เข้าสู่ระบบอาจด้วยเวลาเข้านอนที่ผิดปกติไปจากธรรมดาค่อนข้างมาก นรีจึงลืมตาตื่นไม่ทันมื้อเช้าของบ้านวงศ์ทิมทองในวันถัดมา และเพราะความเพลียอีกประการที่ทำให้หล่อนไม่ได้จัดการตั้งนาฬิกาปลุก นรีจึงตื่นจากการหลับด้วยเสียงของน้ำประปาที่ลอดพ้นสายยางพุ่งไปกระทบกลุ่มใบของต้นไม้ในสวน เมื่อผงกหัวยันตัวขึ้นจากฟูกนอนได้และมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าคุณทิพย์กำลังยืนถือสายยางสีขาวรดน้ำให้ไม้ดอกหลายชนิดในสวนหน้าเรือนอยู่คนเดียว เป็นภาพที่ส่งผลให้นรีดีดตัวออกจากผ้าห่มทันที
“ตื่นแล้วเรอะ” คุณทิพย์เอ่ยทักเมื่อเห็นนรีเดินหรี่ตาสู้แดดยามสายออกมาที่สวนดอกไม้ซึ่งชุ่มช่ำไปด้วยหยาดน้ำจากการประปาไทย
“ ค่ะ สายเลย ” นรีรับคำทั้งยิ้มน้อยๆ ตอบกลับรอยยิ้มบางๆ ของคุณทิพย์ ตอนนั้นเองที่กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้นรีหันมองหาที่มาของความหอมหวานนั้นจนพบดอกไม้สีขาวกลีบบางดอกเล็กๆ มีกลีบห้าแฉกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วยรวมกันเป็นช่อราวๆ สิบกว่าดอก
“ดอกข้าวใหม่ รู้จักรึเปล่าเรา” คุณทิพย์บอกทันทีที่เห็นว่านรีกำลังสนใจดอกไม้สีขาวที่กำลังออกช่องามอยู่บนกิ่งซึ่งเลื้อยอยู่กับลำต้นโมกข์และซุ้มเหล็กดัดที่สร้างไว้สำหรับปลูกไม้เลื้อยโดยเฉพาะ
“ เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละค่ะ กลิ่นหวานเหมือนใบเตยเลยนะคะ ” นรีตอบคุณทิพย์พลางก้มตัวเข้าสูดกลิ่นดอกข้าวใหม่ใกล้ๆ ช่อดอกแล้วยิ้มสดชื่น
“ ในครัวมีข้าวต้มแบ่งไว้ให้ ไปจัดการแล้วกัน แล้วสักสิบโมงขึ้นไปหาข้างบนนะ ” คุณทิพย์บอกพลางก้าวเดินแจกจ่ายสายน้ำให้ต้นไม้อื่นๆ ต่อจากต้นมะลิลาที่ท่านรดน้ำอยู่แต่แรก
“ เดี๋ยวให้หนูรดต่อดีกว่านะคะ ” นรีขยับเดินตามขอรับสายยางจากมือคุณทิพย์ แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ
“ ไม่เป็นไร จะเสร็จแล้ว ไว้เรามารดพรุ่งนี้เช้านะ ”
ห้องครัวของเรือนนี้คือบริเวณเดียวกันกับส่วนที่มีไว้เก็บของเก่าๆ จำพวกเก้าอี้ ชั้นวางของ และเสื้อผ้าซึ่งเก็บใส่ตู้ไว้อย่างดี นอกจากนั้นยังมีจักรยานสภาพดีจอดอยู่สองคันกับอีกคันที่ปั่นไม่ได้แล้ว นรีนั่งมองจักรยานเก่าคันนั้นด้วยความสนใจระหว่างตักข้าวต้มหมูที่ปรุงรสจัดด้วยพริกป่นเข้าปากตามพลังความหิวและเวลางานที่บีบให้รีบกินด่วนๆ หล่อนเคยมีจักรยานแบบนั้นเหมือนกันนะ ตอนอยู่ที่บ้านหล่อนปั่นจักรยานคันนั้นทุกวัน แม้แต่วันที่จะขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงมาหล่อนยังปั่นจักรยานรุ่นเดียวกับคันที่ปั่นไม่ได้แล้วของที่นี่ไปซื้อน้ำเต้าหู้ให้ยายอยู่เลย พอเห็นจักรยานที่เหมือนกันทั้งรุ่นทั้งสีก็เลยเกิดอาการคิดถึงบ้านอย่างฉับพลันขึ้นมาต้องรีบยกแขนใช้ไหล่เสื้อนอนตัวโคร่งซับน้ำตาที่คลอเบ้าให้แห้งไปก่อนที่ใครจะมาเห็น มือข้างถนัดรีบตักข้าวต้มป้อนตัวเองจนหมดชามเพื่อให้สามารถล้างจานชามและอาบน้ำเสร็จทันเวลาสิบโมง
ห้องน้ำเล็กๆ ในห้องนอนของนรี ก็มีฝักบัวทองเหลืองทรงโบราณคล้ายๆ กันกับในห้องน้ำส่วนตัวของคุณเจ้านายเหมือนกันเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ทำให้นรีเริ่มมองสังเกตทุกอย่างรอบตัวที่ไม่ทันได้สนใจตอนอาบน้ำก่อนเข้านอนเมื่อคืนนี้ แล้วพบว่า เป็นห้องน้ำที่ออกแบบมาสวยไม่ต่างกับ ‘ห้องน้ำห้องนั้น’ เลยเพียงแค่ห้องเล็กกว่า นรีจึงเปิดประตูห้องน้ำและมองไปทั่วห้องนอนอย่างช้าๆ จนมีความคิดว่า ห้องที่หล่อนได้รับเป็นห้องส่วนตัวนี้ไม่ใช่ห้องที่มีลักษณะเป็นห้องคนรับใช้จริงๆ เสียด้วยสิ วินาทีนี้หล่อนจึงเริ่มรู้สึกแล้วว่า สถานะของตนบนเรือนนี้ไม่ใช่สาวรับใช้แน่นอน
นรีปิดงับบานประตูแล้วอาบน้ำต่อทั้งที่ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดสนิท ระหว่างกดครีมอาบน้ำจากขวดที่วางอยู่บนชั้นใกล้ๆ วาล์วฝักบัว ภาพแผ่นหลังขาวนวลเนียนที่สะท้อนในกระจกวงรีบานใหญ่เมื่อวานเย็นก็แทรกเข้ามาในสำนึก ครีมอาบน้ำที่อยู่บนฝ่ามือนรีก็น่าจะเป็นแค่กลิ่นดอกไม้ไทยหอมๆ ราคากลางๆ ไม่ใช่กลิ่นแบบเดียวกับที่คุณเจ้านายใช้แต่หล่อนกลับรู้สึกว่า ได้กลิ่นหอมกลิ่นนั้นโชยมาเนืองๆ ในตอนนี้ ราวกับว่าครีมอาบน้ำยี่ห้อนั้นมีมนต์บันดาลให้กลิ่นติดตรึงใจหล่อนจนลืมยากเสียแล้ว
“ไม่ได้กลิ่นนี้ซะนาน หวังว่าจะชอบนะคะ” เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นจากอีกฝั่งของบานประตูห้องน้ำ ทำเอานรีสะดุ้งโหยงใจเต้นรัว เสียงพูดนั้นหวานหูชวนเขิน เป็นเสียงที่นรีจำได้ดีว่า เป็นเสียงเดียวกับเสียงครวญเพลง ชั่วฟ้าดินสลาย เมื่อเย็นวานนี้
“คะ...” นรีส่งเสียงตอบกลับออกไปได้คำเดียวเท่านั้นระหว่างที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่ชะโลมลงทั่วร่างชะล้างฟองสบู่กลิ่นหอมฟุ้ง
“ขอโทษที กลิ่นมันหอม เลยเผลอเดินมาถึงนี่” เสียงหวานเริ่มติดแหบนิดๆ ในประโยคนี้
“สบู่ปีบ หายากนะ รู้มั้ย” เสียงนั้นเอ่ยบอกก่อนจะมีเสียงก้าวเดินบนพื้นไม้ที่ค่อยๆ แผ่วไกลไปเรื่อยๆ ในแต่ละก้าว กว่านรีจะปิดวาล์วฝักบัวและห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวออกมาดูนอกห้องน้ำ ภายในห้องนอนหล่อนก็ไร้เงาเจ้าของเสียงเสียแล้ว พอลองเดินตามออกประตูห้องนอนซึ่งนรีเผลอเปิดทิ้งไว้เองแต่แรก ก็พบว่า จักรยานหายไปหนึ่งคัน จึงย้อนเดินกลับเข้าห้องไปแอบมุมยืนมองที่หน้าต่างใกล้ๆ เตียงนอน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งปั่นจักรยานออกไปถึงซุ้มประตูไม้แล้ว เธอคนนั้นเปิดประตูไม้และปั่นจักรยานออกไปไกลลับสายตา
‘นั่นน่ะเหรอ คุณเจ้านาย’
ได้แต่ยืนคิดคนเดียวที่ริมหน้าต่าง และก็มั่นใจไปเองว่าต้องใช่ เพราะเรือนนี้มีกันเพียงสามชีวิต คือ หล่อน คุณทิพย์ และคุณเจ้านาย นึกๆ ดูก็รู้ว่า ยังไม่เคยเลยสักครั้งตั้งแต่มาที่นี่ ที่หล่อนได้เห็นหน้าของคุณเจ้านาย หากไม่นับชั่ววินาทีที่เห็นเธอปั่นจักรยานออกไปนอกเขตเรือนแบบไกลๆ แทบจะลิบตา ความมีตัวตนของดารัณสำหรับนรีในตอนนี้คือ เสียงพูดแหบหวาน และเรือนร่างขาวนวลซึ่งเคยฉวยโอกาสได้มองแค่แผ่นหลังเท่านั้น
เวลาสิบโมงเศษๆ คือตอนที่นรีก้าวขึ้นบันไดกลางไปพบคุณทิพย์ที่ชั้นบน กลิ่นหอมหวานของดอกข้าวใหม่โชยออกมาจากห้องซึ่งอยู่ชั้นบนตรงกันกับห้องนอนนรี โดยธรรมดาแล้วกลิ่นดอกข้าวใหม่นั้นหอมอ่อน แต่หากกลิ่นนี้โชยออกมาได้ไกลแสดงว่า ในห้องนั้นคงมีดอกข้าวใหม่อยู่จำนวนมากโขทีเดียว นรีอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองม่านสีนวลสว่างซึ่งทำหน้าที่กั้นให้บริเวณเหนือห้องนอนนรีเป็นอีกห้อง แต่ก็ละสายตามาสังเกตห้องนอนคุณทิพย์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันเพื่อพบว่า คุณทิพย์ไม่ได้อยู่ในนั้น
“นรี มานี่” เสียงคุณทิพย์เรียกให้นรีหันหน้ากลับออกมาจากการเยี่ยมมองเข้าไปในห้องนอนที่เปิดประตูไว้
“เปิดม่านให้ที” คุณทิพย์ผู้โผล่พ้นขอบม่านบังเอ่ยบอกนรีก่อนจะหายเข้าไปหลังม่านอีกครั้ง หล่อนจึงเดินไปจับขอบม่านและออกแรงดึงรูดผืนผ้าให้เลื่อนไปสุดมุมผนังอีกฝั่ง ก่อนมองทุกสิ่งหลังม่านนั้นด้วยใจตะลึงเล็กน้อย ระหว่างก้าวเข้าไปหาคุณทิพย์แล้วทรุดลงเดินเข่าเมื่อใกล้ตัวท่าน
หลังม่านนั้น คือ หิ้งบูชาทุกสิ่งที่คุณทิพย์นับถือ ตั้งแต่บรรพบุรุษ พระพุทธองค์ จนกระทั่ง เทพฮินดู ห้องนั้นสะอาดทุกซอกมุม และมีดอกไม้ขึ้นไหว้ทุกหิ้งเน้นเป็นช่อดอกข้าวใหม่ และมาลัยมะลิสายคล้องกรอบทุกภาพ มีน้ำเปล่า น้ำหวาน ขนมชั้นโบราณ กล้วยน้ำว้าทั้งหวี กับอ้อยหลายท่อน วางไว้บนโต๊ะหน้าหิ้งแต่ละหิ้งตามสมควร นรีช่วยคุณทิพย์จัดเตรียมของไหว้จนครบทุกหิ้ง แล้วนับธูปให้ได้ตามจำนวนที่คุณทิพย์ต้องจุดบูชา จากนั้นก็นั่งพนมมืออยู่เบื้องหลังท่าน รอให้บทสวดแต่ละบทที่คุณทิพย์กล่าวสวดผ่านไปโดยท่องตามเฉพาะบทที่รู้จัก เมื่อเสร็จเรียบร้อยจากการไหว้ทุกท่านทุกองค์ เรือนวงศ์ทิมทองก็เต็มไปด้วยควันธูปและกำยานหอมซึ่งโชยฟุ้งลอยไกลกลบกลิ่นดอกข้าวใหม่เสียหมดไปชั่วขณะใหญ่ๆ เลยทีเดียว
นรีกลับลงมาที่ห้องครัวในเวลาเที่ยงเกือบครึ่งเพื่อรื้อของในตู้เย็นมาทำมื้อกลางวันไว้ให้คุณทิพย์และคุณเจ้านายซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาทานหรือไม่ แต่ก็ต้องจัดเตรียมไว้ตามหน้าที่ ครัวบ้านนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้หยิบมาทำอาหารสักเท่าไหร่ มีเพียงเครื่องเทศ เครื่องปรุง ข้าวสาร ไข่ไก่ และเนื้อหมู นรีเดินไปมาในครัวก่อนจะลองเดินออกไปทางประตูหลังเรือนซึ่งเป็นระเบียงชานเล็กๆ มีเก้าอี้ไม้เอนนอนพร้อมเบาะฟูกนุ่มนิ่มน่านั่งเล่นเอนหลังมองสวนผักตรงนอกชาน นรียืนค้ำราวระเบียงไม้มองผักสวนครัวที่งอกงามแล้วยิ้มออกมาทันที
‘คุณทิพย์ปลูกไว้สินะ ’
จากการลงสวนผักน้อยๆ หลังเรือน มื้อเที่ยงฝีมือนรี จึงออกมาเป็นเมนูง่ายๆ อย่างผัดกะเพราหมูสับกับไข่ดาว ซึ่งเนรมิตจากของเท่าที่มีในครัวและรั้วบ้าน คุณทิพย์ลงมาที่ครัวตั้งแต่นรีเริ่มผัดเนื้อหมูใส่กับกระเทียมและพริกสด เพราะกลิ่นทอดไข่ดาวโชยจากครัวขึ้นไปห้องท่านที่ชั้นบน
“ที่นี่ไม่ค่อยได้ทำกับข้าวกัน” คุณทิพย์เอ่ยขึ้นตอนที่นรีกำลังขยุ้มใบกะเพราจากตะกร้าชุ่มน้ำใกล้มือไปใส่ลงกระทะร้อนๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อหมูสับผัดพริกกระเทียมที่ปรุงรสจนหอมฉุย
“เอ่อ... ปกติไม่ทำเหรอคะ หนูไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ขอโทษนะคะ คราวหลังหนูจะไม่ทำอีก” นรีละล่ำละลักกล่าวขอโทษอย่างกลัวความผิด
“เปล่าๆ ไม่ได้จะว่าอะไร มีคนทำน่ะดี ครัวจะได้ไม่เงียบ” คุณทิพย์บอกทั้งยิ้มเอ็นดู ทำให้นรียิ้มตามไปด้วยอีกคน
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ นรีก็จัดแจงยกชามผัดกะเพรากับจานไข่ดาวไปที่โต๊ะอาหาร หล่อนนั่งทานเป็นเพื่อนคุณทิพย์เช่นเดิม และนำส่วนที่แบ่งไว้ไปเสิร์ฟที่โต๊ะไม้สนในห้องนั่งเล่นของเรือนฝั่งตะวันตก ทั้งที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณเจ้านาย
ตกบ่ายนรีมีหน้าที่ชงชาและนำไปให้คุณทิพย์ที่สวน เพราะกิจกรรมช่วงบ่ายของเรือนนี้คือการจิบชาและงีบหลับของคุณทิพย์ที่ศาลาไม้ในสวนซึ่งมีเถาพวงแสดเลื้อยตามเสาไปจนถึงปกคลุมหลังคาบางส่วนนั่นเอง ในวันแรกนี้คุณทิพย์สอนให้นรีชงชาดอกกุหลาบแล้วใส่น้ำชาลงกาน้ำชากระเบื้องสีสวยลายดอกกุหลาบพร้อมให้หล่อนทราบว่า ที่นี่มีชุดกาน้ำชาอยู่เก้าชุด และมีชาทั้งหมดเก้าชนิดสำหรับกาน้ำชาแต่ละชุด นรีต้องเลือกใช้ให้ถูกคู่ โดยในแต่ละวันคุณทิพย์จะเป็นคนบอกเองว่า วันนั้นๆ ท่านจะรับชาอะไร หล่อนจึงต้องรับทราบและจดจำรายละเอียดในส่วนนี้เพิ่มไปอีกอย่าง
ระหว่างที่คุณทิพย์งีบหลับไป นรีนั่งอยู่กับท่านที่ศาลาอย่างเงียบๆ หล่อนพบว่ามันเป็นช่วงเวลาว่างที่ไม่ได้ว่างจริงๆ เวลานับชั่วโมงที่ต้องนั่งตรงนี้กับอากาศดีๆ ในสวนดอกไม้ยามบ่ายนั้น เหมาะกับการอ่านหนังสือเพลินๆ สักเล่ม แต่หล่อนไม่ได้มีหนังสืออะไรติดตัวมาเลย เนื่องจากงานเก่าที่เคยทำมาไม่มีเวลาว่างพอจะอ่านหนังสือได้อย่างสบายใจ และความเหนื่อยล้าในร่างกายก็กระตุ้นให้เลือกใช้เวลาว่างหมดไปกับการนอนพักผ่อนเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ หล่อนเริ่มมองเห็นเวลาว่างสำหรับการอ่านหนังสือแล้ว คงต้องหาหนังสือมาติดมือไว้สักเล่ม ใจหล่อนนึกถึงหนังสือมากมายในตู้บนเรือน
‘มีสิทธิ์หยิบอ่านมั้ยนะเรา’
คิดอยู่เพลินๆ ก็สังเกตได้ว่า ตรงหน้าบันไดขึ้นเรือนมีจักรยานจอดอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมองตัวเรือนฝั่งตะตัวตกก็พบว่า หน้าต่างชั้นบนถูกเปิดกว้างทุกบาน
‘มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’
ตอนนั้นเองที่คุณทิพย์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพอดี และให้นรีประคองเดินขึ้นเรือน หล่อนพาคุณทิพย์ขึ้นไปพักบนเรือนที่โต๊ะอาหารแล้วรีบลงมาเก็บชุดกาน้ำชาจากศาลาไปไว้ที่อ่างล้างจานในครัว ก่อนจะขอตัวจากคุณทิพย์เดินไปที่ห้องนั่งเล่นฝั่งตะวันตกเพื่อไปดูที่โต๊ะไม้สนว่า ข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวฝีมือหล่อนยังอยู่ที่นั่นหรือไม่
นรีเดินผ่านโต๊ะอาหารไป ผ่านชั้นวางสูงซึ่งกั้นเขตระหว่างฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออก ผ่านบันไดวนและห้องน้ำส่วนตัว ไปที่โต๊ะไม้สนริมหน้าต่าง พบจานที่ไร้อาหาร มีช้อนส้อมรวบวางชิดกัน และแก้วน้ำเปล่าๆ พร้อมกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่น ส่งสารประโยคสั้น ลายมือหวัดแต่ตวัดหางตัวอักษรดูสวยเท่ ความว่า
- อร่อยมาก ขอบใจนะ -
การถูกจู่โจมด้วยสถานการณ์ที่ นรีโดนจับได้ว่า ตกหลุมรักคุณเจ้านาย พาให้หล่อนหลงลืมแทบทุกสิ่งรอบกาย ลืมแม้กระทั่งความสงสัยมากมายซึ่งบังเกิดมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเรือนนี้ จิตใจวนเวียนอยู่แต่กับการเรียบเรียงคำพูด ว่าควรเจรจาอย่างไรกับคุณเจ้านายในโอกาสต่อไป หล่อนควรถามว่าอะไรบ้างเพื่อความชัดเจนในความสัมพันธ์ และเพื่อให้ทราบแนวทางในการอยู่ร่วมกันหลังจากนี้ หล่อนลืมสังเกตไปเลยด้วยซ้ำว่า ณ ขณะนี้ คุณเจ้านายของหล่อนลับกายหายไปจากห้องโดยไม่ได้ผ่านออกทางประตูไม้ลายโบตั๋น หล่อนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า เธอหายเงียบไปพักหนึ่งแล้วนรียืนนิ่งเอนตัวพิงขอบโต๊ะเขียนงานอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ทีเดียว กว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้า ตามด้วยเสียงบานพับประตูขยับไหว หล่อนหันมองตามทิศต้นเสียงทันที ครานี้ค่อนข้างชัดเจน ว่า เสียงเหล่านั้นดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง ตรงข้างหน้าต่างฝั่งหลังเรือน นรีเพ่งมองไปในทิศนั้นอย่างจดจ่อ ทว่ายังไม่กล้าสืบเท้าก้าวไปสำรวจสิ่งใด แต่การปรากฎตัวในสายตาหล่อนอีกหนของคุณเจ้านาย แน่นอนแล้วว่า เธอเดินมาจากมุมห้องฝั่งนั้นจริงๆ“ว่าไงคะ ตั้งสติได้ถึงไหนแล้ว” คุณเจ้านายเอ่ยถามเมื่อเดินกลับเข้ามาใกล
วันถัดมา นรีได้ติดตามคุณทิพย์ไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอธนา โดยมีกานต์สิรีขับรถมารับถึงหน้าเรือนตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า หล่อนได้เข้าไปยืนรอคุณทิพย์ในห้องหมอธนา จึงรับรู้อาการโรคที่รุมเร้าคุณทิพย์อยู่ แม้หมอธนาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตรงๆ ไม่ได้แจกแจงความเป็นไปให้หล่อนฟัง แต่การซักถามระหว่างหมอกับคนไข้ก็ปรากฎเค้าลางข้อมูลหลายประการที่นรีพอจะคาดเดาได้ ว่าคุณทิพย์อาจเป็นทั้งเบาหวานและความดันสูง ตลอดจนโรคหัวใจบางประเภทและมีอาการทางจิตใจบางชนิด ขณะที่ภายนอกคุณทิพย์ดูปกติดี ในระดับที่ดูจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำเมื่อตรวจเสร็จหมอธนาเดินออกมาส่งทุกคนที่โถงทางเดิน พลางอธิบายเรื่องอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมสำหรับคุณทิพย์ให้กานต์สิรีกับนรีรับทราบไว้ เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรมของคุณทิพย์ให้รับกับอาการภายในร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยลง ก่อนจะขอตัวกลับไปตรวจคนไข้ ตอนนั้นเองที่กานต์สิรี หันมาบอกกับนรีว่า คุณทิพย์ต้องเข้ารับการบำบัดกับแพทย์อีกท่านเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ให้นรีกลับบ้านไปก่อน เพื่อจัดการเตรียมอาหารเที่ยงและมื้อค่ำให้กับคุณเจ้านายที่กำลังปั่นต้นฉบับอย่างแข็งขันแทบจะทั้งว
หลายวันผันผ่านเรื่อยไป ต่อจากเล่ม ‘ควันรักปักใจ’ หนังสือทุกเล่มที่คุณเจ้านายเลือกให้นรี ก็ดูเหมือนจะยิ่งความยาวสั้นลง ราวกับว่าเธอต้องการให้หล่อนกลับเข้าไปคืนหนังสือถึงโต๊ะในเร็ววันยิ่งขึ้น เพราะนรีมักจะอ่านทุกเล่มนั้น จบภายในสองวัน และได้อ่านงานประพันธ์ของคุณข้าหลวงนิรนามจนครบทุกปกอย่างรวดเร็วหนำซ้ำ จากกลางดึกคืนนั้นที่นรีได้สัมผัสผิวเนื้อคุณเจ้านาย การนวดคลึงกายเพื่อผ่อนคลายก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ประจำของหล่อน ซึ่งเธอมักร้องขอต่อหล่อนแทบทุกค่ำคืน บ้างก็ด้วยท่าทีเมื่อยขบ บ้างก็ด้วยสายตาเว้าวอน หลังการทุ่มเขียนบางสิ่งลงหน้ากระดาษอยางยาวนาน ไม่ก็หลังจากนั่งกดแป้นพิมพ์อักษรนับชั่วโมง การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า แทบไม่มีคืนใดเลยที่นรีจะไม่ได้ก้าวผ่านบานประตูลายโบตั๋นคู่นั้นคืนนี้ก็เช่นกัน หล่อนก้าวล่วงเข้าอาณาเขตห้องส่วนตัวของคุณเจ้านายเมื่อตอนเที่ยงคืนเศษ และลงมือบีบนวดกดคลึงทั้งบ่าไหล่ของเธอมาได้เกือบสิบนาที หล่อนอดไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งสายตาไปจับความตัวอักษรมากมายบนโต๊ะเขียนงานตรงหน้า หล่อนลอบมองมาหลายหน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะพลาด เปิดเนื้อความบนแผ่นกระดาษให้เผยต่อสายตาหล่อน ดังตอนนี้
นรีปลีกตัวออกจากห้องคุณเจ้านายมาได้ราวๆ เที่ยงคืน หล่อนกลับออกมานั่งประจำที่หน้าห้องนั้น บนเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม และเริ่มพลิกหน้าบทประพันธ์ รินคำเข้าสมาธิ‘ฤดูแล้วฤดูเล่าผ่านไป ความเงียบระหว่างพวกนางกลับอัดแน่นด้วยพันธะที่มิอาจเรียบเรียงเป็นถ้อยคำ ลมหายใจแผ่วเบาและนิ้วที่เผลอแตะปลายกันบนขวดน้ำอบแค่ชั่วครู่ ก็มากพอจะทำให้หัวใจเต้นเกินควบคุม’หล่อนลอบมองคุณเจ้านายสลับกับมองเนื้อความบนหน้ากระดาษหนังสือในมือจนถึงตีสองเศษๆ คุณเจ้านายก็หรี่แสงในห้อง เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังจะเข้านอน นรีจึงปิดคั่นหนังสือด้วยเส้นริบบิ้นผ้า แล้วลุกไปปิดบานประตูลายโบตั๋นเช่นทุกคืน ก่อนจะกอดเล่มหนังสือ เดินฝ่าความมืดกลับไปที่ฝั่งตะวันออก และเมื่อกลับถึงห้องนอนของตน หล่อนก็ได้มองเล่มนิยาย ‘ควันรักปักใจ’ อย่างเหม่อลอย ด้วยจิตใจที่ยังวุ่นวนอยู่กับคำสองคำนั้นกำลังดังก้องในความคิดหล่อนจนตกภวังค์เหม่อ‘...เราชอบ…’‘งั้นเหรอ’สมาธิในการอ่านหนังสือของหล่อนถูกสั่นคลอนพอสมควรทีเดียว ทั้งที่คราวนี้เป็นเพียงนวนิยายความยาวร้อยกว่าหน้า ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะอ่านวนไปมา ดูท่าจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อที่จะอ่านให้จบ ‘ร้อยกว่าหน้
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง







