสติรูตัวอีกทีตนก็เผลอพูดจารุนแรงเสียแล้ว “เจ้ามีอะไรปิดปังข้า” เสิ่นฉินป๋อเพ่งมองสหายด้วยความรู้สึหยั่งรู้ ไม่ทราบเลยว่าคนผู้นี้คิดกระทำการเช่นไรอยู่แม้จะเป็นสหายกันนานเกินครึ่งชีวิต “ข้าถูกตี” “!!!” ผู้ใดกล้าตีเจ้านี่กัน ไม่กลัวคอหลุดจากบ่าหรือ “ไม่ต้องส่งข้า” อาซานเหยียดตัวลุกขึ้นยืนจากนั่นแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที ได้แต่ปล่อยให้สหายงุนงงสงสัยสถบคำด่าตะโกนไล่ตามหลัง “หากส่งคนมาคอยตามข้าอีกต่อไปอย่างหวังว่าเจ้าจะหาข้าพบได้ดั่งครานี้” เขาวางแผนมาเนินนานใช้ชีวิตหากแต่จะมาพังพินาศเพราะสหายที่สอดรู้ไม่เข้าเรื่องเช่นนี้หรือ แล้วสตรีชมชอบสิ่งใดอาซานนั่งอยู่ลานระเบียงหน้าบ้านอย่างกระสับกระส่าย ท้องฟ้ามืดค่ำปานนี้นางออกไปที่ใดไยไม่อยู่บ้านหรือนางจากไปแล้วคำพูดเสียดแทงใจครานั้นเขายอมรับว่าตนมีส่วนผิด ดังนั้นหลังออกจากสถานที่แห่งนั้นเขาจึงร้องขอเชิงขอคำสั่งให้อีกฝ่ายจัดเตรียมอาหารสีสันน่ากินมากมายนำมาส่งให้ถึงที่ใช่ ข้ากำลังทำในสิ่งที่มิเคยทำคือการง้อสตรีผู้หนึ่งในที่สุดแว่วเสียงก็ดังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่หน้ากระท่อมหลังนี้ อาซานพลันร้อนรนเดินวกไปวนมาเดินเอามือไพล่หลัง สีหน้าเคร่งขรึมหลังพูดคุยร่ำลากับเอินอิ๋นหลานสาวของป้าเอินเสร็จ ไฉ่หงกึ่งลากกึ่งเดินหอบตระกร้าสานที่เต็มไปด้วยหน่อไม้เข้าบ้านด้วยความทุรักทุเรบุรุษผู้นี้เป็นกระไรกันไฉ่หงเพียงปรายตามองเท่านั้นก่อนจะเดินจากประหนึ่งมองธาตุอากาศ“ช้าก่อน”อาซานมองตามหลังหญิงสาวเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปากเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปปรากฏตัวตรงหน้านาง“ไยหนีออกจากบ้าน”บุรุษผู้นี้ตาบอดไปแล้วหรือไยไม่เบิกตามองตระกร้าหน่อไม้ที่นางเก็บมามากมายเล่นเอาเหนื่อยแทบตาย ประกอบกับโทสะถ้อยคำวันนั้นที่เขาเอ่ยอย่างเย็นช้ายังก้องอยู่ในโสตประสาทเป็นเหตุให้ไฉ่หงอยากจะเมินเฉยไม่ผ
ตลอดทางกลับกระท่อมหลังน้อยท้ายหมู่บ้านไฉ่หงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กหน่อยเพราะเงินค่าแรงสิบอีแปะที่รับ หากแต่ยังไม่สามารถลบล้างความมากเล่ห์แสนเกียจคร้านของบุรุษผู้นั้นได้อยู่ที่ใดไฉนไม่จุดตะเกียงรอนางไฉ่หงหัวคิ้วมุ่นเริ่มเดือดดาลในใจ “อาซาน!”ไยถึงเงียบอีกนอนแล้วหรือไร แต่ช้าก่อนไยถึงนอนโดยไม่รอนางกลับมาก่อนเล่าทั้งที่ตนเองถีบหัวส่งนางออกไปทำงานบุรุษผู้นี้สมควรโดนข้าตีสักที!“อาซาน! อาซาน! เจ้าคนมากเล่ห์!” เสียงตะโกนร้องเรียกเอะอะโวยวายดังขึ้นต่อเนื่องไหวหยุด ในเมื่อทำนางไว้อย่างหวังว่าคืนนี้จะได้หลับนอนอย่างสบายใจ ไฉ่หงเดินทิ้งน้ำหนักเท้าตึงตังโมโหก่อนจะผลักประตูเข้าไปเกิดเสียงดังสนั่น“เจ้ามันสมควรถูกข้าตี!”อาซานนั่งเหยียดตรงในมือถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งกลับหันมามอง “กระไร”“รู้หรือไหมว่าวันนี้ข้าไปทำอะไรมา”“อ่อ ป้าเอินอยากได้คนเก็บผักโขมข้าเลยเสนอตัวรับปากแทนเจ้า”“เหอะ เหอะ รับปากแทนข้า” ไฉ่หงยิ่งเดือดดาลปุๆ เมื่อเขาตอบหน้าตายไร้ความรู้สึกผิดที่ไม่บอกนางก่อนประหนึ่งตั้งใจให้นางถูกล่อลวง “ถุ้ย!! เจ้ามันคนโกโหเพอุบายมากเล่ห์จอมหลอกลวง”คนผู้นั้นเพียงพยักหน้าปรายตามองเท่านั้นนี่มันตั้
ตกยามเย็นบรรยายโดยรอบเริ่มเงียบสงบไฉ่หงนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาบนเตียงแข็งๆ ที่ปูทับด้วยมารองอีกชั้นหนึ่งแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ลงความแข็งทื่อลงสักนิด ขัดสนเกินไปแล้ว ก่อนจากบ้านแม้นางไม่ร่ำรวยหากแต่เป็นที่นอนนิ่มทับด้วยฟูกหลายๆ ชั้นตอนกระโดดขึ้นเตียงนอนนุ่มราวกับขนมสายไหม แต่นี่กระไรกันหากนางทำเช่นนั้นมีหวังได้หัวแตกตายอีกครั้งแน่“หลับแล้วหรือ”เสียงตะโกนดังขึ้นหน้าห้องทำให้นางยันตัวลุกขึ้นเอียงหูตั้งใจฟัง ตั้งแต่กลับมาจากตลาดทั้งเขาและนางต่างไม่มีใครเอ่ยขึ้นก่อนจนถึงเมื่อครู่เหอะ นางกำลังงอนอยู่นะไยต้องตอบ“เจ้าอยากซดน้ำแกงเกี๊ยวร้อนๆ ก่อนนอนหรือไม่”“ไม่!”ไยต้องเอาอาหารมาล่อนางดูเห็นแก่กินงั้นรึไม่อยากกิน ต่อให้หิวแค่ไหนนางจะไม่ยอมอ่อนข้อลดศักดิ์ไปขอวอนขอกินเกี๊ยวหรือกินข้าวกับเขาเป็นอันเด็ดขาด แต่ทว่าลองงอนพูดคุยกับนางมากเสียหน่อยเผื่อนางอาจจะยอม“อ่า เช่นนั้นข้าจะเอาได้ไปคืนป้าเอิน”เดี๋ยวนะ!!?“ช้าก่อน” ไฉ่หงปริปากรีบตะโกนโต้ตอบหลังเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเร่งมาเปิดประตู สายตามองไปที่เกี๊ยวควันลอยโขมงหอมยั่วน้ำลาย ทั้งเกี๊ยวตัวอวบอ้วนใส่แน่นๆ เต็มคำ นางพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่าง
“เด็กโง่”อาซานอยากจะหยั่งรู้ว่าสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ หาเงินหรือ นางคิดว่าเพื่อแค่เดินตามทางถนนจะมีงานให้ทำ จะมีเศษเงินตกหล่นให้เก็บง่ายเช่นนั้นเชียวรึถ้าเช่นนั้นปานนี้เขาคงมีงานทำแล้วกระมังกระท่อมหลังเล็กๆ ทรุดโทรมที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้เงียบสงบลงเช่นเคย ยามนี้ดวงอาทิตย์ลอยเด่นขึ้นกลางหัว อาซานนั่งจิบน้ำที่หระหนึ่งน้ำชาชั้นดีอยู่แคร่ลานกว้างแสงแดดสาดส่องจ้าร้อนระอ ประหนึ่งถูกแผดเผาทั้งเป็น แถบนี้เมื่อร้อนก็ร้อนจนจะหลอมละลายเมื่อหนาวก็เย็นจับลึกเข้าถึงกระดูกรู้ตัวอีกทีเขาก็มาฤดูกาลมาได้ถึงสองครั้งนับเกือบครึ่งปีเสียแล้วกระมัง หมู่บ้านที่เงียบสงบไร้ผู้คนพลุ่งพล่านไร้เรื่องคอยให้ปวดหัว เปรียบเสมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง แต่ทว่าเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างหนึ่งอยู่กับข้าโชคร้ายหน่อยเสียเพราะข้าขี้คร้านตัวเป็นขนขี้เกียจทำงานหาเพียงเศษเงินเท่านั้นชายหนุ่มแหงนหน้าหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับบรรกาศพักผ่อนหย่นใจอย่างสงบสุขโดยที่หารู้ไม่ว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่กำลังสาดส่องมองเสียงสวบสาบของใบหน้าทำให้เขาต้องพลันลืมตาขึ้น “ผู้ใด”“จงออกมาเสีย”ร่างท้วมร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นหนึ่งที
เรือนไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่งท้ายหมู่บ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่ริมทางเดิน ไอความร้อนพัดโชยตามแผดเผาหญ้าจนมอดไหม้ แก้มขาวนวลก็เช่นกัน ยามนี้ถูกเฉียดคมจนเป็นรอยขีดบาดข้างแก้มจนแดงเถือกที่นี่ที่ไหนเธอตายไปแล้วเหรออย่าบอกอะไรโง่ๆ นะว่าเธอทะลุมิติมาทันทีที่รู้สึกตัวเธอก็ถูกจับแต่งงานร่วมผูกผมกับบุรุษหน้าน้ำแข็งผู้หนึ่งแล้ว นับจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันเอาไฉ่หงยังคงเอาแต่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หญิงสาวยุคปัจจุบันอย่างเธอตอนนี้ทะลุมิติย้อนกลับมาในอดีตแบบนั้นเหรอเหลือเชื่อเกินไปแล้วพนักงานสาวออฟฟิตที่ทำงานงกๆ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำจะทะลุมิติมาได้ยังไงหรือจริงๆ แล้วเธอทำงานหนักจนตายถ้างั้นบอกหน่อยได้ไหม ถ้าเธอทะลุมิติมาแล้วเป็นอีกคนเหมือนในนิยายแล้วทำไมไม่มีความสนจำมากมายแล่นเข้าหัวล่ะ แต่นี่เธอมาด้วยสมองที่ขาวโพรงที่แต่ความจำในโลกก่อนไฉ่หงไม่มีว่าจะคิดวิเคราะห์หาคำตอบยังไงก็ยังไม่มีความสมเหตุสมผลสักนิดก่อนจะมีเงาดำๆ เดินผ่านไป“เดี๋ยวก่อน...เอ่ออ ท่านจะไปไหน”ดวงตาสีน้ำสนิทเพียงปรายมองเท่านั้น เขายืนนิ่งสบตานางนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปาก “เข้าป่า”เข้าป่าหาของก
เพล้ง!เสียงถ้วยกระเบื้องถูกปัดล่วงลงสู่พื้นจนแตกดังสนั่นกลางท้องพระโรง ขุนนางซ้ายขวาพลันตื่นสะดุ้ง หัวใจเต้นระทึกราวกับตีกลองรั่ว เหงื่อไหลทั่วร่างจนเย็นเฉียบราวกับจะหยุดหายใจไปชั่วขณะขุนนางใหญ่รายงานประกาศข่าวการหายตัวไปของเฟยหลงชินอ๋องนานนับกว่าสิบวัน จึงตั้งของข้อสรุปได้ว่าอาจจะสิ้นพระชนม์ชีพหลังออกไปล่าสัตว์"บัดซบ! อาหลงหรือจะถูกลอบสังหาร พวกเจ้าเปิดตาดูเถิดมังกรเยี่ยงเขาจะมีทางถูกลอบสังหารได้อย่างไร"อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่!หากเอ่ยถึงคนผู้นี้หรือเฟยหลงชินอ๋องที่กล่าวมา ทั่วแคว้นต่างรับรู้ว่าเป็นมังกรตนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใด้เทียบเคียงได้ ทั้งมีนิสัยร้ายกาจ ไม่ชมชอบผู้ใดล้วนฆ่าทิ้งเสีย ทว่าหลังจวนกลับมีนางบำเรอมากมายไร้หงษ์เคียงข้าง และยังทรงเป็นพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้ร่วมอุทรองค์ปัจจุบันที่รักและตามใจยิ่งกว่าบุตรสาวบุตรชายของตนเสียอีก นับเป็นที่เกรงกลัวของข้าราชสำนักทั้งเบื้องบนเบื้องล่างทั้งหลายบาปบุญคุณโทษล้วนตอบสนองคนชั่วโดยเร็วมิใช่หรือ เฟยหลงชินอ๋องเค้นฆ่าผู้คนมากมายราวกับผักกับปลาสมควรตายแล้ว แต่มีหรือผู้ใดจะกล้าออกปากว่าหากไม่กลัวคอหลุดจากบ่า"เช่นนั้น-""ประกาศออกไป