Share

บทที่ 5

ยังไม่ทันที่ปลากริมจะได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธข้อเสนอของสหายต่างภพ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางตัวบ้าน ทำให้บทสนทนาในความคิดของเธอต้องหยุดชะงักลง

พ่อเจ้ามาแล้ว...ข้าไปก่อนนะ แล้วค่อยคุยกันใหม่

เสียงของแม่นางตานีทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างโปร่งแสงในชุดสีเขียวตองจะค่อย ๆ จางหายไปกับสายลมและ ร่มเงาของดงกล้วยอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ปลากริมยืนอยู่ตามลำพัง

"ปลากริม...ลูกเป็นยังไงบ้าง" เสียงทุ้มต่ำที่แฝงความเหนื่อยล้าแต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของพ่อดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเขาเดินตรงมาหาเด็กหญิงโดยมือใหญ่อีกข้างจับจูงลูกชายตัวน้อยมาด้วยกัน

"แม่เขาเล่าให้พ่อฟังหมดแล้ว...ว่าลูกเห็นอะไรแปลก ๆ จริงหรือ" สิงห์ทรุดตัวลงนั่งยองให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับลูกสาวคนโต มือที่หยาบกร้านจากการฝึกมวยเอื้อมมาลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา

ปลากริมใจหายวาบ เธอจะบอกพ่อยังไงดีว่าเมื่อสักครู่ เธอเพิ่งจะเจรจาทางธุรกิจแลกเปลี่ยนกล้วยกับใบตองกับผีนางตานีอยู่! จะมีคนที่ไหนเขาทำกัน!

"เอ่อ...คือ...หนู...หนูเห็นแมวจ้ะพ่อ" น้ำเสียงอ้อมแอ้มของปลากริมดังขึ้นพร้อมกับชี้มือไปทางดงกล้วย "มันตัวใหญ่มาก แต่ตอนนี้มันวิ่งหายไปแล้วหนูก็เลยตกใจกลัว ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะหิวด้วยมั้งจ๊ะ ก็เลยทำให้ตาฝาด"

สิงห์หรี่ตามองไปยังทิศที่ลูกสาวชี้ เขาไม่เห็นอะไรนอกจากกอกล้วยที่ขึ้นรกชัฏและเงาไม้ที่เริ่มทอดยาวในยามเย็น เขารู้ว่าลูกสาวอาจจะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่เมื่อเห็นแววตาของเธอที่สบมา ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะคาดคั้นให้ลูกกลัวไปมากกว่านี้

"งั้นรึ...ช่างมันเถอะ" เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ปะ...เราเข้าไปรอแม่ในบ้านกันดีกว่า ตอนนี้แม่เขาหาบขนมออกไปเดินเร่ขายตามบ้านคนแล้ว กว่าจะกลับก็คงค่ำ หากลูกหิวพ่อจะรีบทำปลาจากนั้นพ่อจะทอดให้กิน"

สิงห์พูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งมาจูงปลากริม ส่วนแขนอีกข้างก็ช้อนร่างเล็ก ๆ ของปั้นขลิบขึ้นอุ้มไว้แนบอก

ปลากริมยอมให้พ่อจูงมือเดินกลับเข้าบ้านแต่โดยดี ดวงใจดวงน้อยของเธอยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะเหลียวกลับไปมองดงกล้วยที่ตอนนี้ดูเงียบสงบอย่างน่าประหลาด

วันนี้ทั้งวันเกิดเรื่องราวเหลือเชื่อขึ้นกับเธอมากมายเหลือเกิน...ทั้งตกเครื่องบิน ทั้งจมน้ำ ทั้งทะลุมิติ และยังค้นพบมิติส่วนตัว แต่สถานการณ์ล่าสุดนี่สิ ช่างน่าพรั่นพรึงมากกว่าทุกเรื่อง นั่นก็คือการผูกมิตรกับผีนางตานีช่างจ้อนั่นเอง

ดูท่าว่าชีวิตใหม่ในฐานะตัวร้ายในนิยายของเธอจะต้องพัวพันกับเรื่องลี้ลับน่าปวดหัว...แต่ก็น่าตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กันเสียแล้ว

"นั่งรอกันอยู่ตรงนี้นะลูก เดี๋ยวพ่อไปทำปลาก่อน จากนั้นจะทอดให้กิน"

คำพูดของพ่อดึงสติของปลากริมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ท้องของเธอเริ่มส่งเสียงประท้วง ความหิวโหยหลังจากเผชิญเรื่องราวมาทั้งวันเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

แต่ทว่า...ในสมองของเชฟสาวธารามลกลับประมวลผลอย่างรวดเร็ว ปลาช่อนตัวเขื่องขนาดนี้ถ้าทอดกินกันในครอบครัวก็คงจะอิ่มอร่อยได้แค่มื้อเดียว แต่ถ้ามันจะสามารถต่อยอดไปเป็นอย่างอื่นได้ล่ะ?

แม้จะท้องร้องแต่เธอคิดว่าปลาที่พ่อหามา แทนที่จะเป็นอาหารมื้อแรกให้กับเธอและครอบครัว มันยังสามารถเป็นทุน แรกเริ่มในการหารายได้เข้าบ้านด้วยก็น่าจะดีไม่น้อย

ไวเท่าความคิด ดวงตากลมโตของปลากริมก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

"พ่อจ๋า พวกเราทำห่อหมกปลาช่อนขายกันดีไหมจ๊ะ"

เสียงเล็กใสที่เอ่ยออกมาทำให้สิงห์ที่กำลังจะเดินเข้าครัวซึ่งอยู่ข้างบ้านต้องชะงักฝีเท้า เขาหันกลับมามองลูกสาวตัวน้อยด้วยความประหลาดใจ

"ห่อหมกเหรอลูก?" สิงห์แปลกใจในความคิดของลูก "แล้วใครจะทำล่ะ พ่อทำกับข้าวไม่เป็นหรอกนะ ได้แต่ ทอด ๆ ย่าง ๆ ง่าย ๆ เท่านั้นแหละ" เขาตอบตามจริงพลางเกาหัวอย่างรู้สึกกระดากอาย

ปลากริมฉีกยิ้มกว้างอย่างน่ารักน่าเอ็นดูจนเห็นเหงือกสีชมพู "หนูทำได้จ้ะพ่อ! หนูเคยเห็นแม่ทำ" เธอรีบเสนอตัวทันทีโดยแอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง พลางคิดว่าควรจะหาข้ออ้างอะไรมาบอกความจริงพ่อกับแม่ดี เพราะเธอจะต้องสร้างฐานะให้ครอบครัวอย่างน้อยก็มีกินมีใช้ไม่อด

"หนูจำได้ว่าต้องทำยังไงจ้ะ มันไม่ยากเลยนะจ๊ะ เรามีปลาแล้ว เครื่องแกงกับกะทิเดี๋ยวหนูจะไปซื้อจากร้านป้าชื่น ส่วนใบยอก็ไปขอเก็บเอาหลังวัดได้นี่จ๊ะ ส่วนใบตองก็ตรงนั้นไงจ้ะพ่อ มีเป็นดงเลย"

เด็กหญิงตัวน้อยอธิบายฉอด ๆ อย่างคล่องแคล่ว จนคนเป็นพ่อได้แต่อ้าปากค้างมองลูกสาวราวกับเห็นเป็นครั้งแรก

ถึงแม้ในชาติก่อ เราจะถนัดของหวานมากกว่า แต่เรื่องของคาว...โดยเฉพาะอาหารไทยตำรับโบราณน่ะ เชฟอย่างธารามลก็ไม่เป็นสองรองใครหรอกนะ เธอคิดอย่างภาคภูมิใจ

สิงห์มองดวงตาที่มุ่งมั่นและเป็นประกายของลูกสาว เขายังคงสับสนว่าเหตุใดปลากริมที่เคยเอาแต่ใจและไม่เคยสนใจเรื่องการทำมาหากิน จู่ ๆ ถึงได้มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินวัยได้ขนาดนี้ หรือว่าการจมน้ำครั้งนี้จะทำให้ลูกสาวของเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือว่าจะมีอะไรมากกว่านั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความกระตือรือร้นของลูกสาวก็เหมือนแสงสว่างแม้จะยังน้อยนิด กระนั้นมันก็คือแสงที่ส่องเข้ามาในหัวใจอันมืดมนและท้อแท้ของเขา

"ถ้า...ถ้าลูกว่าอย่างนั้น...ก็ลองดูสักตั้งก็ได้" สิงห์ตอบเสียงเบา ด้วยไม่อยากทำลายความตั้งใจของลูกสาวตัวน้อย

นั่นคือคำอนุญาตแรก...และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติครัวเล็ก ๆ หลังบ้านของปลากริมตัวร้ายที่ต่อไปก็จะร้ายและยังนักเลงด้วย แต่ว่าจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องดูกันต่อไป

เมื่อได้รับไฟเขียวจากผู้เป็นพ่อ เด็กหญิงก็ไม่รอช้า เธอกลับเข้าสู่โหมดเชฟธารามลในทันที ดวงตากลมโตที่เคยฉายแววตื่นตระหนกบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสมาธิอันแน่วแน่

"พ่อจ๋า ขอเงินสักสองสามบาทได้ไหมจ๊ะ หนูจะไปร้านป้าชื่น"

สิงห์มองลูกสาวอย่างงุนงง แต่ก็ยอมล้วงเงินเหรียญจากกระเป๋ากางเกงส่งให้แต่โดยดี เขาเห็นปลากริมจูงมือน้องชายปั้นขลิบเดินดุ๊กดิ๊กออกจากบ้านไปด้วยความกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่นานนักสองพี่น้องก็กลับมาพร้อมกับห่อเครื่องพริกแกงและมะพร้าวขูดฝอย ในมือปลากริมยังมีใบยอที่ไปขอเก็บจากหลังวัดติดมาด้วย เธอบอกให้น้องชายไปนั่งรอเงียบ ๆ ก่อนจะเริ่มบัญชาการในครัวทันทีโดยมีพ่อเป็นลูกมือ

"พ่อจ๋า ช่วยขอดเกล็ดปลาแล้วก็แล่เอาแต่เนื้อให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ แล่ชิ้นพอดีคำนะ"

สิงห์ผู้ไม่เคยทำอะไรในครัวนอกจากต้มน้ำและทอดไข่ได้แต่ทำตามที่ลูกสาวบอกอย่างงง ๆ เขาใช้มีดเล่มเก่าค่อย ๆ แล่เนื้อปลาช่อนตามคำสั่งของผู้กำกับตัวน้อยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

ส่วนปลากริมนั้นแม้จะอยู่ในร่างเล็กแต่ท่าทีกลับคล่องแคล่วเกินวัย เธอจัดการนำมะพร้าวมาคั้นกับน้ำอุ่น แยกหัวกะทิและหางกะทิอย่างชำนาญ

ก่อนจะนำเนื้อปลาที่พ่อแล่เสร็จแล้วลงไปขยำกับเครื่องพริกแกงจนเข้าเนื้อ ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บเล็กน้อยที่พอจะมีติดครัวอยู่ จากนั้นจึงค่อย ๆ เติมหัวกะทิลงไปคนให้เข้ากันจนข้นเหนียว

หืม...ขาดไข่ไก่ไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร พอแก้ขัดได้ เธอคิดในใจพลางชิมรสชาติที่ปลายนิ้วแล้วพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจ

ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมกระทง เธอเดินไปที่ดงกล้วยหลังบ้านที่แม่นางตานีสถิตอยู่ ก่อนจะยกมือไหว้แล้วกระซิบเสียงเบา

"พี่สาวจ๋า...หนูขอใบตองงาม ๆ หน่อยนะจ๊ะ"

จบคำของเด็กหญิง จากนั้นก็มีลมพัดมาแผ่วเบาทำให้ใบตองกล้วยใบใหญ่ที่ดูสมบูรณ์ที่สุดสั่นไหวเป็นคำตอบ ปลากริมฉีกยิ้มก่อนจะลงมือเลือกตัดใบตองอย่างรู้งาน

เมื่อกลับมาถึงครัว เธอก็ฉีกใบตองเป็นแผ่นทำความสะอาดอย่างชำนาญ ก่อนจะนำมาทำกระทงซึ่งเธอรู้สึกประหลาดใจที่ใบตองไม่แตกเลยแม้แต่น้อย กระนั้นเด็กหญิงก็ปล่อยผ่าน ยกให้เป็นอภินิหารของแม่ตานีไป

เมื่อปลากริมทำทุกอย่างได้ตามที่ตั้งใจ เจ้าตัวน้อยก็วางใบยอรองที่ก้นกระทงตักเนื้อปลาที่ผสมเครื่องแกงแล้วตามลงไป ก่อนหยอดหน้าด้วยหัวกะทิข้น ๆ เพื่อให้พ่อนำไปนึ่งบนเตาถ่านที่ไฟลุกแดง

ไม่นานนัก...กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของห่อหมกก็เริ่มลอยฟุ้งออกจากครัวเล็กข้างบ้าน เป็นกลิ่นหอมของเครื่องแกงที่ผสานกับความมันของกะทิ ความสดของเนื้อปลา และกลิ่น อ่อน ๆ ของใบยอและใบตองที่โดนความร้อน กลิ่นนั้นช่างหอมยั่วน้ำลายเสียจนปั้นขลิบที่นั่งเล่นอยู่ต้องรีบวิ่งมาเกาะขอบประตูครัวทันที

กลิ่นหอมนั้นไม่ได้อบอวลอยู่แค่ในรั้วบ้าน แต่มันยังลอยข้ามรั้วสังกะสีผุพังไปไกลจนถึงบ้านข้างเคียง ป้าชื่นเจ้าของร้านโชห่วยที่กำลังกวาดพื้นอยู่หน้าบ้านถึงกับต้องหยุดชะงัก หันมาสูดจมูกฟุดฟิดไปทางบ้านของครูสิงห์

"เอ...บ้านครูสิงห์ ทำอะไรกินกันวันนี้ หอมมาถึงนี่เชียว"

ป้าชื่นบ่นพึมพำกับตัวเอง และเพราะทนความหอมยั่วน้ำลายไม่ไหว สุดท้ายจึงตะโกนข้ามรั้ว

"สิงห์เอ๊ย! ทำห่อหมกกินเหรอ? โอ๊ยยย...กลิ่นหอมโขมงโฉงเฉงไปทั่วซอยแล้วนะพ่อคุณ!"

สิงห์ที่นั่งมองลูกสาวทำกับข้าวด้วยความทึ่งอยู่ พอได้ยินเสียงข้างบ้านร้องทักก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจระคนประหลาดใจ เขามองไปยังร่างเล็ก ๆ ของปลากริมที่กำลังยืนเฝ้าซึ้งนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ... นี่น่ะหรือ...ลูกสาวของเขา? เด็กหญิงปลากริมที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน...

ดูเหมือนว่าแสงสว่างที่เขาเห็นในแววตาของลูกสาวเมื่อครู่...กำลังจะกลายเป็นแสงแห่งความหวังที่แท้จริงของครอบครัวเสียแล้ว ปลากริมนั้นไม่รู้เลยว่าการเปิดครัวครั้งแรกได้เรียกไฟที่มอดไหม้ของคนเป็นพ่อให้กลับมาอีกครั้ง
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 171

    คำตอบที่ชัดเจนนั้น...คือการยืนยันอย่างสมบูรณ์ว่าลูกสาวของเธอได้มองเห็นแม่นางตานีกับแม่นางกวัก สองสหายต่างภพของตัวเอง ภายในค่ำคืนนั้น...หลังจากที่ส่งลูก ๆ เข้านอนเรียบร้อย...ปลากริมก็ได้ตัดสินใจเล่าความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอให้เทวากรผู้เป็นสามีฟังเป็นครั้งแรก... ยกเว้นเรื่

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 170

    หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอม

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 169

    "ต้องได้สิ!" ข้าวเหนียวตอบอย่างหนักแน่น แม้ในใจจะเริ่มรู้สึกไม่ต่างกัน "นายอย่าลืมสิว่าการทำธุรกิจมันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ นายก็เห็นแล้วจากตัวอย่างของทั้งพ่อครูและแม่ครู ไหนจะปลากริมกับพี่เขยของนายอีก" คำพูดนี้ได้ทำให้ปั้นขลิบมีไฟขึ้นมาอีกครั้ง "พี่พูดถูก ผมจะมาท้อง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้"

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 168

    หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนาน

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 167

    สิ้นเสียงตะโกนของลูกน้อง...เสียงปืนกลก็ดังขึ้นจากแนวป่ารกทึบ! พวกเขาถูกซุ่มโจมตี! "หมอบลง! หาที่กำบัง!" เพชรตะโกนสั่งการอย่างไม่ตื่นตระหนก เขายิงต่อสู้เพื่อคุ้มกันให้ลูกน้องได้เข้าที่กำบังอย่างปลอดภัย...ทักษะการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวราวกับเงาที่เขาได้มาจากมวยไชยา...ได้ถูกนำมาปรับใ

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 166

    หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status