‘สองฝั่งคลอง’… ‘มาลัยสามชาย’ … ‘ทวิภพ’
‘กรงกรรม’ … ‘ฤกษ์สังหาร’ … ‘บ้านทรายทอง’
รายนามบนสันหนังสือที่นรีเลื่อนสายตาผ่านนั้น มีแต่ชื่อโด่งดังคุ้นหู ที่บางเรื่องก็เคยดูเป็นละครโทรทัศน์รีรันซ้ำซากจนคุ้นตาแทบทั้งหมด หล่อนเถียงในประเด็นที่ว่า นี่คือหนังสือหายากทรงคุณค่า และหล่อนก็ไม่เกี่ยงนักหรอกที่ต้องอ่านนิยายละครโทรทัศน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องเล่าในเล่มเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจเพียงพอจะดึงความสนใจของหล่อนได้
‘สาปภูษา’ … ‘กำไลมาศ’ … ‘กาหลมหรทึก’
‘เกิดแต่ตม’ … ‘หลงเงาจันทร์’ … ‘รากนครา’
หากต้องเลือกเล่มใดไปอ่านเฉพาะชั้นวางนี้ นรีก็ไม่ติดขัดใจ เพราะอย่างน้อยการได้มีอะไรให้อ่านเล่นฆ่าเวลาย่อมดีกว่านั่งชมนกชมไม้จนแทบจะเริ่มเสวนาธรรมกับผีเสื้อในสวนอยู่หลายขุม แต่ควรจะเริ่มหยิบเล่มไหนไปก่อน ในส่วนนี้นรีก็ยังคิดไม่ตก กระทั่งไล่สายตามาจนสุดชั้นวางและพบเข้ากับช่วงกลางลำตัวของคุณเจ้านายที่มายืนพิงไหล่กับชั้นวางนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ หล่อนก็สะดุ้งไปหนึ่งรอบก่อนยืดตัวกลับยืนตรงเดี๋ยวนั้น
“ถ้ายังไม่รู้จะอ่านอะไร… ลองเล่มนี้มั้ยคะ” คุณเจ้านายว่าเช่นนั้น ก่อนยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้หล่อน ประมาณด้วยสายตาเห็นว่าความยาวราวๆ สองร้อยกว่าหน้า ระบุบนปกภาพวาดดอกจำปีเคียงดอกจำปาว่า ‘หอมลมกลิ่นรัก’ พร้อมปรากฎลายเซ็นใต้ชื่อนั้นเป็นนามปากกาแสนคุ้นใจ
‘คุณข้าหลวงนิรนาม’
นรีรับหนังสือเล่มนั้นมาด้วยใจเริ่มระริก ลึกๆ ทั้งนึกรู้และคาดหวัง ว่าจะได้ละเลียดเรื่องราวในเล่มที่หอมหวานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ‘กลิ่นรัญจวนในครัวใจ’ ดูท่า หล่อนจะปักใจเป็นแฟนวรรณกรรมของนามประพันธ์นี้แบบไม่คิดจะถอนตัวไปเสียแล้ว
รอยยิ้มพึงใจของนรีฉายชัดจนดารัณเผยยิ้มเอ็นดูออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหันหลังไปด้วยท่าทีว่ากำลังกลับไปที่โต๊ะเขียนงานสักทีแล้ว แต่ก็ชะงักเล็กน้อยอย่างคนที่เพิ่งนึกอะไรได้และหันกลับมาบอกนรีว่า
“ตืนที่โต๊ะนะคะ”
“ค่ะ”
นรีรับคำอย่างว่าง่ายเช่นเคย ก่อนยกหนังสือเล่มใหม่แนบอก เดินออกมาจากห้องคุณเจ้านาย ทรุกลงนั่งเก้าอี้ไม้สักประจำตำแหน่ง แน่นอนว่าหล่อนห้ามใจให้ตนเองไม่เปิดอ่านเรื่องราวที่เรียบเรียงไว้อย่างประณีตนั่นแทบไม่ได้ หล่อนสำรวจทุกตัวอักษรจากปกหน้า พลิกไปปกหลัง แง้มอ่านคำนิยม ตลอดจนบทนำ อุ่นเครื่องให้ใจฟูฟ่องพร้อมพาตนเองเปิดประตูเข้าสู่มิติแห่งบทประพันธ์
‘ว่ากันว่า ในรั้ววังหลวงสมัยกรุงเก่า มีสตรีสองนางผู้ต่างเป็นดังเงาของดอกไม้แห่งฤดูร้อน ถูกเล่าขานไม่รู้เสื่อมคลาย
นางหนึ่งมีนามว่า จำปี งามละมุนดั่งกลีบขาวหอมกรุ่นของดอกจำปี นางอ่อนหวาน อ่อนโยน เป็นที่ชื่นใจของผู้พบเห็น อีกนางมีนามว่า จำปา งามคมเข้ม ร้อนแรงไม่ต่างจากกลีบดอกจำปาสีทอง นางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เร้นลึกที่ยากห้ามใจ’ …
แล้วค่ำคืนนั้นก็จบลงที่นรีอ่านเนื้อความในเล่ม หอมลมกลิ่นรัก ไปมากหนึ่งส่วนสี่ของทั้งหมด ภายในชั่วโมงเดียว หลังได้รับหนังสือเล่มนั้นมา และตอกตรึงไว้กับหน้ากระดาษไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมงหลังกลับเข้าห้องตนเองในช่วงตีสองเกือบตีสาม
…‘กลีบจำปีขาวถูกโปรยลงบนแผ่นหลังนวลเนียน กลีบจำปาทองโปรยทับบนอกอิ่มที่สะท้านสะเทือน ทุกสัมผัสเป็นดังเพลิงที่ทั้งลุกโชนและอ่อนหวาน แฝงไว้ด้วยความเสน่หาที่ไม่มีวันบรรยายได้จนสิ้น
ทุกค่ำคืนที่ได้พบกันนั้น คือบทกวีแห่งสวาทที่จารึกด้วยกลิ่นไม้หอมและเสียงครางสั่นเครือ ทุกครั้งที่ร่างทั้งสองแนบชิดจนกลายเป็นหนึ่ง คือทุกครั้งที่ดอกจำปี–จำปา เบ่งบานพร้อมกันในสวนต้องห้าม’
นรียกหนังสือขึ้นแนบอก เม้มริมฝีปากเล็กน้อย รู้สึกร้อนนิดหน่อย โชคดีที่คุณทิพย์กำลังงีบหลับท่ามกลางบรรยากาศสวนดอกไม้ที่ครึ้มชื้นอย่างทุกวัน นรีจึงมั่นใจได้ว่าไม่มีใครได้เห็นสีหน้าของหล่อนที่นึกจินตนาการตามคำเขียนแล้วขวยเขินขึ้นมาฉับพลัน นี่เป็นอีกหนึ่งพลังของตัวอักษรที่จู่โจมจิตใจนักอ่าน นอกเหนือไปจากการตรึงสติให้ติดพันจนวางเล่มไม่ลงแทบตลอดทั้งคืน
“เข้าบ้านกันเถอะ” เสียงคุณทิพย์เอ่ยขึ้น พาให้นรีรู้สึกตัวจากภวังค์บทประพันธ์ได้อย่างเต็มสติ หล่อนประคองคุณทิพย์เข้าบ้านอย่างระมัดระวัง และย้อนกลับมาเก็บหนังสือและถอดกาน้ำชาโดยจงใจเลี่ยง ไม่มองขึ้นไปที่หน้าต่างตึกฝั่งตะวันตก หล่อนรังสรรค์เมนูแสนธรรมดาในเย็นวันนั้น โดยจิตใจยังคำนึงถึงบทรักในเล่ม หอมลมกลิ่นรัก
‘ทุกสัมผัสเหมือนกลีบจำปีร่วง ทุกจูบเหมือนกลีบจำปาแนบลงบนผิวเนื้อ ละเมียดละไมแต่แฝงเพลิงร้อนซ่อนอยู่ไม่สิ้น ร่างสองร่างเกยทับกลมกลืน ลมหายใจผสานดั่งควันหอมกำยานที่หมุนวนในห้องมนต์ ม่านรักโปรยคลุมจนโลกภายนอกเลือนหายไป มีเพียงความวาบหวามรัญจวนที่ร้อยรัดหัวใจให้เต้นระรัว’
หล่อนสะบัดศีรษะเบาๆ คล้ายว่าเป็นการช่วยสลัดความคิดรุ่มร้อนให้พ้นไปจากใจได้ พยายามลงสติไปกับส่วนผสมของน้ำพริกกะปิให้อยู่ในครกหินครบเครื่องดีแล้ว ณ ขณะนั้น ใจหล่อนเริ่มผุดความสงสัย ว่าเหตุใดคุณเจ้านายจึงเลือกแนะเล่มนี้ให้หล่อนได้อ่าน จะเป็นเพราะต้องการให้หล่อนได้ลิ้มลองวัจนอันลึกร้อนแสนรัญจวน ที่บรรยายการลงรักแนบแน่นยิ่งกว่าเล่มก่อน หรือจะเป็นเพียงเพราะหล่อนเอ่ยปากว่าชอบงานเขียนของนักประพันธ์นามปากกานี้จึงหยิบเอาเล่มอื่นมาให้อ่านก็เท่านั้น
ความฟุ้งซ่านพาให้นรีกังวลในจุดประสงค์ของคุณเจ้านายก็จริง แต่มนตราแห่งงานประพันธ์ก็ยังคงตรึงหล่อนไว้กับคำพรรณนามากมายระหว่างจำปากับจำปี แม้กระทั่งตอนดึกที่หล่อนมานั่งประจำที่ตรงเก้าอี้ไม้สัก หล่อนก็สามารถก้มหน้าก้มตาอ่านจนหลุดเข้าไปในโลกคำประพันธ์ และหลงลืมความประหวั่นเพียงเล็กน้อยที่มีต่อคุณเจ้านาย ผู้นั่งหันหลังต่อหน้าหล่อนอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเช่นทุกคืน
‘ในรั้วในวัง การส่งสารลับนั้นมากหลายพิธีการ ครั้งหนึ่งจำปารู้มาว่า องค์สตรีสูงศักดิ์ทรงให้ข้าหลวงคนสนิทลองส่งดอกจำปาแก่พราหมณ์หนุ่ม เพื่อแทนใจ หมายว่า ต้องการใกล้ชิดกับพราหมณ์ผู้นั้น จำปาจึ่งทราบความหมายอีกนัยของนามตน ว่า งดงามร้อนแรงไร้ต้านทานได้’
นรีอ่านทวนความตรงนี้อยู่สามสี่หน จนแอบคิดขึ้นมาว่า การเลือกหนังสือเพื่อสื่อความนัย จะคล้ายกันกับ ดอกไม้แทนใจ สื่อความต้องการใกล้ชิด ดังที่บทประพันธ์ว่าไว้หรือไม่
หล่อนละสายตาจากหน้ากระดาษ พับหนังสือปิดไว้ชั่วครู่ พักสายตาด้วยการมองผ่านหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุดออกไปนอกเรือน ลมเอื่อยพัดลอดเข้าช่องหน้าต่างมาพอให้รู้สึกสบายตัว หล่อนผละสายตากลับมา ลอบมองคุณเจ้านายเล็กน้อย ก่อนทิ้งสายตาลงจับที่ปกหนังสือในมือ เพ่งพิศภาพดอกจำปีและจำปาอีกครั้ง
‘ดอกจำปา’
‘ให้ดอกจำปา… สื่อว่าต้องการใกล้ชิด’
ความคิดนั้นพุ่งปะทะจิตใจนรีในชั่ววูบหนึ่ง ก่อนหล่อนจะขับไล่ข้อความนั้นออกจากสมอง ด้วยการพึมพำบอกตนเองว่า
“เพ้อเจ้อนรี”
หล่อนอ่าน หอมลมกลิ่นรัก จบเล่มตั้งแต่คืนนั้นเสียด้วยซ้ำ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยคำใดออกไป จึงเก็บเอาหนังสือเล่มนั้นไปนอนกอดอีกหนึ่งคืน พลางครุ่นคิดหนักหน่วงว่าจะคืนหนังสือเล่มนี้อย่างไรให้เป็นปกติ
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง
กลิ่นตะไคร้บุบ และใบมะกรูดฉีก ในน้ำซุป โชยฟุ้งทั่วครัวในช่วงเย็นของวันถัดมา ในหม้อต้มขนาดกลาง มีเนื้อวัวส่วนที่นรีพอหาได้จากตลาดเช้า ถูกเคี่ยวตุ๋นมาได้พักใหญ่แล้ว แม้แรกทีเดียว หล่อนเคยคิดว่าจะไม่ลองภูมิใดใดกับการทำเมนูโบราณที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเหลียวมองไปถ้วนทั่วสวนผักหลังเรือน ก็พบว่า เครื่องผักสมุนไพรครบครันตามสูตรที่จดมาจากหนังสือ กลิ่นรัญจวนในครัวใจ แค่เพียงหาเนื้อวัวให้ได้ก็พร้อมปรุง หล่อนจึงทำใจดีสู้เสือเลือกเอาเมนูนี้มาตั้งสำรับเย็น“กลิ่นชวนหิวดีจังวันนี้” คุณทิพย์เอ่ย เมื่อนรียกชามแกงรัญจวนวางเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร จิตใจหล่อนดูจะล่องลอยสักนิด จึงไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มนอบน้อมเช่นเคยเหตุที่ทำให้หล่อนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือสิ่งที่เกิดกับตัวหล่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ โดยเนื่องมาจากว่า หล่อนไม่แน่ใจในคำสั่งของคุณเจ้านายที่บอกไว้เมื่อคืนที่ให้หล่อนยืมเล่ม หอมลมกลิ่นรัก มา เธอว่า‘คืนที่โต๊ะนะคะ’หล่อนซึ่งปกติไม่เคยก้าวเข้าห้องส่วนตัวคุณเจ้านายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงตีความเอาเองว่า โต๊ะที่เธอพูดถึง คงหมายถึงโต๊ะไม้สนชั้นล่าง เพราะเป็นโต๊ะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่หล่อนโดยตรง วั
‘สองฝั่งคลอง’… ‘มาลัยสามชาย’ … ‘ทวิภพ’‘กรงกรรม’ … ‘ฤกษ์สังหาร’ … ‘บ้านทรายทอง’รายนามบนสันหนังสือที่นรีเลื่อนสายตาผ่านนั้น มีแต่ชื่อโด่งดังคุ้นหู ที่บางเรื่องก็เคยดูเป็นละครโทรทัศน์รีรันซ้ำซากจนคุ้นตาแทบทั้งหมด หล่อนเถียงในประเด็นที่ว่า นี่คือหนังสือหายากทรงคุณค่า และหล่อนก็ไม่เกี่ยงนักหรอกที่ต้องอ่านนิยายละครโทรทัศน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องเล่าในเล่มเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจเพียงพอจะดึงความสนใจของหล่อนได้‘สาปภูษา’ … ‘กำไลมาศ’ … ‘กาหลมหรทึก’ ‘เกิดแต่ตม’ … ‘หลงเงาจันทร์’ … ‘รากนครา’หากต้องเลือกเล่มใดไปอ่านเฉพาะชั้นวางนี้ นรีก็ไม่ติดขัดใจ เพราะอย่างน้อยการได้มีอะไรให้อ่า
‘สูตรแกงรัญจวนของวังเจ้านั้นพิถีพิถันนัก เริ่มจากปลายครกที่ต้องตำพริกขี้หนูสวนด้วยเกลือป่นให้ฟู ต้มปลาเค็มที่รมด้วยฟืนเปลือกมะกรูด น้ำแกงต้องขลุกขลิก ใส่ตะไคร้หั่นบาง ใบมะกรูดฉีก และใบโหระพาจากสวนด้านเหนือเท่านั้น กลิ่นขึ้นจากไอร้อน เหมือนจิตใจคนกำลังเร่าร้อนแต่ไม่กล้ากล่าวรัก แกงนี้ต้องกลั้นใจขณะตัก กลิ่นจะยิ่งลอยชัด… คล้ายรักที่ยิ่งปิด ยิ่งฉุน ยิ่งยากลืม’นรีปิดหนังสือลงวางกับตัก เมื่อได้ยินเสียงคุณทิพย์ขยับตัว พยายามปรับสติเรียกอารมณ์ให้ตนเองกลับสู่โลกแห่งความจริงเพียงชั่วพริบตา ก่อนหันไปหาคุณทิพย์ที่กำลังกลับจากภวังค์นิทรายามบ่าย“ลมดีจริงเชียว” คุณทิพย์พึมพำเสียงแผ่ว ตาปรือเล็กน้อย ออกอาการเพลียคล้ายติดงัวเงียอยู่สักนิด“สักพักฝนอาจจะตก… เข้าบ้านกันดีมั้ยคะ” นรีเอ่ยชวนพลางรวบรวมเอาชุดถ้วยชาลายครามใส่ถาดเดียวกับกาน้ำชาไว้รอท่า เมื่อเห็นคุณพยักหน้าเชิงว่ารับคำ
มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีอะไรเด่นแซ่บไปกว่าลาบหมูฝีมือดารัณที่ทำแยกมาสองรส สำหรับคุณทิพย์และสำหรับทุกคน รสเค็มเผ็ดนัวตัดเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวแป้นสดจากสวนหลังเรือน คละเคล้าผักหอมแล้วยังฟุ้งไปด้วยข้าวคั่วสมุนไพรที่ทำพิเศษเฉพาะวันนี้ ทำให้ทุกคำที่บดเคี้ยว สติของนรีหวนคืนมวลอารมณ์คิดถึงบ้าน คิดถึงยาย บาดลึกไปทุกทีการเก็บกลืนรส แม้จะทำตัวนิ่ง ดูสงบ แต่น้ำตากลับคลอรื้นออกมาอยู่ดี“นรี… นรีคะ” เสียงคุณเจ้านายทักขึ้นเบาๆ พร้อมสายตาอุ่นๆ ที่ส่งมาจากอีกฝั่งโต๊ะอาหาร ก่อนเอ่ยถาม“เป็นอะไรรึเปล่า”“แค่… คิดถึงบ้านค่ะ” นรีตอบสั้นๆ ตามตรง พร้อมรอยยิ้มบางๆ พลางเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา“ เพราะลาบหมูเนี่ยเหรอ” คุณทิพย์ถามขึ้น นรีพยักหน้ารับและตอบว่า