อาจด้วยเวลาเข้านอนที่ผิดปกติไปจากธรรมดาค่อนข้างมาก นรีจึงลืมตาตื่นไม่ทันมื้อเช้าของบ้านวงศ์ทิมทองในวันถัดมา และเพราะความเพลียอีกประการที่ทำให้หล่อนไม่ได้จัดการตั้งนาฬิกาปลุก นรีจึงตื่นจากการหลับด้วยเสียงของน้ำประปาที่ลอดพ้นสายยางพุ่งไปกระทบกลุ่มใบของต้นไม้ในสวน เมื่อผงกหัวยันตัวขึ้นจากฟูกนอนได้และมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าคุณทิพย์กำลังยืนถือสายยางสีขาวรดน้ำให้ไม้ดอกหลายชนิดในสวนหน้าเรือนอยู่คนเดียว เป็นภาพที่ส่งผลให้นรีดีดตัวออกจากผ้าห่มทันที
“ตื่นแล้วเรอะ” คุณทิพย์เอ่ยทักเมื่อเห็นนรีเดินหรี่ตาสู้แดดยามสายออกมาที่สวนดอกไม้ซึ่งชุ่มช่ำไปด้วยหยาดน้ำจากการประปาไทย
“ ค่ะ สายเลย ” นรีรับคำทั้งยิ้มน้อยๆ ตอบกลับรอยยิ้มบางๆ ของคุณทิพย์ ตอนนั้นเองที่กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้นรีหันมองหาที่มาของความหอมหวานนั้นจนพบดอกไม้สีขาวกลีบบางดอกเล็กๆ มีกลีบห้าแฉกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วยรวมกันเป็นช่อราวๆ สิบกว่าดอก
“ดอกข้าวใหม่ รู้จักรึเปล่าเรา” คุณทิพย์บอกทันทีที่เห็นว่านรีกำลังสนใจดอกไม้สีขาวที่กำลังออกช่องามอยู่บนกิ่งซึ่งเลื้อยอยู่กับลำต้นโมกข์และซุ้มเหล็กดัดที่สร้างไว้สำหรับปลูกไม้เลื้อยโดยเฉพาะ
“ เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละค่ะ กลิ่นหวานเหมือนใบเตยเลยนะคะ ” นรีตอบคุณทิพย์พลางก้มตัวเข้าสูดกลิ่นดอกข้าวใหม่ใกล้ๆ ช่อดอกแล้วยิ้มสดชื่น
“ ในครัวมีข้าวต้มแบ่งไว้ให้ ไปจัดการแล้วกัน แล้วสักสิบโมงขึ้นไปหาข้างบนนะ ” คุณทิพย์บอกพลางก้าวเดินแจกจ่ายสายน้ำให้ต้นไม้อื่นๆ ต่อจากต้นมะลิลาที่ท่านรดน้ำอยู่แต่แรก
“ เดี๋ยวให้หนูรดต่อดีกว่านะคะ ” นรีขยับเดินตามขอรับสายยางจากมือคุณทิพย์ แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ
“ ไม่เป็นไร จะเสร็จแล้ว ไว้เรามารดพรุ่งนี้เช้านะ ”
ห้องครัวของเรือนนี้คือบริเวณเดียวกันกับส่วนที่มีไว้เก็บของเก่าๆ จำพวกเก้าอี้ ชั้นวางของ และเสื้อผ้าซึ่งเก็บใส่ตู้ไว้อย่างดี นอกจากนั้นยังมีจักรยานสภาพดีจอดอยู่สองคันกับอีกคันที่ปั่นไม่ได้แล้ว นรีนั่งมองจักรยานเก่าคันนั้นด้วยความสนใจระหว่างตักข้าวต้มหมูที่ปรุงรสจัดด้วยพริกป่นเข้าปากตามพลังความหิวและเวลางานที่บีบให้รีบกินด่วนๆ หล่อนเคยมีจักรยานแบบนั้นเหมือนกันนะ ตอนอยู่ที่บ้านหล่อนปั่นจักรยานคันนั้นทุกวัน แม้แต่วันที่จะขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงมาหล่อนยังปั่นจักรยานรุ่นเดียวกับคันที่ปั่นไม่ได้แล้วของที่นี่ไปซื้อน้ำเต้าหู้ให้ยายอยู่เลย พอเห็นจักรยานที่เหมือนกันทั้งรุ่นทั้งสีก็เลยเกิดอาการคิดถึงบ้านอย่างฉับพลันขึ้นมาต้องรีบยกแขนใช้ไหล่เสื้อนอนตัวโคร่งซับน้ำตาที่คลอเบ้าให้แห้งไปก่อนที่ใครจะมาเห็น มือข้างถนัดรีบตักข้าวต้มป้อนตัวเองจนหมดชามเพื่อให้สามารถล้างจานชามและอาบน้ำเสร็จทันเวลาสิบโมง
ห้องน้ำเล็กๆ ในห้องนอนของนรี ก็มีฝักบัวทองเหลืองทรงโบราณคล้ายๆ กันกับในห้องน้ำส่วนตัวของคุณเจ้านายเหมือนกันเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ทำให้นรีเริ่มมองสังเกตทุกอย่างรอบตัวที่ไม่ทันได้สนใจตอนอาบน้ำก่อนเข้านอนเมื่อคืนนี้ แล้วพบว่า เป็นห้องน้ำที่ออกแบบมาสวยไม่ต่างกับ ‘ห้องน้ำห้องนั้น’ เลยเพียงแค่ห้องเล็กกว่า นรีจึงเปิดประตูห้องน้ำและมองไปทั่วห้องนอนอย่างช้าๆ จนมีความคิดว่า ห้องที่หล่อนได้รับเป็นห้องส่วนตัวนี้ไม่ใช่ห้องที่มีลักษณะเป็นห้องคนรับใช้จริงๆ เสียด้วยสิ วินาทีนี้หล่อนจึงเริ่มรู้สึกแล้วว่า สถานะของตนบนเรือนนี้ไม่ใช่สาวรับใช้แน่นอน
นรีปิดงับบานประตูแล้วอาบน้ำต่อทั้งที่ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดสนิท ระหว่างกดครีมอาบน้ำจากขวดที่วางอยู่บนชั้นใกล้ๆ วาล์วฝักบัว ภาพแผ่นหลังขาวนวลเนียนที่สะท้อนในกระจกวงรีบานใหญ่เมื่อวานเย็นก็แทรกเข้ามาในสำนึก ครีมอาบน้ำที่อยู่บนฝ่ามือนรีก็น่าจะเป็นแค่กลิ่นดอกไม้ไทยหอมๆ ราคากลางๆ ไม่ใช่กลิ่นแบบเดียวกับที่คุณเจ้านายใช้แต่หล่อนกลับรู้สึกว่า ได้กลิ่นหอมกลิ่นนั้นโชยมาเนืองๆ ในตอนนี้ ราวกับว่าครีมอาบน้ำยี่ห้อนั้นมีมนต์บันดาลให้กลิ่นติดตรึงใจหล่อนจนลืมยากเสียแล้ว
“ไม่ได้กลิ่นนี้ซะนาน หวังว่าจะชอบนะคะ” เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นจากอีกฝั่งของบานประตูห้องน้ำ ทำเอานรีสะดุ้งโหยงใจเต้นรัว เสียงพูดนั้นหวานหูชวนเขิน เป็นเสียงที่นรีจำได้ดีว่า เป็นเสียงเดียวกับเสียงครวญเพลง ชั่วฟ้าดินสลาย เมื่อเย็นวานนี้
“คะ...” นรีส่งเสียงตอบกลับออกไปได้คำเดียวเท่านั้นระหว่างที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่ชะโลมลงทั่วร่างชะล้างฟองสบู่กลิ่นหอมฟุ้ง
“ขอโทษที กลิ่นมันหอม เลยเผลอเดินมาถึงนี่” เสียงหวานเริ่มติดแหบนิดๆ ในประโยคนี้
“สบู่ปีบ หายากนะ รู้มั้ย” เสียงนั้นเอ่ยบอกก่อนจะมีเสียงก้าวเดินบนพื้นไม้ที่ค่อยๆ แผ่วไกลไปเรื่อยๆ ในแต่ละก้าว กว่านรีจะปิดวาล์วฝักบัวและห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวออกมาดูนอกห้องน้ำ ภายในห้องนอนหล่อนก็ไร้เงาเจ้าของเสียงเสียแล้ว พอลองเดินตามออกประตูห้องนอนซึ่งนรีเผลอเปิดทิ้งไว้เองแต่แรก ก็พบว่า จักรยานหายไปหนึ่งคัน จึงย้อนเดินกลับเข้าห้องไปแอบมุมยืนมองที่หน้าต่างใกล้ๆ เตียงนอน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งปั่นจักรยานออกไปถึงซุ้มประตูไม้แล้ว เธอคนนั้นเปิดประตูไม้และปั่นจักรยานออกไปไกลลับสายตา
‘นั่นน่ะเหรอ คุณเจ้านาย’
ได้แต่ยืนคิดคนเดียวที่ริมหน้าต่าง และก็มั่นใจไปเองว่าต้องใช่ เพราะเรือนนี้มีกันเพียงสามชีวิต คือ หล่อน คุณทิพย์ และคุณเจ้านาย นึกๆ ดูก็รู้ว่า ยังไม่เคยเลยสักครั้งตั้งแต่มาที่นี่ ที่หล่อนได้เห็นหน้าของคุณเจ้านาย หากไม่นับชั่ววินาทีที่เห็นเธอปั่นจักรยานออกไปนอกเขตเรือนแบบไกลๆ แทบจะลิบตา ความมีตัวตนของดารัณสำหรับนรีในตอนนี้คือ เสียงพูดแหบหวาน และเรือนร่างขาวนวลซึ่งเคยฉวยโอกาสได้มองแค่แผ่นหลังเท่านั้น
เวลาสิบโมงเศษๆ คือตอนที่นรีก้าวขึ้นบันไดกลางไปพบคุณทิพย์ที่ชั้นบน กลิ่นหอมหวานของดอกข้าวใหม่โชยออกมาจากห้องซึ่งอยู่ชั้นบนตรงกันกับห้องนอนนรี โดยธรรมดาแล้วกลิ่นดอกข้าวใหม่นั้นหอมอ่อน แต่หากกลิ่นนี้โชยออกมาได้ไกลแสดงว่า ในห้องนั้นคงมีดอกข้าวใหม่อยู่จำนวนมากโขทีเดียว นรีอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองม่านสีนวลสว่างซึ่งทำหน้าที่กั้นให้บริเวณเหนือห้องนอนนรีเป็นอีกห้อง แต่ก็ละสายตามาสังเกตห้องนอนคุณทิพย์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันเพื่อพบว่า คุณทิพย์ไม่ได้อยู่ในนั้น
“นรี มานี่” เสียงคุณทิพย์เรียกให้นรีหันหน้ากลับออกมาจากการเยี่ยมมองเข้าไปในห้องนอนที่เปิดประตูไว้
“เปิดม่านให้ที” คุณทิพย์ผู้โผล่พ้นขอบม่านบังเอ่ยบอกนรีก่อนจะหายเข้าไปหลังม่านอีกครั้ง หล่อนจึงเดินไปจับขอบม่านและออกแรงดึงรูดผืนผ้าให้เลื่อนไปสุดมุมผนังอีกฝั่ง ก่อนมองทุกสิ่งหลังม่านนั้นด้วยใจตะลึงเล็กน้อย ระหว่างก้าวเข้าไปหาคุณทิพย์แล้วทรุดลงเดินเข่าเมื่อใกล้ตัวท่าน
หลังม่านนั้น คือ หิ้งบูชาทุกสิ่งที่คุณทิพย์นับถือ ตั้งแต่บรรพบุรุษ พระพุทธองค์ จนกระทั่ง เทพฮินดู ห้องนั้นสะอาดทุกซอกมุม และมีดอกไม้ขึ้นไหว้ทุกหิ้งเน้นเป็นช่อดอกข้าวใหม่ และมาลัยมะลิสายคล้องกรอบทุกภาพ มีน้ำเปล่า น้ำหวาน ขนมชั้นโบราณ กล้วยน้ำว้าทั้งหวี กับอ้อยหลายท่อน วางไว้บนโต๊ะหน้าหิ้งแต่ละหิ้งตามสมควร นรีช่วยคุณทิพย์จัดเตรียมของไหว้จนครบทุกหิ้ง แล้วนับธูปให้ได้ตามจำนวนที่คุณทิพย์ต้องจุดบูชา จากนั้นก็นั่งพนมมืออยู่เบื้องหลังท่าน รอให้บทสวดแต่ละบทที่คุณทิพย์กล่าวสวดผ่านไปโดยท่องตามเฉพาะบทที่รู้จัก เมื่อเสร็จเรียบร้อยจากการไหว้ทุกท่านทุกองค์ เรือนวงศ์ทิมทองก็เต็มไปด้วยควันธูปและกำยานหอมซึ่งโชยฟุ้งลอยไกลกลบกลิ่นดอกข้าวใหม่เสียหมดไปชั่วขณะใหญ่ๆ เลยทีเดียว
นรีกลับลงมาที่ห้องครัวในเวลาเที่ยงเกือบครึ่งเพื่อรื้อของในตู้เย็นมาทำมื้อกลางวันไว้ให้คุณทิพย์และคุณเจ้านายซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาทานหรือไม่ แต่ก็ต้องจัดเตรียมไว้ตามหน้าที่ ครัวบ้านนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้หยิบมาทำอาหารสักเท่าไหร่ มีเพียงเครื่องเทศ เครื่องปรุง ข้าวสาร ไข่ไก่ และเนื้อหมู นรีเดินไปมาในครัวก่อนจะลองเดินออกไปทางประตูหลังเรือนซึ่งเป็นระเบียงชานเล็กๆ มีเก้าอี้ไม้เอนนอนพร้อมเบาะฟูกนุ่มนิ่มน่านั่งเล่นเอนหลังมองสวนผักตรงนอกชาน นรียืนค้ำราวระเบียงไม้มองผักสวนครัวที่งอกงามแล้วยิ้มออกมาทันที
‘คุณทิพย์ปลูกไว้สินะ ’
จากการลงสวนผักน้อยๆ หลังเรือน มื้อเที่ยงฝีมือนรี จึงออกมาเป็นเมนูง่ายๆ อย่างผัดกะเพราหมูสับกับไข่ดาว ซึ่งเนรมิตจากของเท่าที่มีในครัวและรั้วบ้าน คุณทิพย์ลงมาที่ครัวตั้งแต่นรีเริ่มผัดเนื้อหมูใส่กับกระเทียมและพริกสด เพราะกลิ่นทอดไข่ดาวโชยจากครัวขึ้นไปห้องท่านที่ชั้นบน
“ที่นี่ไม่ค่อยได้ทำกับข้าวกัน” คุณทิพย์เอ่ยขึ้นตอนที่นรีกำลังขยุ้มใบกะเพราจากตะกร้าชุ่มน้ำใกล้มือไปใส่ลงกระทะร้อนๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อหมูสับผัดพริกกระเทียมที่ปรุงรสจนหอมฉุย
“เอ่อ... ปกติไม่ทำเหรอคะ หนูไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ขอโทษนะคะ คราวหลังหนูจะไม่ทำอีก” นรีละล่ำละลักกล่าวขอโทษอย่างกลัวความผิด
“เปล่าๆ ไม่ได้จะว่าอะไร มีคนทำน่ะดี ครัวจะได้ไม่เงียบ” คุณทิพย์บอกทั้งยิ้มเอ็นดู ทำให้นรียิ้มตามไปด้วยอีกคน
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ นรีก็จัดแจงยกชามผัดกะเพรากับจานไข่ดาวไปที่โต๊ะอาหาร หล่อนนั่งทานเป็นเพื่อนคุณทิพย์เช่นเดิม และนำส่วนที่แบ่งไว้ไปเสิร์ฟที่โต๊ะไม้สนในห้องนั่งเล่นของเรือนฝั่งตะวันตก ทั้งที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณเจ้านาย
ตกบ่ายนรีมีหน้าที่ชงชาและนำไปให้คุณทิพย์ที่สวน เพราะกิจกรรมช่วงบ่ายของเรือนนี้คือการจิบชาและงีบหลับของคุณทิพย์ที่ศาลาไม้ในสวนซึ่งมีเถาพวงแสดเลื้อยตามเสาไปจนถึงปกคลุมหลังคาบางส่วนนั่นเอง ในวันแรกนี้คุณทิพย์สอนให้นรีชงชาดอกกุหลาบแล้วใส่น้ำชาลงกาน้ำชากระเบื้องสีสวยลายดอกกุหลาบพร้อมให้หล่อนทราบว่า ที่นี่มีชุดกาน้ำชาอยู่เก้าชุด และมีชาทั้งหมดเก้าชนิดสำหรับกาน้ำชาแต่ละชุด นรีต้องเลือกใช้ให้ถูกคู่ โดยในแต่ละวันคุณทิพย์จะเป็นคนบอกเองว่า วันนั้นๆ ท่านจะรับชาอะไร หล่อนจึงต้องรับทราบและจดจำรายละเอียดในส่วนนี้เพิ่มไปอีกอย่าง
ระหว่างที่คุณทิพย์งีบหลับไป นรีนั่งอยู่กับท่านที่ศาลาอย่างเงียบๆ หล่อนพบว่ามันเป็นช่วงเวลาว่างที่ไม่ได้ว่างจริงๆ เวลานับชั่วโมงที่ต้องนั่งตรงนี้กับอากาศดีๆ ในสวนดอกไม้ยามบ่ายนั้น เหมาะกับการอ่านหนังสือเพลินๆ สักเล่ม แต่หล่อนไม่ได้มีหนังสืออะไรติดตัวมาเลย เนื่องจากงานเก่าที่เคยทำมาไม่มีเวลาว่างพอจะอ่านหนังสือได้อย่างสบายใจ และความเหนื่อยล้าในร่างกายก็กระตุ้นให้เลือกใช้เวลาว่างหมดไปกับการนอนพักผ่อนเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ หล่อนเริ่มมองเห็นเวลาว่างสำหรับการอ่านหนังสือแล้ว คงต้องหาหนังสือมาติดมือไว้สักเล่ม ใจหล่อนนึกถึงหนังสือมากมายในตู้บนเรือน
‘มีสิทธิ์หยิบอ่านมั้ยนะเรา’
คิดอยู่เพลินๆ ก็สังเกตได้ว่า ตรงหน้าบันไดขึ้นเรือนมีจักรยานจอดอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมองตัวเรือนฝั่งตะตัวตกก็พบว่า หน้าต่างชั้นบนถูกเปิดกว้างทุกบาน
‘มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’
ตอนนั้นเองที่คุณทิพย์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพอดี และให้นรีประคองเดินขึ้นเรือน หล่อนพาคุณทิพย์ขึ้นไปพักบนเรือนที่โต๊ะอาหารแล้วรีบลงมาเก็บชุดกาน้ำชาจากศาลาไปไว้ที่อ่างล้างจานในครัว ก่อนจะขอตัวจากคุณทิพย์เดินไปที่ห้องนั่งเล่นฝั่งตะวันตกเพื่อไปดูที่โต๊ะไม้สนว่า ข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวฝีมือหล่อนยังอยู่ที่นั่นหรือไม่
นรีเดินผ่านโต๊ะอาหารไป ผ่านชั้นวางสูงซึ่งกั้นเขตระหว่างฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออก ผ่านบันไดวนและห้องน้ำส่วนตัว ไปที่โต๊ะไม้สนริมหน้าต่าง พบจานที่ไร้อาหาร มีช้อนส้อมรวบวางชิดกัน และแก้วน้ำเปล่าๆ พร้อมกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่น ส่งสารประโยคสั้น ลายมือหวัดแต่ตวัดหางตัวอักษรดูสวยเท่ ความว่า
- อร่อยมาก ขอบใจนะ -
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง
กลิ่นตะไคร้บุบ และใบมะกรูดฉีก ในน้ำซุป โชยฟุ้งทั่วครัวในช่วงเย็นของวันถัดมา ในหม้อต้มขนาดกลาง มีเนื้อวัวส่วนที่นรีพอหาได้จากตลาดเช้า ถูกเคี่ยวตุ๋นมาได้พักใหญ่แล้ว แม้แรกทีเดียว หล่อนเคยคิดว่าจะไม่ลองภูมิใดใดกับการทำเมนูโบราณที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเหลียวมองไปถ้วนทั่วสวนผักหลังเรือน ก็พบว่า เครื่องผักสมุนไพรครบครันตามสูตรที่จดมาจากหนังสือ กลิ่นรัญจวนในครัวใจ แค่เพียงหาเนื้อวัวให้ได้ก็พร้อมปรุง หล่อนจึงทำใจดีสู้เสือเลือกเอาเมนูนี้มาตั้งสำรับเย็น“กลิ่นชวนหิวดีจังวันนี้” คุณทิพย์เอ่ย เมื่อนรียกชามแกงรัญจวนวางเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร จิตใจหล่อนดูจะล่องลอยสักนิด จึงไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มนอบน้อมเช่นเคยเหตุที่ทำให้หล่อนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือสิ่งที่เกิดกับตัวหล่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ โดยเนื่องมาจากว่า หล่อนไม่แน่ใจในคำสั่งของคุณเจ้านายที่บอกไว้เมื่อคืนที่ให้หล่อนยืมเล่ม หอมลมกลิ่นรัก มา เธอว่า‘คืนที่โต๊ะนะคะ’หล่อนซึ่งปกติไม่เคยก้าวเข้าห้องส่วนตัวคุณเจ้านายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงตีความเอาเองว่า โต๊ะที่เธอพูดถึง คงหมายถึงโต๊ะไม้สนชั้นล่าง เพราะเป็นโต๊ะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่หล่อนโดยตรง วั
‘สองฝั่งคลอง’… ‘มาลัยสามชาย’ … ‘ทวิภพ’‘กรงกรรม’ … ‘ฤกษ์สังหาร’ … ‘บ้านทรายทอง’รายนามบนสันหนังสือที่นรีเลื่อนสายตาผ่านนั้น มีแต่ชื่อโด่งดังคุ้นหู ที่บางเรื่องก็เคยดูเป็นละครโทรทัศน์รีรันซ้ำซากจนคุ้นตาแทบทั้งหมด หล่อนเถียงในประเด็นที่ว่า นี่คือหนังสือหายากทรงคุณค่า และหล่อนก็ไม่เกี่ยงนักหรอกที่ต้องอ่านนิยายละครโทรทัศน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องเล่าในเล่มเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจเพียงพอจะดึงความสนใจของหล่อนได้‘สาปภูษา’ … ‘กำไลมาศ’ … ‘กาหลมหรทึก’ ‘เกิดแต่ตม’ … ‘หลงเงาจันทร์’ … ‘รากนครา’หากต้องเลือกเล่มใดไปอ่านเฉพาะชั้นวางนี้ นรีก็ไม่ติดขัดใจ เพราะอย่างน้อยการได้มีอะไรให้อ่า
‘สูตรแกงรัญจวนของวังเจ้านั้นพิถีพิถันนัก เริ่มจากปลายครกที่ต้องตำพริกขี้หนูสวนด้วยเกลือป่นให้ฟู ต้มปลาเค็มที่รมด้วยฟืนเปลือกมะกรูด น้ำแกงต้องขลุกขลิก ใส่ตะไคร้หั่นบาง ใบมะกรูดฉีก และใบโหระพาจากสวนด้านเหนือเท่านั้น กลิ่นขึ้นจากไอร้อน เหมือนจิตใจคนกำลังเร่าร้อนแต่ไม่กล้ากล่าวรัก แกงนี้ต้องกลั้นใจขณะตัก กลิ่นจะยิ่งลอยชัด… คล้ายรักที่ยิ่งปิด ยิ่งฉุน ยิ่งยากลืม’นรีปิดหนังสือลงวางกับตัก เมื่อได้ยินเสียงคุณทิพย์ขยับตัว พยายามปรับสติเรียกอารมณ์ให้ตนเองกลับสู่โลกแห่งความจริงเพียงชั่วพริบตา ก่อนหันไปหาคุณทิพย์ที่กำลังกลับจากภวังค์นิทรายามบ่าย“ลมดีจริงเชียว” คุณทิพย์พึมพำเสียงแผ่ว ตาปรือเล็กน้อย ออกอาการเพลียคล้ายติดงัวเงียอยู่สักนิด“สักพักฝนอาจจะตก… เข้าบ้านกันดีมั้ยคะ” นรีเอ่ยชวนพลางรวบรวมเอาชุดถ้วยชาลายครามใส่ถาดเดียวกับกาน้ำชาไว้รอท่า เมื่อเห็นคุณพยักหน้าเชิงว่ารับคำ
มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีอะไรเด่นแซ่บไปกว่าลาบหมูฝีมือดารัณที่ทำแยกมาสองรส สำหรับคุณทิพย์และสำหรับทุกคน รสเค็มเผ็ดนัวตัดเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวแป้นสดจากสวนหลังเรือน คละเคล้าผักหอมแล้วยังฟุ้งไปด้วยข้าวคั่วสมุนไพรที่ทำพิเศษเฉพาะวันนี้ ทำให้ทุกคำที่บดเคี้ยว สติของนรีหวนคืนมวลอารมณ์คิดถึงบ้าน คิดถึงยาย บาดลึกไปทุกทีการเก็บกลืนรส แม้จะทำตัวนิ่ง ดูสงบ แต่น้ำตากลับคลอรื้นออกมาอยู่ดี“นรี… นรีคะ” เสียงคุณเจ้านายทักขึ้นเบาๆ พร้อมสายตาอุ่นๆ ที่ส่งมาจากอีกฝั่งโต๊ะอาหาร ก่อนเอ่ยถาม“เป็นอะไรรึเปล่า”“แค่… คิดถึงบ้านค่ะ” นรีตอบสั้นๆ ตามตรง พร้อมรอยยิ้มบางๆ พลางเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา“ เพราะลาบหมูเนี่ยเหรอ” คุณทิพย์ถามขึ้น นรีพยักหน้ารับและตอบว่า