Share

บทที่ 4

ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องตากันนิ่งงันมองกันไปกันมาอยู่พักใหญ่ ปลากริมพยายามขยี้ตาตัวเองซ้ำ ๆ แต่ภาพหญิงงามในชุดไทยสีเขียวตองก็ยังคงชัดเจนอยู่ตรงหน้า...ชัดเจนเกินไปและโปร่งแสงเกินไป!

วินาทีที่เธอยอมรับกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นหาใช่คนธรรมดา ขนแขนของปลากริมรวมถึงแผ่นหลังต่างพากันชูชันขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สัญชาตญาณความกลัวในร่างเด็กวัยหกขวบพุ่งขึ้นถึงขีดสุด!

ด้วยความที่ตกใจกลัวจึงทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีด พละกำลังทั้งหมดที่มีถูกเค้นออกมา เด็กหญิงร่างผอมจึงได้อุ้มน้องชายตัวเล็กกว่าไม่เท่าไหร่ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างทุลักทุเล ปั้นขลิบที่กำลังยืนดูดนิ้วอยู่ดี ๆ ก็ตกใจที่ตัวลอยหวือ

ยังไม่ทันที่เด็กชายจะทันได้ตั้งตัว คนเป็นพี่ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งแทบจะสะดุดขาตัวเองไปหลายครั้งมุ่งหน้ากลับไปยังตัวบ้านที่แม่กำลังจัดเตรียมขนมลงในกระจาดสานเพื่อจะนำขนมไปขายพอดี

"แม่จ๋า! แม่!"

บัวที่กำลังบรรจงเรียงขนมต้มอยู่หันมามองลูกสาวด้วยความแปลกใจ ก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นปลากริมหน้าตาตื่นวิ่งเข้ามาทางเธอ

"แม่จ๋า! บ้านเรามีผี!" ปลากริมตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน พลางชี้นิ้วมือสั่น ๆ กลับไปยังทิศทางของดงกล้วย

ทางด้านแม่นางตานีที่ยังยืนสงบนิ่งอยู่ตรงที่เดิมถึงกับ หน้าเหวอไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำประกาศของเด็กน้อย

ผีหรือ? ข้าไม่ใช่ผีธรรมดานะ! ข้าเป็นนางตานีผู้สูงศักดิ์ อย่าเอาข้าไปเปรียบกับสัมภเวสีเร่ร่อนแถวนี้สิหนูน้อย !เสียงหวานใสแต่แฝงความไม่พอใจเล็ก ๆ ดังขึ้นในหัวของปลากริม

"อะไรนะลูก...ผีเผอที่ไหนกัน" บัวย้อนด้วยความตกใจ พลางวางกระจาดลงแล้วเดินมาลูบหัวลูกสาว

"กลางวันแสก ๆ ตาฝาดไปหรือเปล่า" ทว่ายังไม่ทันที่ปลากริมจะตอบความกับแม่ของตน เสียงหวานใสเย็นก็ดังขึ้นมาให้เธอได้ยินอีก

แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวข้าด้วย ข้าอยู่ที่นี่มานานแสนนานแล้ว ไม่เคยคิดร้ายกับใคร เสียงในหัวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

ปลากริมที่กำลังจะอธิบายให้แม่ฟังถึงกับชะงัก...เดี๋ยวนะ เสียงนี้มัน...มาจากไหน? เธอหันขวับกลับไปมองทางดงกล้วย แต่ก็ไม่เห็นปากของหญิงงามคนนั้นขยับเลยสักนิด

ว่าแต่...ทำไมหนูเพิ่งจะมาเห็นข้าได้ล่ะวันนี้? ปกติมองทีไรก็ทะลุร่างข้าไปทุกที

ปลากริมกะพริบตาปริบ ๆ หันไปมองแม่ที หันไปมองในทิศทางของผีสาวที นี่มันเรื่องอะไรกัน! ไม่ใช่แค่ทะลุมิติมาพร้อมมิติส่วนตัว แต่เธอยังเจอผีที่พูดคุยกับเธอได้อีกเหรอเนี่ย! และดูเหมือนว่า...เธอจะเจอผีช่างจ้อเข้าแล้ว!

เพราะบัดนี้วิญญาณของนางตานียังตามมาไม่ห่าง นางลอยตัวมายืนอยู่ด้านข้างของแม่ซึ่งมองไม่เห็นแล้วพูดกับ ปลากริมต่อในความคิดหรือทางจิตใต้สำนึกของเด็กหญิงก็สุดจะรู้

นี่ ๆ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเห็นของแปลกขนาดนั้นก็ได้ ข้าเหงานะ อยู่คนเดียวมาตั้งนานคุยกับต้นไม้ใบหญ้าจนเบื่อแล้ว

"ปลากริม...เป็นอะไรไปลูก ทำไมเงียบไป" บัวเขย่าตัวลูกสาวเบา ๆ

คุยกับข้าหน่อยสิ แล้วข้าจะให้รางวัล...ข้ามีประโยชน์มากเลยนะจะบอกให้ นางตานีเริ่มเสนอข้อแลกเปลี่ยน

ข้ารู้ว่าเจ้ากับน้องหิว ข้าหากล้วยน้ำว้าสุก ๆ หอม ๆ ให้กินได้นะ หรือถ้าอยากได้เงิน จะเอาใบตองงาม ๆ ของข้าไปขายแลกเงิน ข้าก็ทำให้ได้เหมือนกัน ขอแค่เจ้าคุยกับข้าบ้างก็พอ

ปลากริมนิ่งอึ้งไปอย่างสมบูรณ์ เธอกำลังถูกแม่จับตัว ถามด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็มีเสียงผีสาวใบหน้าสวยมายื่นข้อเสนอต่อรองเรื่องกล้วยกับใบตองใส่หัวไม่หยุด...

ชีวิตใหม่ในพระนครยุค 2500 ของเธอ...ดูท่าจะวุ่นวายกว่าที่จินตนาการไว้เยอะเลย!

"แม่จ๋า! นะ....หนูไม่เป็นไรแล้ว" วิญญาณผู้ใหญ่ในร่างเด็กรีบแก้ตัวเพราะทนความรบเร้าของผีสาวไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่กลัวก็กลัว แต่หากยังไม่พูดคุยกับหล่อนเห็นทีว่าผีสาวน่าจะไม่ไปไหน

"หนูไม่เป็นไรแน่นะลูก" บัวยังคงถามอย่างกังวล อีกทั้งยังยกหลังมืออังหน้าผากของเธอด้วย

"แน่จ้ะ แม่จ๋าไม่แน่ว่าหนูอาจจะหิวจนตาลาย" พอลูกบอกว่าหิวบัวก็ยกมือทาบอก เพราะตัวเองมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดขนมเลยละเลยลูกทั้งสองคนไป

"แม่ขอโทษนะลูก เอาอย่างนี้แม่ไปต้มไข่ให้ก็แล้วกัน หนูกับน้องแบ่งกันกินคนละครึ่งนะ เอาไว้แม่ขายขนมกลับมาแม่จะซื้อหมูมาทำกับข้าวเพิ่มให้"

ปลากริมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ หัวใจดวงน้อยยังคงเต้นแรงไม่หายเรื่องของผีสาว แต่ว่าภาพของไข่ต้มเพียงลูกเดียวที่ต้องแบ่งครึ่งกับน้องชาย...มันช่างขมขื่นในความรู้สึกแทนที่เรื่องของผีไปเลย

แม้ในชาติที่แล้วเธอจะเคยกินดีอยู่ดี แต่ตอนนี้เธอคือเด็กหญิงตัวเล็กในครอบครัวหาเช้ากินค่ำกลางพระนครปี 2500...จะเรียกร้องอะไรได้อีก

แค่ไข่ใบเดียว...ยังต้องเฉือนครึ่ง ยังไม่ทันที่ปลากริมจะได้เอ่ยคำใดออกไป เสียงฝีเท้าหนัก ๆ อันคุ้นเคยก็ดังมาจากทางประตูรั้วหน้าบ้าน

"กลับมาแล้ว!"

เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าจากความเหนื่อยล้าดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของพ่อจะปรากฏตัวในชุดเสื้อเชิ้ตตัวค่อนข้างเก่าสีน้ำเงินซีดแขนยาวที่ม้วนขึ้นถึงข้อศอกและกางเกงขาก๊วยเปื้อนโคลน

มือซ้ายของเขาหิ้วตาข่ายเส้นหวายที่ภายในเต็มไปด้วยปลาช่อนตัวเขื่อง ปลาหมอไทย และปลาตะเพียนสองสามตัวที่ยังคงดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่

"พ่อ!" ปลากริมอุทานออกมาแผ่วเบา ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างมีความหวัง บัวเองก็หันไปยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นอาการของลูกที่ดูจะเป็นปกติ เธอรีบเข้าไปช่วยรับตาข่ายปลามาจากสามี

"หายไปนานเลยพี่สิงห์ กลับมาก็ได้ปลามาเต็มเชียว ไปลงอวนที่ไหนมาจ๊ะ?"

"ตรงท้ายสวนอาตี๋น่ะ น้ำมันขังอยู่นาน ปลาเข้าไปเยอะ ไม่ต้องดำน้ำให้เมื่อยเลย แค่ล้อมอวนไว้ก็ได้มาเต็มมือ" สิงห์ตอบเสียงเรียบแต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจอยู่ลึก ๆ ที่วันนี้เขายังพอหาอาหารมาเลี้ยงลูกเมียได้

ปลากริมมองพ่อที่กลับมาพร้อมอาหารมื้อใหญ่ตาเป็นประกาย แต่ในขณะเดียวกันก้อนความขมขื่นก้อนใหม่ก็แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอยามเมื่อนึกถึงเรื่องที่แม่เพิ่งจะพูดออกมา แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเธอคงจะได้มีเนื้อกินแล้ว และยังไม่ต้องให้แม่ซื้อหมูกลับมาทำกับข้าวอีกด้วย

"เดี๋ยวพ่อทอดปลาให้กินนะลูก" เสียงของพ่อยังคงดังอยู่ แต่สำหรับปลากริมแล้วกลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นถูกกลบด้วยเสียงหวานใสที่แทรกเข้ามาในความคิดของเธอโดยตรง

เห็นไหมล่ะ...ข้าบอกแล้วว่าข้าพอจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ เจ้าต้องคุยกับข้าก่อนนะ หนูน้อย

นางตานี...ผีสาวจอมต่อรองยังคงไม่ไปไหนอีกทั้งยังพูดเหมือนกับว่าที่พ่อหาปลามาได้เป็นความดีความชอบของเธออีกด้วย

ปลากริมกลืนน้ำลายฝืดลงคออีกครั้งและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงในหัว แล้วหลบสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเรื่องเมนูปลาสำหรับมื้อเย็น

"หนู...หนูจะไปล้างมือก่อนนะจ๊ะ..."

เธอพูดเสียงเบาแล้วรีบเดินเลี่ยงไปยังตุ่มน้ำดินเผาข้างบ้าน ดวงตาเหลือบมองไปยังดงกล้วยอีกครั้งอย่างระแวดระวัง ก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง

พี่สาว เรามาคุยกันหน่อยดีไหม จบคำในความคิดไม่ถึงอึดใจ ร่างโปร่งแสงของแม่ตานีสาวที่ลอยตามมาก็พลันโผล่ออกมาตรงหน้าของเด็กหญิงในระยะประชิด!

กลิ่นหอมเย็น ๆ ของดอกกล้วยลอยมาปะทะจมูก พร้อมกับใบหน้างดงามที่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

"ว้าย!"

ปลากริมเกือบจะส่งเสียงกรี๊ดออกมาดังลั่น แต่เดชะบุญหล่อนยกมือเล็กทั้งสองข้างปิดปากเอาไว้เสียก่อนทันควัน! หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอก ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดชีวิต

หลังจากผ่านไปอึดใจใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้หัวใจวายตายไปจริง ๆ ความตกใจก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดระคนโมโห เด็กหญิงตัวน้อยลดมือลงจากปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองผีสาวตรงหน้า

ปลากริมส่งค้อนให้นางตานีตาเขียวปั้ด หน้าผากเล็กย่นเข้าหากัน พลางบ่นเสียงกระซิบลอดไรฟัน

"จะมาก็มาดี ๆ สิ! รู้ไหมว่าคนเขาตกใจ! เล่นโผล่มาแบบนี้เกิดหัวใจวายตายขึ้นมาทำไง"

แม่นางตานีที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนถึงกับชะงักค้างไป เมื่อได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก หล่อนกะพริบตาปริบ ๆ มองเด็กหญิงตรงหน้าที่แทนที่จะกลัวจนตัวสั่นกลับกำลังยืนเท้าสะเอว ต่อว่านางฉอด ๆ

เอ่อ...ขะ...ข้าขอโทษที ก็เจ้าเรียกข้านี่นา ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากเจอเร็ว ๆ นางตานีตอบกลับผ่านทางจิต เสียงหวานของเธอนั้นฟังดูงุนงงและรู้สึกผิดไม่น้อย

"อยากเจอเร็ว ๆ ไม่ได้หมายความว่าให้โผล่มาแบบนี้!" ปลากริมยังคงต่อว่าเสียงเข้ม นี่ถ้าเธอเป็นโรคหัวใจคงได้ตายซ้ำสองไปแล้ว

เอาละ ๆ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะค่อย ๆ ปรากฏตัวก็แล้วกันนะหนูน้อย นางตานีรีบยอมแพ้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง แล้ว...ที่เจ้าเรียกข้าเมื่อกี้ ว่าจะคุยกัน...

ปลากริมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ เอาเถอะ อย่างน้อยผีตนนี้ก็ดูจะคุยกันรู้เรื่อง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

"ก็เรื่องข้อเสนอของพี่สาวนั่นแหละ ไหนว่ามาสิว่าจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง แล้วต้องการอะไรเป็นการตอบแทน" ปลากริมเริ่มเข้าเรื่องทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม

ดวงตาของแม่นางตานีเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเด็กน้อยเปิดการเจรจา

ง่ายมากเลย! ข้าเหงา...เจ้าแค่คุยกับข้าบ้าง เล่นกับข้าบ้างก็พอ ส่วนเรื่องช่วยเหลือน่ะ...นางยิ้มกว้าง กล้วยเครือนั้นน่ะ เดี๋ยวข้าจะเสกให้มันสุกหอมหวานได้ในพริบตา หรือถ้าอยากได้เงิน ข้าจะช่วยให้ใบตองของข้าเขียวสดทนทานกว่าใคร เอาไปขายที่ตลาดได้ราคางามก็ยังได้

ปลากริมนิ่งอึ้งไปกับข้อเสนอที่ดูจะง่ายเกินไป เธอมองผีสาวช่างจ้อที่กำลังเสนอโปรโมชั่นอย่างแข็งขัน แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ...ชีวิตใหม่ของเธอช่างมีเรื่องให้ต้องรับมือเยอะเกินไปแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 171

    คำตอบที่ชัดเจนนั้น...คือการยืนยันอย่างสมบูรณ์ว่าลูกสาวของเธอได้มองเห็นแม่นางตานีกับแม่นางกวัก สองสหายต่างภพของตัวเอง ภายในค่ำคืนนั้น...หลังจากที่ส่งลูก ๆ เข้านอนเรียบร้อย...ปลากริมก็ได้ตัดสินใจเล่าความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอให้เทวากรผู้เป็นสามีฟังเป็นครั้งแรก... ยกเว้นเรื่

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 170

    หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอม

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 169

    "ต้องได้สิ!" ข้าวเหนียวตอบอย่างหนักแน่น แม้ในใจจะเริ่มรู้สึกไม่ต่างกัน "นายอย่าลืมสิว่าการทำธุรกิจมันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ นายก็เห็นแล้วจากตัวอย่างของทั้งพ่อครูและแม่ครู ไหนจะปลากริมกับพี่เขยของนายอีก" คำพูดนี้ได้ทำให้ปั้นขลิบมีไฟขึ้นมาอีกครั้ง "พี่พูดถูก ผมจะมาท้อง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้"

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 168

    หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนาน

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 167

    สิ้นเสียงตะโกนของลูกน้อง...เสียงปืนกลก็ดังขึ้นจากแนวป่ารกทึบ! พวกเขาถูกซุ่มโจมตี! "หมอบลง! หาที่กำบัง!" เพชรตะโกนสั่งการอย่างไม่ตื่นตระหนก เขายิงต่อสู้เพื่อคุ้มกันให้ลูกน้องได้เข้าที่กำบังอย่างปลอดภัย...ทักษะการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวราวกับเงาที่เขาได้มาจากมวยไชยา...ได้ถูกนำมาปรับใ

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 166

    หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status