Share

ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง
ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง
Author: น้องเหม่ยเหมย

บทนำ

last update Last Updated: 2025-11-30 21:45:47

บทนำ

วันนี้อากาศหนาวเหน็บกว่าทุกวัน หิมะสีขาวบริสุทธิ์ตกโปรยปรายไม่หยุดตั้งแต่เช้าจวบจนกลางวันก็ยังมิมีทีท่าว่าจะหยุด ยิ่งส่งเสริมให้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าท่ามกลางความหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถกระทบกระเทือนผิวกายขาวดุจหิมะภายใต้อาภรณ์สีม่วงสดสลับแดง นางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ได้เลย

ดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือประกอบกับดวงตาดอกท้อสดใสแลดูงดงามและน่ารักในเวลาเดียวกัน จมูกเล็กเชิด ปากสีชมพูระเรื่อ พวงแก้มแดงจางๆเป็นผลมาจากอากาศหนาวเย็นนัก ยิ่งทำให้แม้นางนั่งเฉยๆก็สามารถดึงดูดผู้คนได้อย่างง่ายดาย

เรือนร่างบอบบางมีส่วนเว้าส่วนโค้งพอควรเจริญเติบโตตามแบบฉบับเด็กสาววัยสิบสี่ย่างสิบห้า วัยใกล้ปักปิ่นกำลังจะเป็นสาวเต็มตัวแล้ว

สตรีหนังหนาที่สามารถนั่งท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บขนาดบุรุษยังหลบเข้าบ้านตนเองเพื่อแสวงหาความอบอุ่น สตรีผู้นั้นคือข้าเอง

นามของข้าคือ เซียวเฟยเจิน แปลว่าผู้โบยบินสู่ทรัพย์สมบัติ ท่านพ่อข้าเป็นผู้ตั้งชื่อนี้ให้เอง ถึงชื่อจะดูธรรมดาแต่ข้าชอบความหมายมันนะ

เพราะข้าชอบอิสรภาพและเรื่องเงินๆทองๆยิ่งนัก

เรื่องที่ชอบรองลงมาคือเรื่องกินแต่หากให้ชื่อมีอาหารเข้ามาด้วยคงแปลกพิลึกน่าดู

ที่นี่คือหมู่บ้านในดินแดนทางเหนือ ของแคว้นเฉียนเหลียง ราชวงศ์ปกครองปัจจุบันคือ ราชวงศ์หย่ง องค์ฮ่องเต้คือ หย่งเจิ้นนั่นเอง

หมู่บ้านที่ข้าอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กในดินแดนหนาวเหน็บทางเหนือเรียกได้ว่าห่างไกลจากความเจริญยิ่งนัก

“เจินเอ๋อร์เข้ามาอ่านหนังสือในบ้านสิลูก อยากแข็งตายรึ ไอ้ลูกคนนี้” บุรุษเคราประปรายเปิดประตูหน้าบ้านชะโงกหน้าออกมาเรียกข้าคือท่านพ่อของข้าควบด้วยตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน

แต่มิใช่บิดาแท้ๆหรอกนะ ข้าเป็นลูกกำพร้า ท่านพ่อเคยเล่าว่าเขาเจอข้าตอนอายุประมาณหนึ่งขวบถูกห่อด้วยผ้าไหมเนื้อดีวางไว้ที่หน้าบ้านของเขา

ด้วยความที่ข้าหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักท่านพ่อท่านแม่จึงเก็บข้ามาเลี้ยง ไม่นานพวกท่านก็ให้กำเนิดลูกชายมาอีกคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วครอบครัวข้าจึงมีอยู่ด้วยกันสี่คน ข้า พ่อ แม่ และน้องชายจอมซนอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้อายุราวสิบสองขวบเศษ

“ข้าอยากแข็งตายจะแย่ ท่านพ่อก็รู้ว่าสตรีเช่นข้าน่ะตายยาก ท่านอย่าห่วงเลย เข้าไปนั่งหน้าเตาไฟเถอะท่านน่ะ”

ข้าตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงใสกังวานทว่าห้วนและไร้หางเสียงเฉกเช่นคนบ้านป่า สิ่งที่ข้าพูดมิได้เกินจริงอันใด เหตุผลที่ข้าสามารถนั่งอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บเป็นวันๆได้เช่นนี้มิใช่เพราะข้าหนังหนาหรืออย่างไร

แต่เพราะข้ามีพลังวิเศษ ข้าสามารถสร้างม่านเกราะปกป้องสิ่งของหรือคนผู้ใดก็ได้ตามที่ข้าต้องการเพียงแค่สัมผัสและระลึกจิต

ยิ่งข้ากับสิ่งของที่ต้องการปกป้องเกี่ยวพันกันมากเท่าไหร่เกราะของข้าก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น

ในทางกลับกันหากข้ากับสิ่งของนั้นมิได้มีสายสัมพันธ์อันดีใดเลยเกราะของข้าก็แทบไม่มีประโยชน์ใดเลย

ซึ่งตอนนี้ข้าใช้พลังปกคลุมตัวเองอยู่

ในโลกนี้มิใช่ทุกคนจะมีพลังแปลกๆเช่นข้าแบบนี้หรอกนะ จะมีก็เพียงกระหยิบมือที่ได้รับพลังพิเศษเช่นนี้

คนที่นี่เรียกมนุษย์เช่นพวกข้าว่าผู้วิเศษ

มีตำนานกล่าวขานว่าผู้วิเศษคือมนุษย์ที่สวรรค์ให้พลังมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเอง นับเป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้นั่นเอง

ดังนั้นหากลูกหลานบ้านไหนเกิดมามีพลัง ไม่ว่าผู้นั้นจะเกิดในตระกูลยากจนเร้นแค้นขนาดไหนขอเพียงนำไปรายงานตัวกับองค์ฮ่องเต้ เด็กผู้นั้นจะถูกยกระดับฐานะขึ้นทันที โตขึ้นจะได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ ตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับขุนนางขั้น 2 เลยทีเดียว นี่ยังไม่รวมทรัพย์สินที่ทรงจะประทานให้อีกมากมาย

แล้วแบบนี้จะมีใครไม่นำเด็กที่เกิดมามีพลังไปรายงานตัวงั้นหรือ

มีสิ ข้าไง ด้วยเพราะอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงข้าจึงสามารถหลบซ่อนตัวตนได้ง่าย บิดามารดาที่เลี้ยงข้ามาเป็นคนสมถะ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงจึงไม่มีใครปากโป้งไปแจ้งทางการ

ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการรายงานพลังของตนเองหรอกนะ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น

ใกล้แล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ข้าจะเผยตัวตนแล้วล่ะ

“พ่อจะไปล่าสัตว์ต่างหากเห็นเจ้านั่งอยู่หน้าบ้านก็เพียงพูดพอเป็นพิธีเท่านั้น เดี๋ยวชาวบ้านเขามาเห็นแล้วจะหาว่าข้าไม่รักลูก”

“เหรอ”

ข้าอยากจะลากเสียงให้ยาวไปถึงอีกบ้านหนึ่งกับท่าทีประชดประชันทำราวกับมิได้เป็นห่วงข้าเช่นนั้น

ถึงแม้ว่าเราสองคนมิได้มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกันแต่ข้ารักท่านพ่อ และข้าก็รู้ว่าท่านพ่อรักข้าเช่นกัน

“ท่านจะไปล่าสัตว์หรือ ขะ...”

“ไม่ พ่อมิให้เจ้าไปด้วย”

ข้าชะงักฝีเท้าตนเองทันทีเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน ข้าชอบขอติดสอยห้อยตามท่านพ่อเข้าป่าบ่อย ๆ พอเข้าป่าไปปุบข้าก็มักจะหายวับแยกทางกับท่านพ่อปับ เพราะข้ามิได้ประสงค์ติดตามท่านพ่อไปช่วยล่าสัตว์อยู่แล้ว ที่ขอตามไปเพื่อเป็นข้ออ้างมิให้ท่านแม่ห้ามปรามข้าเท่านั้น

ข้าชอบเข้าไปเดินเล่นในป่า และที่สำคัญในส่วนลึกของป่ายังมีที่ลับของข้าที่หนึ่งซ่อนอยู่ด้วย ที่นั่นมีกระท่อมหลังเก่าตั้งอยู่ ด้วยความตาดีของข้าทำให้ข้าพบโดยบังเอิญ

แต่มิใช่กระท่อมร้างผู้คนหรอกนะ ที่นั่นมีเจ้าของเป็นชายเฒ่าใจดีปากร้ายผู้หนึ่ง เห็นเขาบอกว่าเป็นคนจากที่อื่นเดินทางมาจำศีลบำเพ็ญเพียรที่นี่ เหตุผลที่ข้าชอบไปที่นั่นมิใช่เพียงชายผู้นั้นเพียงอย่างเดียว แต่ในกระท่อมเก่าๆมีทั้งตำราเรียน หนังสือชีวประวัติราวกับห้องสมุดขนาดย่อยเลยก็ว่าได้

ที่ข้าสามารถเขียนอ่านได้อย่างคล่องแคล่วก็เพราะชายผู้นั้นสอนและให้ยืมอ่านหนังสือพวกนั้นนั่นแหละ

ข้าเคยสงสัยด้วยนะว่าทำไมคนหัวดีเช่นเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ก็มิได้คำตอบ ข้าที่จำเป็นต้องขวนขวายเอาความรู้จากอีกฝ่ายจึงไม่อยากถามต่อด้วยเพราะกลัวโดนไล่ตะเพิดออกจากกระท่อมน่ะสิ

ทำไมคนป่าเมืองหนาวอย่างข้าต้องลำบากหาความรู้เข้าหัวน่ะหรือ อย่างไอ้เฟยเจินทำสิ่งใดย่อมหวังผลอยู่แล้วหรือไม่ก็โดนบังคับมา ซึ่งครานี้เป็นอย่างหลัง

ในความเป็นจริงแล้วข้ามิใช่คนของโลกนี้หรอก ข้าคือสาวยุคศตวรรษที่ยี่สิบนู่น แต่ดันตายอย่างอนาถโชคยังดีที่ก่อนตายข้าเพิ่งอ่านหนังสือนิยายลึกลับเล่มหนึ่งจบ ด้วยความที่ตอนจบของเรื่องไม่สมดังใจข้าเสียเลยจึงนั่งด่าคนแต่งไปเสียหลายรอบ

ตอนจบของเรื่องตัวร้ายชายตายเพราะโดนความชั่วเข้าครอบงำ ตัวละครตัวนี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

เขาเป็นถึงบุตรของสนมเอก บิดาเป็นถึงฮ่องเต้คนปัจจุบัน ชายหนุ่มจึงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ชายสาม แต่โชคร้ายหรือด้วยเพราะคนแต่งจัดวางให้ชีวิตเด็กน้อยอายุหกขวบต้องกำพร้ามารดา ทว่ามิใช่เพราะสิ้นชีพหรืออย่างไรแต่จู่ ๆก็หายตัวไปไร้ร่องรอย ไม่แม้บอกลาลูกชายตนเองสักคำ คนภายนอกจึงลือกันว่านางหนีตามบุรุษคนรักไปเพราะใคร ๆต่างก็รู้ว่านางเข้าวังมาเพราะโดนฮ่องเต้หมายตาต้องใจมิใช่ด้วยความสมัครใจ

แต่บุตรอย่างตัวละครผู้นี้แม้ยังเด็กแต่ชาญฉลาดยิ่งนัก เด็กน้อยไม่คิดอย่างนั้นจึงหนีออกจากวังเพื่อไปตามหาท่านแม่ของตนเอง สิบกว่าปีผ่านไปไม่มีใครพบเด็กน้อยใจกล้าผู้นี้อีกเลย

จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กน้อยในวันนั้นกลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามทว่าดวงตาแข็งกร้าว หัวรุนแรงในวันนี้ เขาแสดงตัวพร้อมหลักฐานว่าตนเองคือองค์ชายสาม พร้อมทั้งโดนฮองเฮารับไปเลี้ยงดูต่อ

นักเขียนบรรยายว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กน้อยเก่งกาจ ฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายต่าง ๆด้วยตัวคนเดียว พูดถึงเรื่องฆ่าคนเขาสามารถฆ่าได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ จึงได้รอดมาถึงทุกวันนี้

ทว่าชายหนุ่มกลับมามือเปล่าเขาหามารดาไม่เจอ แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาคือฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจ ไม่กลัวใคร จิตใจหยาบไม่สนหัวใครทั้งนั้น

นั่นแหละจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางนองเลือดของตัวละครตัวนี้

ฮองเฮาที่ไร้บุตรมีแต่บุตรีทรงรับเป็นบุตรบุญธรรม ต่อหน้าเหมือนจะดีทว่าความเป็นจริงแล้วฮองเฮาต้องการใช้ลูกคนนี้เป็นอาวุธและหุ่นเชิดของตนในเวลาเดียวกัน

ที่ตัวละครตัวนี้ขึ้นครองราชย์ได้เพราะแผนการของฮองเฮาทั้งนั้น หลังจากขึ้นครองราชย์สุดท้ายก็ถูกความชั่วร้ายกลืนกิน บ้านเมืองราวกับถูกปิศาจร้ายครอบครอง และจบลงด้วยพระเอกกับนางเอกของเรื่องมาจัดการ จบชีวิตลงอย่างน่าอนาจทั้ง ๆที่ความเป็นจริงแล้วเบื้องหลังทั้งหมดมิใช่เขาเลยสักนิด

เด็กคนหนึ่งที่บอบช้ำจากการโดนมารดาทอดทิ้ง

เด็กที่รักบุพการีขนาดออกไปตามหาด้วยตัวคนเดียว

เด็กคนหนึ่งที่ถูกความรักของแม่เลี้ยงหลอกใช้

มีใครให้แย่กว่านี้อีกไหม

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นนิยายรักที่ยังไง๊ยังไงพระเอกกับนางเอกสุดท้ายก็ต้องสมหวังกันอยู่ดี แต่จบเช่นนี้ จบด้วยการจัดการคนชั่วผิดตัว คนบงการยังอยู่ดี ข้ารู้สึกไม่ชอบใจเสียเลย

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการมาเกิดใหม่ในโลกของหนังสือที่ย้อนมาตอนเริ่มเรื่อง

คนที่ให้สิทธิ์นี้แก่ข้า ข้าจะเรียกว่าสวรรค์แล้วกันนะ มอบหมายภารกิจ เปลี่ยนชะตาตัวร้ายให้ข้า หลังจากข้าโดนรถชนตายคาที่ระหว่างที่กำลังเดินออกจากหอสมุด

พอข้าลืมตาอีกทีก็ได้รับภารกิจและก็ฟื้นขึ้นมาในร่างเด็กน้อยแรกเกิดพร้อมทั้งความทรงจำทั้งหมดในชาติที่แล้ว

บางทีข้าก็คิดว่าการที่ตนเองเป็นเด็กกำพร้าอาจเป็นความตั้งใจของสวรรค์ และพลังที่ติดตัวมานี้ก็นับว่าข้าควรกล่าวขอบคุณเบื้องบนมากแล้ว

วันเวลาผ่านไป ข้าเรียนรู้การใช้พลังตนเอง เรียนรู้ทักษะของการเผชิญโลกกว้างที่มิใช่บ้านป่าของตนเอง พอรู้ว่ามีตาเฒ่าที่รู้หนังสืออยู่ในป่าใกล้ตนขนาดนี้จึงรีบตีสนิททันที

เขาสอนวิชาข้า ข้าช่วยปิดบังตัวตนของเขา ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายเท่านั้นก็พอ

ข้าหลุดจากความคิดตนเมื่อได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของพ่อบุญธรรมตน

“คราวนี้ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกน่าท่านพ่อ ข้าจะสร้างเกราะให้ท่านต่างหาก”

เท้าเล็กภายใต้รองเท้าขนสัตว์กันหนาวกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าหาท่านพ่อของตนเอง ข้าเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของอีกฝ่าย

แสงสีขาวบริสุทธิ์เรืองรองออกมารอบตัวของท่านพ่อก่อนที่จะจางหายไปอันบ่งบอกได้ว่าพลังของข้าทำงานสร้างเกราะเสร็จแล้ว หลังจากนี้ภายในสิบสองชั่วยามไม่ว่าจะมีอันตรายใด ๆ จะฟันก็ไม่เข้า อาคมใด ๆก็ไม่อาจทะลุเกราะข้าได้อย่างแน่นอน

เพราะเกราะที่ข้าสร้างให้คนที่ตนเองรักอย่างท่านพ่อมักแข็งแกร่งมาก ข้าคิดว่าแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยสร้างมาเลยด้วยซ้ำ

เพราะข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อก็รักข้า คิดแล้วก็อุ่นใจแต่ลึกๆในใจข้าก็รู้สึกวูบโหวงมิใช่น้อยเมื่อใกล้แล้ว

ใกล้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องจากที่นี่ไปทำภารกิจของตนเองเสียที

ท่านพ่อมองข้าตอบด้วยความรักทีหนึ่งก่อนจะเอื้อมมาลูบศีรษะข้าอย่างเบามือและเดินจากไป

มือบางขาวนวลเนียนดุจหิมะของข้ายกขึ้นมากอดตนเองเพราะรู้สึกหนาวเหลือเกิน ข้ากำลังยืนกลางแจ้งท่ามกลางหิมะตก ลมหนาวพัดมาไม่ขาด นาน ๆ ทีข้าจึงรู้สึกหนาวเช่นนี้

ทำไมข้าถึงเพิ่งมารู้สึกหนาวน่ะหรือ....

เงื่อนไขการใช้พลังอีกหนึ่งข้อของข้าคือ หากข้าสร้างเกราะนี้ให้ใคร เกราะที่ปกป้องข้าก็ยิ่งเบาบางลงตามความแข็งแกร่งที่ข้ามอบให้ผู้อื่นนั่นแหละ

เมื่อกี้ข้ามอบเกราะให้ท่านพ่อเต็มที่บัดนี้รอบตัวข้าจึงไร้เกราะป้องกันอยู่เลยน่ะสิ

ไม่รอให้ตัวเองยืนจนแข็งตายอยู่หน้าบ้านข้ารีบซอยเท้าเข้าไปหาความอบอุ่นภายในบ้านทันที

แต่แล้วดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เป็นใจให้ข้า คงคิดว่าข้าหนังหนายิ่งกว่าหมีขั้วโลกเหนืองั้นสิ เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่วิ่งเข้ามาทางบริเวณที่ข้ายืนอยู่ พร้อมทั้งเสียงตะโกนดังมาถึงก่อนตัวทำให้ฝีเท้าข้าชะงัก

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ อยู่ไหมขอรับ”

“พี่หลี่ลั่วเสียงดังมาแต่ไกลเลย พ่อข้าไม่อยู่หรอกเจ้าค่ะ ออกไปล่าสัตว์เมื่อครู่นี่เอง...ท่านมีเรื่องด่วนหรือเปล่าเจ้าคะ”

หลี่ลั่วคือผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านของท่านพ่อข้าเอง บ้านเขาอยู่นู่น ทางเข้าหมู่บ้านนู่น ส่วนบ้านข้าอยู่เกือบท้ายหมู่บ้าน

ระยะทางนับว่าไกลพอสมควร อีกฝ่ายวิ่งมาเช่นนี้คงไม่แคล้วมีเรื่องสำคัญมาแจ้งพ่อข้า

“ด่วนและสำคัญมาก แฮ่ก ๆ”

“พักเหนื่อยก่อนเดี๋ยวขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน ข้าขี้เกียจหาผู้ช่วยท่านพ่อใหม่”

“เอ้า ไอ้นี่หนิ แช่งข้าเสียแล้ว” ข้าหลบมะเหงกของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เหอะเรื่องความว่องไว ข้ารับรองไม่เป็นสองรองใครหรอกนะ

ขนาดลิงบางตัวยังต้องอายข้าเลย

“เรื่องด่วนอะไร พี่หลี่ลั่ว”

“ก็ที่หน้าหมู่บ้านมีขบวนของทหารกลุ่มเบ้อเริ่มรออยู่น่ะสิ เห็นบอกว่าเป็นตัวแทนมาส่งราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ บอกว่ามาขอพบพ่อของเจ้าน่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   บทส่งท้าย

    ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   เซียวเฟยเจิน

    บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   บอกเจ้าสาม

    และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ

    “เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   สิบขวบ

    “ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   ข้ามั่นใจว่าเป็นเขา

    ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status