หลี่ไช่หัวยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ทนรอไม่ไหว จึงเดินอ้อมไปด้านหลังร้านที่ครอบครัวของหลี่หลิวกำลังตั้งแผงขายของอยู่ด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่จะเข้าไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน ทำมาเป็นต้องต่อแถวเรียงคิว เหตุใดเจ้ารองต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย
"เจ้ารอง!!" ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไช่หัวทำให้ครอบครัวของหลี่หงหันหลังกลับไปดูรวมทั้งสือไท่ ท่านย่าผู้นี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย นางส่งเสียงดังกึกก้องเหมือนไปกินรังแตนมา จนลูกค้าที่มุงต่อแถวกันหันไปมองนางอย่างสงสัยว่ายายแก่นี่เป็นอันใด "ท่านแม่..." หลี่หง และหวังลู่ก้มหัวทำความเคารพนางอย่างจนใจ ท่านแม่จะพูดดีดีก็ได้เหตุใดต้องทำเสียงดังให้ผู้คนหันมาสนใจกันด้วยนะ หวังลู่ได้แต่คิดอย่างจนใจ "เหอะ! พวกเจ้าทำอะไรมาขายล่ะ เจ้าไม่คิดจะให้แม่ผู้แก่ชราคนนี้ได้กินบ้างหรือ" หลี่ไซ่หัวได้กลิ่นที่ชวนหิวจนท้องใส่ปั่นป่วนจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่พอใจนัก เห็นข้าแล้วแทนที่จะเรียกข้า และรีบตักอาหารให้ แต่นี่อะไรทำมาเป็นตกใจเหมือนเห็นผี แถมสะใภ้รองหันมาทำเป็นก้มหัวให้หน่อยเดียวก็รีบหันกลับไป หรือนางไม่เห็นหัวหงอกหัวดำเช่นข้าอยู่ในสายตาของนางเลย "จิ๊บๆ ดูเถอะข้าอุตส่าห์เดินมาหา ดูนางลูกสะใภ้คนนี้สิทำเป็นหันหน้าหนี เจ้าไม่อยากที่จะต้อนรับข้าสินะ ทั้งลูกของเจ้าพอเห็นว่าเป็นข้าพวกมันกลับรีบหันหลังให้ข้าเช่นนี้ มันหมายความว่าเช่นไร!!" หลี่จงรีบบอกให้เจ้าใหญ่คอยดูแล และรับอีแปะไปก่อนส่วนเขาจะรับหน้าท่านย่าเอง ก่อนที่จะรีบเดินมาพยุงหญิงวัยกลางคนแล้วถามว่าท่านอยากจะกินอะไร "ท่านแม่ ตอนนี้ครอบครัวข้าทุกคนกำลังยุ่งอยู่ แต่ข้าจะดูแลท่านแม่เอง ท่านอยากทานอะไรหรือขอรับ" "เห็นแก่ที่เจ้ายังรู้ความอยู่ที่มาดูแลข้า งั้นเจ้าก็เอาปลาทอดมาสักสามสี่ตัว แล้วก็เอาไอ้ที่นางผัด ๆ อยู่นั่นน่ะมาอย่างล่ะสี่ห้ากระบอก" หลี่จงถึงกับพูดไม่ออก นี่ท่านแม่จะเอาอาหารมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ หลี่หลิวได้ยินอย่างชัดเจนนางถึงกับเคาะกระทะแรง ๆ อย่างหมดความอดทน จนหวังลู่บอกนางให้ทำเบา ๆ ประเดี๋ยวกระทะจะพังเอาได้มันยิ่งราคาแพงมากอยู่ด้วย หลี่หลิวส่งเสียงชิชะอย่างไม่พอใจเบา ๆ ก่อนจะตั้งใจทำงานของตนต่อ "ท่านแม่ขอรับ ลูกค้าสั่งปลาทอดเกลือ และอาหารไว้แล้วตอนนี้ปลาทอดไม่มีแล้วขอรับ ส่วนอาหารข้าให้ท่านได้มากสุดแค่สองกระบอกเท่านั้น" หลี่หงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกไป เขาไม่เคยปฏิเสธท่านแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เขากัดฟันพูดออกไปเช่นนั้น เพราะลูกค้าส่วนมากก็จับจอง และจ่ายเงินไว้แล้ว หากจะให้คืนเงินมันก็ยังไง ๆ อยู่ "มันทำไมมันจะไม่มี!!! ก็นี่ไงล่ะ" นางเดินไปข้างหลังหลี่จงผลักเขาให้หลบไปด้านข้าง แล้วชี้ไปที่อาหารที่วางเรียงรายกันอยู่อย่างฉุนเฉียว "สะใภ้ใหญ่เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้!!" หลี่ไช่หัวตะโกนเสียงดังเรียกคนมาช่วยนางตักข้าวปลาอาหาร "ตักอันนี้ใส่กระบอกไม้ไผ่สักสี่ห้ากระบอก อันนี้ด้วยนะ แล้วห่อปลาทอดนี่ไปด้วยเอามาห้าตัวเลย" หลี่ไช่หัวสั่งสะใภ้ใหญ่ที่เดินเบียดเสียดฝูงชนมาอย่างยากลำบาก แล้วเร่งรีบให้นางตักกับข้าวด้วยความเร็วเพราะกลัวว่ามันจะหมดก่อนตน "ท่านแม่ขอรับปลาทอดพวกนี้ถูกข้าขายไปแล้วนะขอรับ" หลี่ไซ่หัวหันหลังมาแล้วสะบัดมือที่หลี่หงพยายามจะหยุดนางไว้ "เจ้ามันยังไงกันแน่ เจ้าจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ทั้งที่เจ้ากินอิ่มอยู่ดีกินดีงั้นรึ" หลี่ไช่หัวหันไปบอกสะใภ้ใหญ่ว่าให้รีบตักอาหารแล้วใส่ให้มันเต็ม ๆ กระบอกหน่อยก่อนจะหันมาต่อว่าเจ้ารองแล้วชี้มือชี้ไม้บ่นด่าครอบครัวเจ้ารองที่เนรคุณ ไม่รู้จักเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้เป็นมารดา จนชาวบ้านที่พากันจับจองอาหาร และจ่ายเงินไปแล้วพากันโห่ร้องโวยวาย "พวกเจ้าอย่ามาสร้างปัญหา ข้าแค่มาเอาอาหารที่บุตรข้าทำเสร็จแล้วไปกิน อย่าได้มายุ่งเรื่องครอบครัวเสียดีกว่า พวกเจ้าหุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ ไปซะ" นางหลี่ใช้หัวที่กำลังเดือดดาลจึงระบายอารมณ์ใส่ผู้คนที่กำลังยืนล้อมร้านของเจ้ารองอย่างไม่ไว้หน้า จนพวกชาวบ้านพากันด่านางว่าไม่รู้จักรอคอย ทั้งที่พวกเขามายืนรออยู่นานแล้ว แต่นางกลับมาฉกของที่พวกเขาจ่ายเงินไปแล้วอย่างหน้าด้าน ๆ หลี่ไช่หัวหน้าแดงหน้าดำระบายโทสะออกมา นางจับได้ตะหลิวของกระทะทอดปลาแล้วขว้างใส่ลูกค้าของครอบครัวหลี่หลิวจนพวกเขาร้องโอดครวญ "สมควรแล้ว กล้าดีอย่างไรมาว่าข้าว่าหน้าด้านแย่งของพวกเจ้ากัน นี่มันของลูกชายข้า ข้าจะหยิบจะจับจะเอาอะไรมันก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า" ชาวบ้านที่จ่ายเงินแล้วยังไม่ได้ของต่างพากันขอเงินคืนกันยกใหญ่ หลี่หลิวโมโหจนควันออกหูทว่าได้หลี่จงมาคอยห้ามปรามไว้ ส่วนท่านแม่ยังคงผัดอาหารอยู่หน้าเตาเพราะไม่สามารถวางมือได้และกลัวว่าไฟจะไหม้กระทะเอานางจึงทำได้เพียงรีบทำให้มันเสร็จ ๆ ไป สือไท่มองเหตุการณ์ข้างหน้าแล้วหันมองหน้าน้อย ๆ ที่กำลังโมโหจนเลือดขึ้นหน้าอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นเขาก็คงจะสั่งคนมาทำให้นางหุบปากแล้วลากไปทำปุ๋ยเสีย แต่นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของแม่นางน้อย เขาจึงทำได้แค่เอามือปิดหูน้องเล็กหลี่เฉินแล้วดึงเขาเข้ามากอดไว้ อย่างกับต้องการจะปกป้องเขาจากเรื่องที่เด็กไม่ควรจะได้ยิน ชาวบ้านที่ได้รับเงินคืนแล้วพากันแยกย้าย หลี่หงหน้าชาจนมิกล้าพูดอันใด ทำได้แต่กล่าวขอโทษขอโพยลูกค้าไปทั้งแบบนั้น "ท่านแม่พอเถอะเจ้าค่ะ ลูกค้าหนีหายไปหมดแล้ว" หลี่หลิวเห็นว่าท่านแม่ของตนใกล้จะทำเสร็จแล้วจึงรีบบอกให้นางวางมือ นางจึงยกอาหารชุดสุดท้ายเทลงหม้อแล้ววางกระทะก่อน แล้วสูดหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนจะหันไปยิ้มบาง ๆ ให้ท่านย่าที่เหมือนกินดีหมีมา "ท่านแม่ ท่านได้อาหารแล้วส่วนพวกเราก็จะเก็บของกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ หากท่านไม่ว่าอะไรก็ช่วยหลีกทางให้พวกเราได้เก็บข้าวของด้วยนะเจ้าคะ" "อะไรกันพวกเจ้าจะหยุดขายแล้วหรือ งั้นเนื้อวัวที่หั่นนี่ข้าขอนะ อาหารที่เจ้าพึ่งทำเสร็จนั่นก็ด้วย" หลี่ไช่หัวสั่งให้สะใภ้ใหญ่ตักอาหารเพิ่มทันที เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะเก็บของกลับบ้าน ในเมื่อไม่ขายแล้วข้าก็จะเอาอาหาร และเนื้อนี่กลับบ้านไปเอง หลี่หงมองหน้ากันกับภรรยาแต่ไม่ได้พูดอันใดออกมา ได้แต่พากันเก็บพวกเตาไฟ กระทะ และเครื่องปรุงขึ้นรถม้า ส่วนของที่เหลืออยู่อย่างเช่น ผัก ปลาทอด และอาหาร ท่านย่าก็สั่งให้สะใภ้ใหญ่ตักใส่กระบอกส่วนพวกหน่อไม้ท่านก็ห่อใบบัวจนเสร็จ "ท่านแม่ข้าเก็บของเสร็จแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะขอรับพวกข้าต้องขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่มาทำกระบอกต่อ" หลี่หงกล่าวอย่างสุขุม อย่างไรเสียแม่ก็ยังเป็นแม่อยู่วันยังค่ำ อาหารวันนี้ถูกขายไปมากกว่าครึ่งทำให้เขาพอยิ้มออกมาได้อยู่บ้าง "วันนี้เจ้าขายได้มากพอตัวเลยหนิ ไหนล่ะเงินที่ขายได้เอามาให้ข้าเสีย" หลี่ไช่หัวแบมือออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย เพราะนางหมดแรงไปกับการทะเลาะกันเมื่อครู่กับพวกปากหอยปากปูไปมากแล้วกว่าพวกมันจะยอมแยกย้ายกันไปได้นางก็ต้องใช้พลังในการส่งเสียงไปมากจนรู้สึกเจ็บคอ "เอ่อ..." "รีบ ๆ เอามาเสียข้าจะกลับบ้านแล้ว" หลี่ไช่หัวตะคอกใส่หลี่หงพร้อมง้างมือยกขึ้นทำท่าเหมือนจะตีเขา หลี่หงที่เคยถูกท่านแม่ทุบตีมาไม่น้อยก็ทำได้แค่ส่งถุงเงินที่เพิ่งขายได้ให้กับท่านแม่ไป ดีที่หลี่หลิวบอกท่านพ่อว่าห้าตำลึงเงินนั้นนางจะขอเก็บไว้เองท่านย่าจึงได้ไปเพียงแค่เงินของวันนี้ที่ขายอาหารได้มา "ท่านย่า ท่านรับไปเถอะเจ้าค่ะ" หลี่หลิวเดินออกไปหาท่านย่าแล้วยื่นสามตำลึงเงินกว่า ๆ ให้ท่านไป "เจ้าพวกนี้หนิ ถือว่าขายได้มากเลยสิท่า ยังอุบอิบเงินไว้อีกต่างหาก หากคืนให้ข้าตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ต้องให้ข้าตามมาทวงถาม จนพวกชาวบ้านพากันกล่าวหาว่าข้าหน้าไม่อาย พวกเจ้านี่ก็จริง ๆ เล้ย " หลี่ไซ่หัวได้เงินมาอีกสามตำลึงเงินรวมกับของเก่าอีกเกือบสองตำลึงเงินกับอีกหกร้อยกว่าอีแปะ แต่นางก็ไม่คิดที่จะคืนส่วนต่างให้พวกเขา จึงได้บอกให้สะใภ้ใหญ่รีบเก็บของแล้วกับบ้านกัน สะใภ้ใหญ่หอบหิ้วของอิลุงตุงนังแล้วหันมองพวกเขาอย่างพอใจ "ลูกแม่เหตุใดเจ้าถึงยอมมอบเงินให้ท่านย่าไปเร็วเช่นนั้นล่ะ" เมื่อทุกคนขึ้นรถลาก และออกจากตลาดเช้ามา หวังลู่ที่กอดเจ้าเล็กอยู่ก็ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงม้าที่ดังกุบกับ ๆ มาตามทางเพียงเท่านั้น "ข้าจะย้ายไปเมืองหลวง ข้าไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้แล้วจึงมอบคืนให้ท่านย่าไปให้มันจบ ๆ ท่านจะได้ไม่ต้องคอยตามมาทวงถามอีกแล้วเราก็มีที่ทางที่พี่สือไท่บอกว่าจะให้เช่าแล้วหนิเจ้าคะ เราย้ายไปวันนี้กันเถอะเจ้าค่ะ ขืนอยู่ต่อท่านย่าต้องหาทางให้เรากลับไปช่วยงานอีกตามเคยเป็นแน่" "ข้าไม่กลับนะ ข้าไม่กลับ ข้าจะไปเมืองหลวงกับพี่สือไท่" หลี่เฉินเขย่าแขนผู้เป็นแม่อย่างระทมใจ หากเขากลับไปคงได้กินแต่น้ำข้าวต้มอีกเป็นแน่ "ได้ ข้าจะพาทุกคนไปเมืองหลวงกัน ม้าก็มีแล้วไม่ต้องเดินให้เมื่อยแล้ว ไปก็ไป" หลี่หงได้ยินเสียงของบุตรชายที่ร้อนรนจนเขาก็อดคิดไม่ได้ หากท่านแม่ยังไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ ครอบครัวของเขาก็คงไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุขได้อีกต่อไปแล้วล่ะ แถมยังไม่สามารถไปขายของที่ตลาดที่มีท่านแม่คอยมาแบ่งปันเช่นนั้นได้อีก จึงได้แต่ตัดใจลาจาก จะห่วงก็แต่พ่อแม่ที่แก่ชราถึงท่านจะพูดไม่ดีแต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ สักวันข้าจะต้องกลับมาตอบแทนคุณ "จริงหรือขอรับ เย้" หลี่เฉินลุกขึ้นยืนกระโดดไปมาจนท่านแม่ต้องรีบคว้าไว้เพราะกลัวว่าเขาจะตกรถม้าเอา สือไท่แอบยิ้มตรงมุมปากน้อย ๆ แล้วแอบมองแม่นางน้อยที่มองไปข้างหน้า ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะเป็นคนที่คอยผลักดันครอบครัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่ว่านางจะชี้ไม้เป็นนกครอบครัวก็จะเห็นว่าเป็นนกตามที่นางบอกเสมอ นี่แหละเหมาะสมกับข้าเป็นที่สุด นางใคร่คิดใคร่ทำอย่างรอบคอบ และวางตัวได้อย่างเหมาะสมถึงนางจะโมโหแต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี ดีจริง ๆ ที่นางจะไปกับข้าในวันนี้ และเมื่อนางไปถึงที่นั่นข้าต้องทำตัวให้ว่างหน่อยจะได้เทียวไปเทียวมาหานางได้บ่อยขึ้น "ท่านพ่อรถม้าคันเดียวมันไม่เพียงพอหรอกนะเจ้าคะ ทั้งของทั้งคนท่านควรหารถม้าอีกสักคันที่สามารถเช่าทั้งคนขับ และรถม้าไปด้วยจะได้สะดวกขึ้นมาหน่อย ถ้าจะให้ดีต้องเป็นแบบที่มีหลังคาเพราะว่าหากต้องเดินทางช่วงบ่ายข้าได้ถูกย่างตายก่อนแน่เจ้าค่ะ" "เด็กคนนี้ใครเขาให้พูดถึงเรื่องอัปมงคลเช่นนั้นกัน" "หวังลู่อย่าเอ็ดลูกเลย ที่นางว่ามามันก็จริงของนาง กว่าเราจะถึงเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลากว่าสองสามวัน หากเราจะเก็บข้าวของไปด้วยก็ต้องใช้รถลากเพิ่มอีกคันอย่างที่ลูกว่านั่นแหละ" "มันก็ใช่ เพียงแต่ข้าไม่อยากให้นางพูดเช่นนั้น" "เอาเถอะๆ ข้าจะลองหาวิธีดู" หลี่หงรีบเร่งเดินทางจนถึงบ้าน พระอาทิตย์ก็เริ่มโผล่แสงเจิดจ้า จนเขาต้องรีบเข้าเมืองไปกับสือไท่ และหลี่เฉิน เพื่อไปหาดูว่ามีที่ใดบ้างที่เขารับว่าจ้างขนของไปส่งในเมืองหลวง พี่ใหญ่แอบเดินมาถามน้องรองว่าทำไมเจ้าไม่แอบเอาของใส่ไว้ในมิติไปเลยล่ะจะได้สบาย และข้าวของเครื่องใช้จะได้ไม่เสียหาย หลี่หลิวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยหน้าถามพี่ใหญ่ว่า ท่านว่าหากทุกคนเห็นข้าวของหายไปพวกเขาจะถามหาหรือไม่ล่ะ หลี่จงจึงเงียบปากแล้วไปให้อาหารม้าตามที่หลี่หลิวบอก ถึงจะมีมิติแต่ก็ไม่สามารถใช้มันได้อย่างเปิดเผย ต้นกุหลาบ และต้นมะพร้าว ถูกปลูกไปในมิติแล้วพวกน้ำมันหอมต่าง ๆ ก็เช่นกัน จะมีก็แต่พวกเครื่องปรุงหม้อกระทะ ตุ่มน้ำ เสื้อผ้า และของใช้ที่จำเป็นอีกมากนี่ก็แทบจะไม่มีที่ให้วางแล้ว หากโชคดี และได้รถม้าที่มีหลังคาบังแดดคงจะดีไม่น้อย แต่รถลากแบบนั้นคงราคาแพงน่าดู แถมเราต้องใช้คนขับด้วยท่านพ่อคงไม่ทุกข์ใจจนตรอมตรมหรอกกระมัง ณ ตัวเมือง... "ขอบใจเจ้ามากที่ยอมควักค่าเดินทางให้กับพวกเรา" หลี่หงเริ่มพูดกับสือไท่อย่างเป็นมิตร "ข้าจะต้องเดินทางไปที่เมืองหลวง การหารถม้านั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วขอรับ" สือไท่ตอบอย่างมีสัมมาคารวะ ทุกถ้อยคำล้วนมีเหตุผลทำให้เขาดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก หลี่หงไม่ยักรู้มาก่อน ว่าการจ้างวานรถม้าไปเมืองหลวงจะต้องใช้จ่ายถึงสามตำลึงเงินเลยทีเดียว เถ้าแก่โรงม้าอ้างว่าหากจะไปที่เมืองหลวงต้องใช้สองคนขับถึงจะยอมไป และเขาจะไม่ยอมลดแม้แต่อีแปะเดียว เขาที่มีเพียงหนึ่งตำลึงเงินกว่า ๆ ถึงกับหน้าถอดสีดีที่เขาพาสือไท่มาด้วย เพื่อที่จะแยกเขาออกมาจากหลี่หลิว จึงได้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด "ท่านพ่อ ๆ มีรถม้าตามเรามาคันนึงด้วยล่ะรถคันใหญ่มากเลยนะขอรับ มีหลังคามุงไม้ไผ่ด้วยล่ะขอรับ ข้าจะได้นั่งรถม้าคันนั้นหรือไม่ขอรับ ดูม้าของพวกเขานั่นสิตัวใหญ่ และบึกบึนกว่าม้าของเรามาก มันต้องวิ่งได้เร็วมาก ๆ เลยล่ะขอรับ" หลี่เฉินที่ตื่นเต้นกับการเดินทางเห็นอะไรก็ชวนคุยไปเสียหมด สือไท่จึงใช้โอกาสนี้ถามเขาว่าหากไปที่เมืองหลวงเจ้าจะไปเรียนที่ใด ครอบครัวเจ้าจะทำอาหารขายเช่นเคยไหม ทำให้เจ้าเล็กที่ชอบคุยอยู่แล้วพูดจ้อไม่หยุดตลอดทาง เรียกได้ว่าที่เสียงของเขาเริ่มแหบแห้งอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ แสงแดดรำไรตอนเช้าทำให้การเดินทางไปยังเมืองค่อนข้างไม่ร้อนนัก ผิดกับขากลับที่แดดเริ่มร้อน และอบอ้าว หากต้องเดินทางอาบแดดแบบนี้ตลอดทั้งสองวันลูกสาวข้าคงได้โวยวายไปสุดทางอย่างแน่นอน ยังดีที่มีรถม้าที่มีหลังคาว่างอยู่ และมันค่อนข้างใหญ่กว่ารถม้าบ้านของเราพวก เขารับงานว่าจ้างในครั้งนี้มาอย่างกระทันหันจึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากนัก แม้ว่าจะมีคนขับมาด้วยสองคนนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร อย่างน้อย ๆ ยังมีคนคอยช่วยข้าเปลี่ยนมืออย่างเช่นสือไท่อยู่ ช่วงที่ข้าเดินหาร้านจ้างวานสือไท่ก็สามารถบังคับรถลากได้อย่างชำนาญ ข้าไม่สามารถดูถูกคนในเมืองหลวงได้เลยจริง ๆ เมื่อรถม้าสองคันมาถึงก็เป็นช่วงเกือบสิบโมงเช้า ยังดีที่ก่อนออกเดินทางไปในตัวเมืองแม่สาวน้อยเอามันเผาใส่รถม้ามาให้ด้วยจึงช่วยให้อิ่มท้อง แต่พอมาถึงบ้านท้องเจ้ากรรมนายเวรของสือไท่ก็เริ่มร้องประท้วงโวยวายเสียงดัง จนหลี่เฉินกลั้นขำไม่ไหวแต่เอาเถอะท้องหิวมันก็ต้องร้องบ้างเป็นธรรมดา นี่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่มิอาจปกปิดได้ "พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้วขอรับ" เสียงแจ้ว ๆ ที่คุ้นหูดังมาก่อนที่รถม้าจะมาถึงเสียอีก น้องเล็กของเขานี่มีพลังเสียงที่น่าอัศจรรย์เสียจริง "มาแล้วรึ!" หลี่หลิวที่เตรียมอาหารไว้รอยืดคอชะเง้อดูก็ได้เห็นน้องเล็กยืนโบกมือไปมาด้วยใบหน้าระรื่น ต่อจากรถของท่านพ่อก็ยังมีรถลากอีกคันที่มีหลังคามุงตามหลังมาด้วย หลี่หลิวยิ้มกว้างอย่างพอใจ ดีจริง ๆ ที่นางบอกให้ท่านพ่อเลือกรถม้าที่มีหลังคา หากไม่บอกท่านไปไม่แน่ว่าอาจได้รถม้าขนส่งธรรมดามาเป็นแน่ ก่อนหน้านั้น.... ท่านลุงฉวีที่พาเด็ก ๆ มาเล่นกับหลี่เฉินตกใจเมื่อรู้ว่าครอบครัวหลี่จะย้ายไปเมืองหลวง ทว่าเขาก็พอได้ยินมาบ้างว่าแม่ของหลี่หงนั้นคอยวนเวียนเรียกร้อง และทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวหลี่หงกลับบ้านไป แต่นางใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ข้ายังได้ยินมาอีกว่าตอนพวกเขาอยู่บ้านใหญ่ก็ถูกใช้งานอย่างหนัก ถึงกระนั้นแล้วยังไม่ยอมแบ่งข้าวปลาอาหาที่เพียงพอให้กับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ข้ากลับดีใจที่พวกเขาคิดจะย้ายจากไปเสียอีก ลุงฉวีรู้ว่าการเดินทางนั้นเหนื่อยล้าแถมต้องทนแดดทนฝน เมื่อรู้ว่าบ้านหลี่หงมีรถม้าแล้ว จึงกลับไปนำไม้ไผ่สานมาไว้ให้หลี่หงเพื่อทำที่บังแดดบังลมให้กับพวกเขาระหว่างการเดินทาง ส่วนเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้ช่วยหวังลู่เก็บมันหวานสองแปลงที่เขาเคยปลูกไว้ก่อนหน้า หลี่จงเตรียมกระบอกไม้ไผ่ที่ใหญ่ และยาวไว้หลายสิบอันตามที่น้องรองบอก หลังจากหลี่หลิวเอาเขาไปทิ้งไว้ในมิติให้รดน้ำต้นไม้เก็บผัก และเติมน้ำใส่กระบอก ก่อนจะเตรียมแตงโมที่ผ่าไว้ก่อนหน้านั้นเพื่อจะนำออกมาด้วย แต่นางเกิดเปลี่ยนใจไม่นำมันออกมา "พี่ใหญ่รอนานไหมเจ้าคะ" หลี่หลิวที่เก็บเสื้อผ้าของทั้งสามคนพี่น้องเสร็จ จึงรีบเข้ามารับท่านพี่ออกไป "พาข้าออกไป" เมื่อออกจากมิติมา นางมองกระบอกน้ำที่เตรียมไว้นับสิบอย่างพอใจ ไหนจะผัก และมะเขือเทศลูกใหญ่นี่อีก หากว่ามะพร้าวของนางโตทันคงมีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ ให้จิบตามทาง พอคิดขึ้นมาได้หน้าหนาวที่มีหิมะตก หากนางเอาน้ำใส่ถังแล้วปล่อยให้มันแข็งตัวเป็นก้อนแล้วเอามาเก็บไว้ในมิติที่กว้างใหญ่นี่แล้วล่ะก็ นางจะมีน้ำแข็งก้อนไว้กินได้ตลอดปีเลยทีเดียว พอคิดเช่นนั้นนางก็เผลอยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายจนพี่ใหญ่ที่เห็นแล้วแอบขนลุกซู่ หลี่หลิววางอาหารที่โต๊ะเรียงลายจนเต็ม มีทั้งแกงปลาใส่หน่อไม้ ปลาทอดเกลือ ผัดผักกาดขาวใส่เนื้อหมู หมูตุ๋นน้ำแดงที่นางเพิ่งลงมือทำสดใหม่ นางเรียกครอบครัวตน สือไท่ ลุงฉวีกับหลาน ๆ พร้อมทั้งคนขับอีกสองคนมานั่งทานด้วยกัน "ขอบคุณ ๆ อาหารวันนี้อร่อยมาก พวกข้าจะทำงานให้เต็มที่ ข้าจะช่วยผลัดเปลี่ยนขับรถม้าของท่านด้วย หากท่านรู้สึกเหนื่อยล้าให้บอกพวกข้าได้เลย" ชายหนุ่มที่อายุราว ๆ ยี่สิบกว่าปียิ้มแย้มอย่างจริงใจ เขาไม่เคยพบเจอแบบนี้มาก่อนเลยหากเป็นที่อื่น ๆ พวกเขาจะให้ช่วยยกของ และออกเดินทางเลย ในระหว่างการเดินทางพวกเขาจะเตรียมพวกหมั่นโถวไปด้วยเพื่ออุ่นกินตามทางเพียงเท่านั้น แต่พอมารับงานนี้ทำให้พวกเขาใจชื้นขึ้นมามากเลยทีเดียว บางครั้งการเดินทางต้องเจอกับหลาย ๆ สถานการณ์ บ้างก็นายจ้างขี้บ่น ขับช้าก็ว่าขับเร็วก็ดุด่าจนพวกเขาทำแค่หน้าที่ของตน แต่นายจ้างในครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ถึงพวกเขาจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาแต่พวกเขาก็มีน้ำใจ และให้เกียรติพวกเขาเป็นอย่างมาก เฟยอี้ และเฟยเหยียน สองพี่น้องที่รับจ้างคราวนี้ได้รับการต้อนรับอย่างดี หลังจากที่ชายหนุ่มลุงฉวี และสือไท่ช่วยติดที่บังลมใส่รถม้าบ้านหลี่หงเสร็จ ก็ช่วยกันขนของขึ้นรถลากด้วยความเต็มใจ รถลากของท่านพ่อใส่พวกตุ่มน้ำ หม้อ กระทะ ถ้วยชามต่าง ๆ พร้อมด้วยเครื่องครัวต่าง ๆ โดยใช้ฟางจากบ้านของท่านลุงฉวีมัดแล้วคล้องพวกมันเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา รถลากของเฟยอี้ และเฟยเหยียนมีเพียงพวกผ้าห่ม และที่นอนพร้อมกับเสื้อผ้าอีกไม่มากนัก ภาระหนักคงตกไปที่ม้าของหลี่หลิว พวกเขาบอกว่าสามารถเอาของหนักมาใส่รถลากของพวกเขาได้ เพราะม้าของพวกเขาค่อนข้างแข็งแรงกว่า แต่หลี่หลิวกับบอกว่าไม่เป็นไร หากมันเหนื่อยก็ให้มันพักเสียหน่อยก็ได้แล้ว"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย