LOGINบ้านไม้สไตล์โคโลเนียลสีงาช้างตั้งสงัดอยู่ริมน้ำ โอบล้อมด้วยสวนกว้างที่ซุกตัวอย่างดีในท้ายซอยลึกชานเมืองกรุงเทพมหานคร คือสถานที่ซึ่งปรากฏต่อสายตาของ นรี เมื่อใกล้พลบค่ำวันหนึ่งก่อนสิ้นเดือนตุลาคม ความคิดแรกผุดขึ้นในใจว่า ‘งานนี้คงไม่ใช่ถูกหลอกมาเฝ้าบ้านผีหรอกนะ’ แต่ขาสองข้างก็ก้าวตาม กานต์สิรี คนคุ้นเคยที่ไม่ค่อยสนิทสนมผ่านรั้วสูงลอดซุ้มประตูไม้เข้าสู่บริเวณบ้านอย่างว่าง่าย แม้จะเริ่มมืดแล้วแต่นรีก็ยังเห็นเค้าลางของสวนสวยและได้กลิ่นดอกไม้หอมเย็นฟุ้ง ละมุนกรุ่นอยู่ทุกย่างก้าวที่สืบเท้าเข้าใกล้ตัวบ้านมากขึ้นทุกที ชวนให้วาดคิดว่า ตอนเช้าๆ สายๆ สวนดอกไม้บ้านนี้จะงามปานใด
‘กานต์บอกว่าบ้านเพื่อนอยากได้คนดูแล งานไม่หนักแต่อาจได้พักผ่อนไม่เป็นเวลานัก’
ประโยคของ หมอธนา ยังก้องอยู่ในหูตอนที่นรีถอดรองเท้าผ้าใบสีซีดวางไว้ตรงพื้นปูนหยาบและก้าวขึ้นเหยียบสัมผัสบันไดไม้เย็นๆ ไม่กี่ขั้น ซึ่งพาเธอเข้าสู่ตัวบ้านอันต้องเป็นที่อาศัยของเธอตั้งแต่บัดนี้ไป
กานต์สิรีบอกให้นรีนั่งรออยู่ที่ส่วนรับแขกแล้วเดินหายเงียบไปส่วนอื่นของเรือนนานพอให้นรีมองสำรวจรอบกายซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกดัดแปลงมาจากโถงทางเดินที่เชื่อมระหว่างระเบียงชานหน้าเรือนไประเบียงชานฝั่งหลังเรือนซะมากกว่าจะเคยเป็นห้องอะไรมาก่อน ในส่วนรับแขกนี้มีเพียงแจกันแก้วใสว่างๆ วางเหงาอยู่บนโต๊ะของชุดเก้าอี้ไม้สักเคลือบเงา และ อาร์มแชร์ หนึ่งตัว ชั้นหนังสือสูงราวสองเมตรที่มีกระถางต้นว่านเสน่ห์จันทร์ขนาบข้าง และกระถางต้นว่านเศรษฐีเรือนในต้นเล็กๆ บนโต๊ะไม้ข้างอาร์มแชร์ ไร้สิ่งประดับประดาสีสันและกรอบรูปครอบครัวอย่างเช่นบ้านอื่นๆ มักจะมี ช่างเป็นห้องรับแขกที่เรียบง่ายและว่างเปล่าหวิวแปลกไปพร้อมกัน
“นรี” เสียงเรียกแผ่วเบาของกานต์สิรีดังพอให้นรีหันมองต้นเสียงและเดินตาม เมื่อถูกพยักหน้าเรียก
ระหว่างที่เดินตามกานต์สิรีไปห้องพักของหล่อนที่อยู่ชั้นล่างปีกตะวันออกของเรือนซึ่งเป็นส่วนครัวและที่เก็บของ ‘กฎของบ้านวงศ์ทิมทอง’ ก็ได้รับการถ่ายทอดจากกานต์สิรีมาสู่นรี
“บ้านนี้มีสองคนนะ คือ คุณทิพย์ กับ คุณดารัณ คุณป้าทิพย์คือคุณแม่ของดารัณเพื่อนฉัน งานเธอคือ ดูแลบ้านให้สะอาด จัดการเรื่องอาหารแต่ละมื้อให้พร้อม ดูแลต้นไม้กับสวนดอกไม้ให้ดี ก็งานแม่บ้านปกตินั่นแหละนะ แต่อาจจะเหนื่อยหน่อยตรงที่เธอต้องอยู่ดูแลคุณทิพย์ให้มากที่สุดในตอนกลางวัน ตั้งแต่คุณทิพย์ตื่นจนถึงพาเข้านอนตอนสี่ทุ่มครึ่ง และหลังจากนั้นเธอจะต้องขึ้นไปนั่งเฝ้าหน้าห้องของดารัณจนกว่าไฟในห้องดับหรือประตูห้องถูกปิดสนิท เธอถึงจะกลับลงมานอนได้ จำไว้ว่าดารัณคือเจ้าของบ้าน ฉะนั้นจากนี้ไปดารัณคือคุณเจ้านายของเธอ” ประโยคสุดท้ายนั้น กานต์สิรีหันมาพูดโดยสบตานรีด้วย ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูไม้ตรงหน้า เพราะเดินมาถึงที่หมายกันแล้วในนาทีนั้น
ห้องของนรีอยู่ถัดจากประตูครัวไปทางหน้าเรือน ฉะนั้นนอกหน้าต่างห้องนอนหล่อนคือ สวนดอกไม้หน้าเรือน ท้องฟ้ากว้าง และเรือนฝั่งปีกตะวันตกทั้งชั้นบนล่าง กานต์สิรีเล่าว่าเรือนฝั่งนั้นทั้งหมดเป็นพื้นที่ส่วนตัวของ คุณเจ้านาย
“คุณป้าทิพย์เป็นคนไข้ของหมอธนา ฉันเป็นเพื่อนสนิทดารัณ ฉันกับหมอจะมาที่นี่เป็นครั้งคราว ก็คงได้เจอกันอีกแหละนะ” กานต์สิรีเอ่ยบอกขณะช่วยนรีจัดแจงมื้อค่ำที่ซื้อมาจากร้านอาหารหน้าโรงพยาบาลลงจานชามของที่นี่ให้เรียบร้อยก่อนจะทยอยยกจากครัวไปที่โต๊ะอาหารซึ่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของบ้าน เมื่อทุกอย่างใกล้เสร็จดี คุณทิพย์ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นบน กานต์สิรีเข้าไปประคองโอบตัวคุณป้าทิพย์ของเธอให้มานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างยิ้มแย้ม นรียืนนิ่งก้มหน้าเล็กน้อยอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะเท่าไหร่นัก
รอยยิ้มอบอุ่นจากคุณทิพย์ที่ส่งมา ทำให้นรีรู้สึกโล่งในอกขึ้นกว่าแต่แรกพอสมควร เพราะคุณทิพย์คือคนที่หล่อนต้องดูแลใกล้ชิดยิ่งกว่าคุณเจ้านายซะอีก
“มาสิ มานั่ง” สี่คำแรกจากปากคุณทิพย์ทำให้เลิกคิ้วสูง
“มาเร็วนรี” กานต์สิรีช่วยให้นรีรู้ว่าหล่อนไม่ได้เข้าใจอะไรผิด คุณทิพย์เรียกให้นรีร่วมโต๊ะอาหารค่ำด้วยจริงๆ และยังบอกอีกว่า
“จ้างมาดูแล ให้มาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้เอามาเป็นคนใช้หรอกนะ”
หลังจากประโยคนั้นของคุณทิพย์ การรับอาหารค่ำก็เริ่มดำเนินไปจนจบมื้อโดยไร้เงาของคุณเจ้านาย นรีจึงพอจะทราบว่าหน้าที่ต่อไปของตนคือการยกอาหารไปให้คุณเจ้านายนั่นเอง
เรือนฝั่งตะวันตกนั้นบรรยากาศต่างไปจากอีกฝั่งตรงความเงียบเย็นเยือก และไม่มีใครอยู่ที่ชั้นล่างเลยตอนที่นรีประคองถาดวางชามพะแนงหมูกับจานข้าวสวยเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะไม้สนริมหน้าต่างตามที่กานต์สิรีบอกมาว่า ปกติดารัณจะลงมานั่งกินข้าวที่โต๊ะนั้นคนเดียวในวันที่ยุ่งงานหรือเร่งทำต้นฉบับงานเขียนมากๆ ซึ่งดารัณก็งานยุ่งงานเร่งได้แทบทุกวันซะด้วยแหละ จึงมีน้อยวันนักที่คุณทิพย์จะได้ร่วมโต๊ะอาหารกับลูกสาว
เมื่อวางกับข้าวพร้อมเหยือกน้ำดื่มไว้เรียบร้อยแล้วนรีก็ขยับหมุนตัวหันหลังเดินออกมาจากห้องนั้น แต่มิวายหันกลับไปมองชามพะแนงและจานข้าวสวยอีกครั้ง เพื่อให้ได้เห็นควันบางลอยกรุ่นจนแน่ใจว่า อาหารอุ่นร้อนพอจะเป็นมื้อค่ำในห้องนั่งเล่นอันเย็นเยียบของคุณเจ้านายได้จึงขยับเท้าก้าวพ้นกรอบประตูออกมา ตอนนั้นเองที่หล่อนได้กลิ่นหอมแปลกๆ โชยฟุ้งอยู่ตั้งแต่ห้องน้ำทางขวามือไปจนถึงช่องบันไดวนด้านซ้ายมือซึ่งเป็นบันไดขึ้นลงส่วนตัวของดารัณ
‘คงจะขึ้นไปแล้ว’
ด้วยความคาดเดาว่ากลิ่นนั้นน่าจะเป็นกลิ่นครีมอาบน้ำ นรีเลยถือวิสาสะเดินเข้าใกล้ห้องน้ำส่วนตัวของดารัณทันที สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาช่างน่าสนใจ ตั้งแต่พื้นลายหินอ่อน อ่างอาบน้ำวินเทจสีครีม หน้าต่างกว้างกั้นด้วยเหล็กดัดลายผีเสื้อสีนิล และแผ่นหลังของร่างสาวผิวนวลเนียนที่สะท้อนในกระจกเงาวงรีบานใหญ่บนผนังลายอิฐ ต้นแบบของเงาร่างนั้นถูกบดบังไว้ด้วยกระจกฝ้าบานสูงยาวซึ่งนอกจากช่วยกันน้ำจากฝักบัวทองเหลืองทรงโบราณไม่ให้กระเซ็นออกมาชุ่มชื้นส่วนอื่นของห้องน้ำแล้ว กระจกนั้นยังช่วยกั้นสายตาคนนอกเขตความเป็นส่วนตัวอย่างนรีอีกด้วย ระหว่างที่นรีตกภวังค์ตะลึงมองทุกอย่างในห้องน้ำส่วนตัวซึ่งไม่ได้ปิดบานประตูตามที่ควรอยู่นั้น มือเรียวข้างหนึ่งของคนในห้องน้ำก็เอื้อมพ้นขอบบานกระจกฝ้าออกมาเพื่อวางขวดครีมอาบน้ำยี่ห้อหายากกลับเข้าที่ตรงชั้นวางติดผนังใกล้หน้าต่างเหล็กดัด นรีจ้องขวดสีน้ำตาลเข้มนั้นจนเห็นข้อความสโลแกนระบุว่า – เสน่ห์ หอม ต้องห้าม –
‘ช่างเหมาะกับคุณเจ้านายซะจริง’
นรีรู้สึกสะดุดใจในตอนนี้ว่า บางอย่างหรือบางคนที่นี่ หล่อนอาจไม่มีสิทธิ์แตะต้อง สมกับคำว่า ต้องห้าม บนขวดครีมอาบน้ำนั่นแหละ
“ชั่ว ดินฟ้า รัก เธอ เสมอใจ ที่ ฉัน รำพัน ทุก วัน ฝันไปถึงเธอ...” เสียงหวานครวญเพลงออกมาเบาๆ แต่คำร้องก้องกังวานสะท้อนกระเบื้องกระทบผนังห้องน้ำดังออกมาถึงใจนรี เป็นเพลงเก่าที่หล่อนก็รู้จักเพราะเป็นเพลงของภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งซึ่งมีชื่อเรื่องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อเพลง นึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินเพลงนี้จากเธอคนนั้น ผู้น่าจะเป็น คุณเจ้านาย ช่างชวนให้นรีจินตนาการบุคลิกนิสัยของดารัณ ที่หล่อนทราบมาเพียงว่า เธอมีอาชีพเป็นนักประพันธ์นวนิยาย และอายุเท่ากันกับกานต์สิรี ซึ่งก็ไม่ได้อายุมากนัก
“...อยากให้เธอ หวาน ใจ อยู่ ใกล้ พรอด รัก ร้อย เรียง ร่วมเคล้าเคียง ฉันและเธอ...”
สิ้นเสียงเอื้อนเอ่ยร้องเนื้อเพลงท่อนนั้น ร่างหลังกระจกฝ้าก็ขยับก้าวขาออกมาจากใต้ฝักบัวทองเหลือง ทำเอานรีสะดุ้งตกใจและรีบก้มหน้าเดินกึ่งวิ่งออกมาจากเขตเรือนฝั่งตะวันตกมาที่โต๊ะอาหารเพื่อเดินผ่านกลับไปที่ห้องครัวในทันที
“เป็นอะไรนรี” กานต์สิรีถามขึ้นก่อนที่นรีจะเดินก้มหน้าก้มตาไปชนอะไรเข้า
“เปล่าค่ะ” นรีเริ่มบอกปัดไปแต่ใจยังเต้นรัว
‘เหมือนกับว่าเราไปแอบดูเธออาบน้ำเลยนะนั่น’
“มื้อเย็นดารัณเรียบร้อยดีใช่มั้ย” กานต์สิรีเอ่ยถามพลางคว้าหยิบกระเป๋าของตนมาสะพายบ่า
“ค่ะ วางไว้ที่โต๊ะตามที่บอกแล้วค่ะ” นรีตอบขณะเดินตามออกมาส่งกานต์สิรีที่หน้าเรือน
“งั้นก็ขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าจนกว่าท่านจะหลับแล้วค่อยลงมาเก็บจานชามทั้งหมดไปล้าง ของดารัณด้วยนะอย่าลืม พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ไปหน้าห้องดารัณ เข้าใจมั้ย” กานต์สิรีถามย้ำ
“ค่ะคุณกานต์”
หลังนรีรับคำ กานต์สิรีก็กลับออกไปจากเขตบ้านวงศ์ทิมทอง จากนี้ในเรือนไม้หลังสวยแสนเงียบเหงาจึงมีเพียง คุณดารัณ คุณทิพย์ และ นรี หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำ ปล่อยให้ผิวกายชุ่มเหงื่อรับลมหนาวแรกของปี แล้วกลิ่นดอกไม้ที่คุ้นเคยซึ่งโชยมากับลมจากทิศตะวันออกก็ชวนให้รู้สึกคิดถึงบ้านจนน้ำตาคลออย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่สอดส่ายสายตามองหาต้นตอของกลิ่นอันคาดว่าคงซุกซ่อนอยู่ในความมืดมุมใดมุมหนึ่งของสวนดอกไม้หน้าเรือน
‘มีต้นตีนเป็ดด้วยเหรอเนี่ย’
กลิ่นดอกตีนเป็ด ไม่ค่อยมีคนชอบใจนักหรอก มันหอมฉุนชวนเวียนหัว กระนั้นตีนเป็ดก็ถูกปลูกไว้มากมายเพื่อใช้ประโยชน์จากร่มเงา เพราะความที่เป็นไม้โตเร็ว และชอบแดด นรีในวัยมัธยมนั้น ชอบนักเมื่อถึงฤดูหนาว และได้นั่งมองเมล็ดตีนเป็ดปลิวว่อนลอยตามลม มันแสนโรแมนติกอย่างกับในละครโทรทัศน์ หล่อนเติบโตมาในจังหวัดที่มีต้นตีนเป็ดปลูกอยู่ทั่วทั้งริมถนน และตามตึกโรงเรียน ในเวลานี้ต้นตีนเป็ดจึงกระตุ้นความคิดถึงบ้านให้เอ่อขึ้นมาจากส่วนลึก แม้นรีจะอยากหนีออกจากเมืองหลวงไปพักกายพักใจที่บ้าน แต่ด้วยภาระหน้าที่ของคนไกลบ้าน คนที่ต้องเข้าเมืองกรุงมาสู้งานเพื่อส่งเงินกลับบ้านให้ได้บ่อยยิ่งกว่าเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมเยือนคนที่รอเจอหน้านรีมากกว่ารอสตางค์เข้าบัญชีธนาคารนั้น หนี้สินก็บังคับให้ต้องสู้ต้องรอกันไปเรื่อยๆ อยู่ดี นรีมีทางเลือกไม่มากนัก
ยืนตากลมอยู่ได้ไม่นาน ความหนาวเย็นของค่ำคืนที่ทำให้นรีต้องกระชับกอดตัวเองแน่นขึ้นก็ไล่ให้หล่อนถอยกลับเข้าเรือน สมองนึกทวนคำสั่งงานจากกานต์สิรีแล้วทำตาม คือ ขึ้นไปหาคุณทิพย์ที่ชั้นบนฝั่งตะวันออก เพื่อพบว่าหน้าที่ต่อไปเป็นงานง่ายทีเดียว เพราะหล่อนเพียงแค่นั่งดูละครโทรทัศน์และพูดคุยสัพเพเหระกับคุณทิพย์ไปจนละครจบเรื่องเท่านั้นเอง คุณทิพย์ก็เริ่มง่วง เพราะทานยาของหมอธนาไปตั้งแต่ละครพักโฆษณาช่วงกลางๆ ตอน นรีจัดแจงพาท่านเข้านอนบนเตียง ห่มผ้า และเก็บชายมุ้งเข้าใต้ที่นอนก่อนจะปิดไฟแล้วถอยออกจากห้องมาโดยปิดประตูไม้อย่างเบามือ
นรีลงมาชั้นล่างที่เงียบสงัด รีบจ้ำเดินไปที่เรือนฝั่งตะวันตกเพื่อเก็บจานชามและเหยือกน้ำดื่มจากโต๊ะไม้สนมาล้างทำความสะอาดที่ห้องครัว พร้อมกับจานชามของมื้อเย็นที่วางรวมกันไว้ในอ่างล้างจาน จากนั้นจึงเดินไล่ปิดล็อคประตูหน้าต่างชั้นล่างทั้งหมดจนเสร็จในเวลาห้าทุ่มเศษ หล่อนกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วสุดขีดเพื่อรีบขึ้นไปชั้นบนฝั่งตะวันตกโดยขึ้นทางบันไดฝั่งตะวันออก ไม่คิดข้องเกี่ยวกับบันไดวนของฝั่งตะวันตกเลยแม้แต่น้อย นรีพยายามก้าวเดินแบบเบาน้ำหนักเท้าที่สุด แต่แผ่นไม้พื้นเรือนบางแผ่นก็ลั่นดังให้ดารัณได้รู้อยู่ดีว่า นรีขึ้นมาถึงหน้าประตูแล้ว นรีนั่งลงที่เก้าอี้ไม้สักซึ่งตั้งโดดๆ อยู่ตรงช่องประตูห้องของดารัณซึ่งเปิดประตูไว้กว้างสุดบานพับ มันเป็นห้องที่นรีเห็นว่าดูเหมือนห้องหนังสือมากกว่าห้องนอน เพราะมองผ่านม่านบางที่ปลิวพริ้วเข้าไปจะเห็นชั้นวางหนังสือเรียงกันสามแถวแยกเป็นสองฝั่ง สุดสายตานรีสำหรับในห้องนั้นคือ คุณเจ้านายที่นั่งจดบันทึกบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่างที่บานหน้าต่างปิดสนิท ทั้งที่ตัวโต๊ะทำงานอยู่เยื้องเข้าไปทางมุมห้องฝั่งซ้าย แต่โต๊ะทำงานนั้นก็ยังขนาบข้างด้วยชั้นวางหนังสือทั้งสองฝั่ง
คืนแรกที่นรีต้องไปนั่งเฝ้าหน้าห้อง “คุณเจ้านาย” นั้น มีเสียงดนตรีบรรเลงคุ้นหูคลอแว่วๆ ออกมาจากห้องหนังสืออันเป็นทั้งห้องนอนและที่ทำงานของคุณเจ้านาย คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อเพลง คำหวาน ที่นรีเคยได้ฟังมาบ้างจากรายการโทรทัศน์ บอกไม่ถูกเลยว่า การได้สิทธิ์มองคุณเจ้านายเพียงลำพังใกล้ๆ หรือดนตรีที่ไพเราะกันแน่ ที่ทำให้หล่อนรู้สึก หวานๆ ในอกในใจ จนยิ้มออกมาอย่างหยุดไม่ได้ แม้กลิ่นดอกตีนเป็ดจะยังคงโชยมาตามลมที่แทรกเซาะผ่านช่องไม้เข้ามาบ้าง แต่นรีก็รู้สึกเคลิ้มไปกับเสียงที่ได้ยินและสิ่งที่เห็นเสียมากกว่าซะแล้ว
กว่าไฟในห้องดารัณจะสลัวลงและนรีได้กลับไปนอนที่ห้องตนเองนั้น เวลาก็ปาเข้าไปเกือบตีสองเห็นจะได้
การถูกจู่โจมด้วยสถานการณ์ที่ นรีโดนจับได้ว่า ตกหลุมรักคุณเจ้านาย พาให้หล่อนหลงลืมแทบทุกสิ่งรอบกาย ลืมแม้กระทั่งความสงสัยมากมายซึ่งบังเกิดมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเรือนนี้ จิตใจวนเวียนอยู่แต่กับการเรียบเรียงคำพูด ว่าควรเจรจาอย่างไรกับคุณเจ้านายในโอกาสต่อไป หล่อนควรถามว่าอะไรบ้างเพื่อความชัดเจนในความสัมพันธ์ และเพื่อให้ทราบแนวทางในการอยู่ร่วมกันหลังจากนี้ หล่อนลืมสังเกตไปเลยด้วยซ้ำว่า ณ ขณะนี้ คุณเจ้านายของหล่อนลับกายหายไปจากห้องโดยไม่ได้ผ่านออกทางประตูไม้ลายโบตั๋น หล่อนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า เธอหายเงียบไปพักหนึ่งแล้วนรียืนนิ่งเอนตัวพิงขอบโต๊ะเขียนงานอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ทีเดียว กว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้า ตามด้วยเสียงบานพับประตูขยับไหว หล่อนหันมองตามทิศต้นเสียงทันที ครานี้ค่อนข้างชัดเจน ว่า เสียงเหล่านั้นดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง ตรงข้างหน้าต่างฝั่งหลังเรือน นรีเพ่งมองไปในทิศนั้นอย่างจดจ่อ ทว่ายังไม่กล้าสืบเท้าก้าวไปสำรวจสิ่งใด แต่การปรากฎตัวในสายตาหล่อนอีกหนของคุณเจ้านาย แน่นอนแล้วว่า เธอเดินมาจากมุมห้องฝั่งนั้นจริงๆ“ว่าไงคะ ตั้งสติได้ถึงไหนแล้ว” คุณเจ้านายเอ่ยถามเมื่อเดินกลับเข้ามาใกล
วันถัดมา นรีได้ติดตามคุณทิพย์ไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอธนา โดยมีกานต์สิรีขับรถมารับถึงหน้าเรือนตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า หล่อนได้เข้าไปยืนรอคุณทิพย์ในห้องหมอธนา จึงรับรู้อาการโรคที่รุมเร้าคุณทิพย์อยู่ แม้หมอธนาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตรงๆ ไม่ได้แจกแจงความเป็นไปให้หล่อนฟัง แต่การซักถามระหว่างหมอกับคนไข้ก็ปรากฎเค้าลางข้อมูลหลายประการที่นรีพอจะคาดเดาได้ ว่าคุณทิพย์อาจเป็นทั้งเบาหวานและความดันสูง ตลอดจนโรคหัวใจบางประเภทและมีอาการทางจิตใจบางชนิด ขณะที่ภายนอกคุณทิพย์ดูปกติดี ในระดับที่ดูจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำเมื่อตรวจเสร็จหมอธนาเดินออกมาส่งทุกคนที่โถงทางเดิน พลางอธิบายเรื่องอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมสำหรับคุณทิพย์ให้กานต์สิรีกับนรีรับทราบไว้ เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรมของคุณทิพย์ให้รับกับอาการภายในร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยลง ก่อนจะขอตัวกลับไปตรวจคนไข้ ตอนนั้นเองที่กานต์สิรี หันมาบอกกับนรีว่า คุณทิพย์ต้องเข้ารับการบำบัดกับแพทย์อีกท่านเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ให้นรีกลับบ้านไปก่อน เพื่อจัดการเตรียมอาหารเที่ยงและมื้อค่ำให้กับคุณเจ้านายที่กำลังปั่นต้นฉบับอย่างแข็งขันแทบจะทั้งว
หลายวันผันผ่านเรื่อยไป ต่อจากเล่ม ‘ควันรักปักใจ’ หนังสือทุกเล่มที่คุณเจ้านายเลือกให้นรี ก็ดูเหมือนจะยิ่งความยาวสั้นลง ราวกับว่าเธอต้องการให้หล่อนกลับเข้าไปคืนหนังสือถึงโต๊ะในเร็ววันยิ่งขึ้น เพราะนรีมักจะอ่านทุกเล่มนั้น จบภายในสองวัน และได้อ่านงานประพันธ์ของคุณข้าหลวงนิรนามจนครบทุกปกอย่างรวดเร็วหนำซ้ำ จากกลางดึกคืนนั้นที่นรีได้สัมผัสผิวเนื้อคุณเจ้านาย การนวดคลึงกายเพื่อผ่อนคลายก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ประจำของหล่อน ซึ่งเธอมักร้องขอต่อหล่อนแทบทุกค่ำคืน บ้างก็ด้วยท่าทีเมื่อยขบ บ้างก็ด้วยสายตาเว้าวอน หลังการทุ่มเขียนบางสิ่งลงหน้ากระดาษอยางยาวนาน ไม่ก็หลังจากนั่งกดแป้นพิมพ์อักษรนับชั่วโมง การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า แทบไม่มีคืนใดเลยที่นรีจะไม่ได้ก้าวผ่านบานประตูลายโบตั๋นคู่นั้นคืนนี้ก็เช่นกัน หล่อนก้าวล่วงเข้าอาณาเขตห้องส่วนตัวของคุณเจ้านายเมื่อตอนเที่ยงคืนเศษ และลงมือบีบนวดกดคลึงทั้งบ่าไหล่ของเธอมาได้เกือบสิบนาที หล่อนอดไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งสายตาไปจับความตัวอักษรมากมายบนโต๊ะเขียนงานตรงหน้า หล่อนลอบมองมาหลายหน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะพลาด เปิดเนื้อความบนแผ่นกระดาษให้เผยต่อสายตาหล่อน ดังตอนนี้
นรีปลีกตัวออกจากห้องคุณเจ้านายมาได้ราวๆ เที่ยงคืน หล่อนกลับออกมานั่งประจำที่หน้าห้องนั้น บนเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม และเริ่มพลิกหน้าบทประพันธ์ รินคำเข้าสมาธิ‘ฤดูแล้วฤดูเล่าผ่านไป ความเงียบระหว่างพวกนางกลับอัดแน่นด้วยพันธะที่มิอาจเรียบเรียงเป็นถ้อยคำ ลมหายใจแผ่วเบาและนิ้วที่เผลอแตะปลายกันบนขวดน้ำอบแค่ชั่วครู่ ก็มากพอจะทำให้หัวใจเต้นเกินควบคุม’หล่อนลอบมองคุณเจ้านายสลับกับมองเนื้อความบนหน้ากระดาษหนังสือในมือจนถึงตีสองเศษๆ คุณเจ้านายก็หรี่แสงในห้อง เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังจะเข้านอน นรีจึงปิดคั่นหนังสือด้วยเส้นริบบิ้นผ้า แล้วลุกไปปิดบานประตูลายโบตั๋นเช่นทุกคืน ก่อนจะกอดเล่มหนังสือ เดินฝ่าความมืดกลับไปที่ฝั่งตะวันออก และเมื่อกลับถึงห้องนอนของตน หล่อนก็ได้มองเล่มนิยาย ‘ควันรักปักใจ’ อย่างเหม่อลอย ด้วยจิตใจที่ยังวุ่นวนอยู่กับคำสองคำนั้นกำลังดังก้องในความคิดหล่อนจนตกภวังค์เหม่อ‘...เราชอบ…’‘งั้นเหรอ’สมาธิในการอ่านหนังสือของหล่อนถูกสั่นคลอนพอสมควรทีเดียว ทั้งที่คราวนี้เป็นเพียงนวนิยายความยาวร้อยกว่าหน้า ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะอ่านวนไปมา ดูท่าจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อที่จะอ่านให้จบ ‘ร้อยกว่าหน้
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง







