Masuk“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
“เถียนเถียน จากนี้ไปจงปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์ทุกครั้งที่ข้าอยู่ด้วย เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้ารับคำไม่โต้แย้ง
หากเป็นบุรุษทั่วไปคงนึกยินดีที่ได้ภรรยาเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่อิดออด ทว่าเรื่องนี้กลับมิทำให้หยางเหวินเย่ยินดีขึ้นมาแต่อย่างใด เขาถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง นอนมองเจ้าสาวหมาด ๆ จัดผ้าห่มแทนที่นอนชั่วคราว นางนั่งหันหลังและบรรจงถอดเครื่องประดับอย่างระมัดระวัง
“เรียบร้อยแล้วก็ดับไฟแล้วก็นอนเสียเถิด พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางแต่เช้า” เจ้าสาวดับไฟก่อนจะล้มตัวลงนอน
องค์ชายรัชทายาทล่วงหน้ากลับเมืองหลวงหลังจากพิธีมงคลสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว ความจริงเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อจนกว่าจะพร้อมกลับไปทำหน้าที่ดังเดิม ทว่าใจของหยางเหวินเย่กลับมิสงบพอ นางที่เขารักยังคงอยู่ในจวนคหบดีกับสามี ส่วนภรรยาของเขาหรือก็อัปลักษณ์เกินกว่าจะมองหน้ากันโดยมิอาเจียนไปเสียก่อน
แต่จะพูดเช่นนั้นก็คงมิยุติธรรมต่อนางนัก เพราะยามแรกพบนางกับบ่าวตัวน้อยกำลังลำบาก หนีภัยสงครามมาพร้อมกับชาวบ้าน หน้าตาดำมืดคล้ายขอทาน สกปรกมอมแมมน่ารังเกียจ ทั้งยังสวมเสื้อผ้าคล้ายกระสอบถ่าน
นางมอบสาส์นสำคัญให้กับท่านพ่อ ซึ่งปรากฏว่าเป็นลายมือของสหายสนิท ผู้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพอาวุโส กล่าวว่าหากได้รับจดหมายฉบับนี้ แปลว่าทัพหน้าถูกตีจนแตกแล้ว และขอฝากบุตรสาวให้อยู่ในมือของผู้ที่มีอำนาจมากพอที่จะปกป้องนางด้วย
ท่านพ่อปกป้องนางด้วยการโยนให้หยางเหวินเย่รับผิดชอบ!
ทีแรกก็แค่ปล่อยให้นางนอนพักในกระโจมของเขา พร้อมกับบ่าวที่นอนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ที่ซอกเล็ก ๆ ซอกหนึ่ง กระทั่งการศึกสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว จึงพาทั้งนายและบ่าวเดินทางกลับบ้านมาด้วย หยางเหวินเย่อารมณ์ดีเพราะกำลังจะได้เจอนางอันเป็นที่รัก จึงขอล่วงหน้าไปก่อน ปล่อยให้องค์ชายรัชทายาทและบิดาตามกลับบ้านสกุลหยาง
บ้านเหลียนซาน
จัดงานฉลองรับชัยชนะจากการปราบปรามหัวเมืองที่คิดแข็งข้อ บ่าวไพร่หลายคนส่งเสียงกู่ร้องยินดีที่เจ้านายทั้งสองรอดกลับมา ทั้งองค์ชายรัชทายาทก็ทรงปลอดภัยแข็งแรงดี ทว่าดีใจได้มินานก็ต้องเงียบเสียงลงบุตรสาวรองแม่ทัพสูญเสียบิดาให้กับการศึกสงคราม...
ทีแรกองค์ชายรัชทายาทตั้งใจว่าจะพานางกลับวังหลวงไปด้วย ทว่าพอเห็นสหายสนิท ผู้ควบตำแหน่งแม่ทัพก่อเรื่องที่จวนคหบดีเข้า จึงกล่าวกับที่ปรึกษาหยางซือถงว่าสมควรให้คุณหนูแซ่หวัง แต่งเข้าสกุลหยางเสีย
หยางซือถง
ย่อมมิกล้าปฏิเสธคำของผู้มีอำนาจ ถือเอาฤกษ์สะดวก บังคับลูกชายตบแต่งเข้าหอกับบุตรสาวของรองแม่ทัพผู้เสียสละทันที งานมงคลดำเนินไปได้อย่างทุลักทุเลเต็มทน เพราะเจ้าบ่าวยังคงโศกเศร้าที่มิได้ครองคู่กับสตรีที่ตนรัก ทั้งยังถูกจดหมายเตือนจากทางการว่ามิให้เข้าใกล้จวนคหบดีอีก‘นางสูญเสียบิดา ยังโวยวายน้อยกว่าเจ้าเสียอีก!’
ประโยคของท่านพ่อ ช่วยให้หยางเหวินเย่ได้สติขึ้นมาบ้าง เขายอมเข้าพิธีโดยไม่ปริปากบ่น ในเมื่อสาวน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ยังอดทนต่อความสูญเสียได้ แม่ทัพมากฝีมืออย่างเขาก็ควรจะอดทนได้มิต่างกัน หยางเหวินเย่อดทนจนกระทั่งนาทีที่ถูกบิดาบังคับให้ร่วมหอกับนาง
“นอนมิหลับหรือ”
หยางเหวินเย่เอ่ยถามเจ้าสาวที่นอนขยับตัวไปมาอยู่บนพื้น
“ท่านพี่เจ้าคะ เถียนเถียนมีเรื่องอยากจะถาม” นางลุกขึ้นนั่งและมองตรงไปยังเจ้าบ่าวจำเป็น
“สงสัยอะไรก็ถามมา”
“ทราบดีว่าท่านพี่จะไม่มีวันรักข้า แต่เถียนเถียนอยากจะขออนุญาตรักท่านพี่ได้หรือไม่”
นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอเช่นนี้จากภรรยาอัปลักษณ์ แต่จะให้ใจร้ายตัดรอนสาวน้อยที่ไม่เหลือใครก็คงจะอำมหิตมากไปสักหน่อย หากยอมอ่อนข้อลงสักเล็กน้อยเพื่อให้นางได้มีอะไรยึดเหนี่ยวในภายภาคหน้า ก็มิใช่เรื่องผิดอันใดมิใช่หรือ
“เจ้ารักข้าได้ แต่ย่อมจะเป็นแค่รักข้างเดียว”
“รักข้างเดียวก็ดีมากพอแล้ว”
เสียงก้องกังวานใสของภรรยาสาวทำให้หยางเหวินเย่ใจสั่น แม้พยายามนึกถึงดวงหน้าอัปลักษณ์ก็ยังมิช่วยให้เลือดของบุรุษเดือดดาลน้อยลง หยางเหวินเย่โทษสุราฤทธิ์แรงที่ดื่มตลอดช่วงบ่าย และพอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องพึ่งพาของมึนเมา ความปั่นป่วนในร่างกลับสงบนิ่ง แทนที่ด้วยความโศกเศร้าสุดจะบรรยาย
หยางเหวินเย่นึกถึงใบหน้างดงามมิเป็นรองใครในเมืองเทียนโจว นางแต่งให้กับสกุลเซี่ยสองเดือนก่อนที่เขาจะชนะศึก เขาอยากจะถามนางเหลือเกินว่าเพราะเหตุใดจึงลืมคำสัญญา จนใจว่าจวนคหบดีแน่นหนาและกว้างขวางเกินกว่าจะตามหาตัวนางได้โดยมิถูกขัดขวางเอาเสียก่อน
เหตุใดนางจึงมิรอ...
หลังจากรีดเค้นหาคำตอบจากตัวเองอยู่นาน หยางเหวินเย่ก็ยอมแพ้และเข้าสู่ห้วงนิทรา ท่ามกลางความฝันซับซ้อน เขามองเห็นนางสวรรค์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูบแก้มเบา ๆ ปลอบประโลมหัวใจที่ช้ำหนัก แม้อยากจะตอบโต้กอดกลับ ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง กระทั่งยามสายจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ดูท่าเขาคงเสียใจจนคล้ายจะเสียสติ เมื่อกวาดตามองดูกลับมิพบใคร แม้แต่ร่างเล็ก ๆ ที่นอนหลับอยู่บนพื้นนั่นก็หายไปด้วย หยางเหวินเย่ขยับผ้าห่มที่อยู่บนร่าง ภรรยาอัปลักษณ์คงจะจัดการให้ แล้วนางสวรรค์เจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งเมื่อคืนที่ผ่านมาเล่า นางคือความฝันหรือว่าวิญญาณ นางปรากฏตัวเพราะเขากำลังป่วยทางใจ หรือเพราะความปรารถนาส่วนลึกที่จะร่วมหลับนอนกับใครสักคนเพื่อลืมปัญหารัก
แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลมิรอช้า รีบสวมเสื้อผ้าและตรงไปยังโรงม้า เร่งออกเดินทางเข้าสู้เมืองหลวง หากอยู่ที่นี่ไปก็คงจะปวดใจไร้ทางแก้ มิสู้หนีปัญหาสักพัก แล้วค่อยกลับมายังบ้านเหลียนซานก็คงมิสาย
หยางเหวินเย่มิได้สังเกตเลยว่า เจ้าสาวของเขาโบกมือจนลับตา นางยิ้มกว้างและภาวนาให้สามีกลับจากเมืองหลวงโดยเร็ว และไม่ว่านานแค่ไหน
เถียนเถียนก็จะรอท่านพี่กลับมา...
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 37 ต้องเรียกท่านพ่อ (2)“งาม! ท่านลุงไม่หน้าผีแล้ว ท่านลุงงาม!”เสวียนหนิงอันผละออกจากมารดา รีบตรงเข้ากอดท่านลุงคนงามที่ย่อตัวรับนางเข้าสู่อ้อมกอดทันที“หนิงเอ๋อร์ เรียกท่านลุงได้อย่างไร ต้องเรียกท่านพ่อจึงจะถูก”คนที่เพิ่งมาใหม่กล่าวพลางหัวเราะอย่างขบขัน ทำให้เจ้าซาลาเปาน้อยต้องรีบตะโกนแจ้งอย่างมีความสุขว่านางมีเพื่อนเล่นใหม่แล้ว“ท่านลุง หนิงเอ๋อร์มีท่านลุงคนงามมาเล่นเป็นเพื่อนอีกคนแล้ว”เจ้าซาลาเปาน้อยเอ่ยอย่างฉะฉาน เข้าใจว่าบิดาคือเพื่อนเล่นคนใหม่ ทั้งยังหน้าตางดงามคล้ายท่านลุงหลี่จินหมิงเป็นอย่างมาก“หนิงเอ๋อร์ ข้ามิใช่ท่านลุง แต่เป็นท่านพ่อ ส่วนท่านลุงหลี่เองก็เช่นกัน เขามิใช่ท่านลุงของเจ้า ทว่าเป็นท่านอา จงเรียกว่าท่านอาหลี่”“แต่ท่านพ่อเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์อยากเรียกท่านลุงว่าท่านลุง”“นั่นแปลว่าหนิงเอ๋อร์เห็นว่าลุงแก่กว่าท่านพ่อใช่หรือไม่”หลี่จินหมิงแกล้งถามอย่างน้อยใจ เจ้าตัวเล็กเห็นดังนั้นก็รีบดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของบิดา รีบปลอบใจท่านลุงรูปงามทันที“เรียกท่านอาก็ได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเสียใจนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันกอดขาออดอ้อนอย่างน่ารักจนหลี่จินหมิงเผลอต
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 37 ต้องเรียกท่านพ่อ (1)เสียงหัวเราะของเจ้าก้อนแป้งดังลั่นเรือนตั้งแต่ยามเช้า เรียกรอยยิ้มของเสวียนซือชิงและสองสาวใช้ได้เป็นอย่างดี วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว คุณหนูตัวเล็กที่หมายใจว่าจะออกไปวิ่งเล่นให้ทั่วจึงอารมณ์ดี มารดาให้กินดื่มอันใดก็มิเอ่ยถ้อยคำต่อรอง ต้องอาบน้ำขัดผิวแสบตัวอย่างไรก็ไม่โอดครวญเลยสักคำเสวียนหนิงอันพร้อมออกไปเล่นนอกเรือนอย่างมาก ทว่ามารดาของนางกลับมิอยากก้าวออกไปเลยแม้แต่น้อยนางยังไม่พร้อมที่จะเจอ...ท่านพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเรียกเขาอย่างไร ควรเรียกท่านพี่อย่างที่เคยเรียกยามเขาหลอกนางว่าเป็นคุณชายเฉินหยาง เรียกท่านอ๋องแทนตำแหน่ง หรือว่าเรียกคุณชายเฉินเพราะเขาคงมิอยากเปิดเผยตัวเอง“เสี่ยวอัน อาเหยาอยู่ที่นี่หรือไม่”เกือบเจ็ดวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกเรือนเพื่อตรวจสอบดูการย้อมสีเส้นด้าย มิใช่ว่าไว้ใจในฝีมือของลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะนางไม่ไว้ใจความคิดและการกระทำของตนเองต่างหาก“อยู่เจ้าค่ะ กำลังเก็บด้ายที่เพิ่งแห้ง อีกไม่นานก็คงเสร็จงานแล้วเจ้าค่ะ”“เขากลับไปเมื่อไหร่ก็ให้รีบมาแจ้ง ข้าจะได้พาหนิงเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นในสวน ห
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 36 ท่านพี่ (2)“เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าช่วยดูแลลูกเมียข้านานหลายปี เรื่องที่ไม่พูดก่อนหน้านี้ก็ให้ถือว่าหายกันไป”“แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเล่า”“เดิมทีคิดให้เวลานางได้ทำใจ แต่พอมีหนิงเอ๋อร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ข้าย่อมรอต่อไปไม่ได้อีก”“ท่านควรใจเย็นให้มาก ตรองดูทุกอย่างให้ดี”“จินหมิง เจ้าซาลาเปาน้อยเรียกข้าว่าลุงหน้าผี ข้าทนฟังคำคำนี้มิได้ จริง ๆ” หลี่จินหมิงถึงกับลอบกลอกตา เขาทราบดีตวนอ๋องเฉินฟาหยางภูมิใจความงามของตนอย่างมาก พอถูกบุตรสาวเรียกด้วยถ้อยคำไม่น่าฟัง คนหลงตัวเองเช่นนั้นย่อมทนมิได้แน่แค่มิโพล่งไปว่าตนคือใครตั้งแต่ทีแรกก็นับว่าอดทนได้เก่งอย่างมากแล้ว‘… พี่ทำตามคำสั่งของเจ้าแล้วว่าให้ทำงานหนักนานสามเดือน หากวันใดใจอ่อนลงบ้างแล้ว โปรดอ่านจดหมายที่พี่ส่งไปก่อนหน้านั้นได้หรือไม่’เสวียนซือชิงทำอย่างไรก็มิสามารถลืมเลือนประโยคสำคัญนี้ได้ คำสั่งอันใดหรือที่ภรรยาของอาเหยากล่าวไว้ เหตุใดจึงใกล้เคียงกับยามที่นางคุยเล่นกับบุรุษผู้นั้นนักเล่า‘…ให้ทำงานบ้านแทนเสี่ยวผิงเสี่ยวอันสักสามเดือนดีไหมเจ้าคะ’นางเคยตอบเช่นนั้นยามเขาหลอกถาม ว่าหากทำตัวไม่ดีเช่นตวน
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 36 ท่านพี่ (1)หากผู้ใดได้ยินประโยคที่ลูกจ้างคนใหม่กล่าวต่อคุณชายสกุลหลี่คงยิ้มอย่างพึงพอใจ ว่าวาจาของเขาไพเราะอ่อนหวานมากมารยาท น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังจนทำให้ลืมเลือนไปว่าใบหน้านั้นซ่อนอยู่ใต้ผ้าพันแผล ทั้งดวงตาข้างหนึ่งยังมืดบอดไม่น่าชมทว่าหลี่จินหมิงทราบดีที่สุดว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตาย เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเฉินฟาหยางมิได้พูดจาเช่นนี้ตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง ตวนอ๋อง ยิ่งรั้งตำแหน่งแม่ทัพคนสำคัญด้วยแล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวคำหวานเอาใจผู้ใดอีก เว้นเพียงยามอยากได้สตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาอุ่นเตียง แต่อย่างไรเสียคำพูดเหล่านั้นก็มิได้จริงใจ กล่าวออกไปเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทนล้วน ๆวันนี้ตวนอ๋องกล่าววาจาน่าฟังหลายคำ หลี่จินหมิงจึงเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี‘หากคุณชายหลี่เสร็จธุระแล้ว ผู้น้อยขอรบกวนเวลาอันมีค่า สนทนาเรื่องสำคัญสักหน่อยจะได้หรือไม่’อันตรายอย่างมาก...เกริ่นมาเช่นนี้อันตรายจริง ๆคุณชายสกุลหลี่ทำอันใดมิได้นอกจากพยักหน้ารับคำ ตอบไปว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา ทว่าถ่วงเวลาอยู่ได้ไม่นานก็เปลี่ยนใจ เพราะคิดได้ว่ายิ่งพบหน้ากันช้าเท่าไหร่ โทสะ
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 35 เจ้าซาลาเปาน้อย (2)“อาเหยา...”ทว่าเสวียนซือชิงยังมิทันได้เอ่ยอันใดต่อ เจ้าก้อนกลมเล็กก็วิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสี่ยวอันที่วิ่งตามมาติด ๆ แจ้งต่อนายหญิงด้วยประโยคที่ทำให้ลูกจ้างคนใหม่หนาวเหน็บราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดกลางศีรษะตน“คุณหนูบอกว่าเบื่อบ้าน อยากเจอท่านลุงเจ้าค่ะ!”“หนิงเอ๋อร์! อากาศยังหนาวอยู่ ลูกกลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้!”เสวียนซือชิงวางพู่กันในมือ ก้าวยาว ๆ ตามเจ้าก้อนแป้งที่วิ่งตรงไปยังเรือนใหญ่ แต่หากนางหันหลังกลับไปดูสักหน่อยก็จะพบว่าอาเหยาอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างคล้ายคนเสียสติไปแล้วตวนอ๋องเฉินฟาหยางรู้สึกคล้ายเสียสติไปแล้วจริง ๆ!ลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่...เฉินฟาหยางมิอยากเชื่อว่าภาพตรงหน้าจะเป็นความจริง เจ้าก้อนกลมเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างมาก เพียงครู่เดียวก็วิ่งผ่านสวนที่กั้นกลางระหว่างเรือนเล็กกับบ้านใหญ่ หลุดรอดจากสายตาของเสวียนซือชิงและเสี่ยวอัน แต่เขาตัวสูงกว่าพวกนางมาก จึงมองเห็นว่าเด็กน้อยซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้มิไกลนักเสวียนซือชิงและเสี่ยวอันแยกไปหาอีกทางแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ย่องไปหาเจ้าก้อนกลมที่ซ่อนตัวอยู่ พอเข้าไปใกล้จึงพบว
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 35 เจ้าซาลาเปาน้อย (1)หลังจากสนทนากับอาเหยาจนความทรงจำในอดีตปรากฏชัด ย้ำเตือนให้นางคิดถึงความรักครั้งแรก เสวียนซือชิงก็มิได้ออกนอกเรือนอีก มิใช่ว่านางกลัวที่จะพูดคุยลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะต้องเร่งปักผ้าให้ทันตามคำสั่งของลูกค้าที่พี่ชายบุญธรรมรับงานมาให้อีกที“เสี่ยวผิง ฝากผ้าพวกนี้ให้คุณชายหลี่ อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาสักหน่อย ข้างในบ้านวุ่นวายอีกแล้ว”เสวียนซือชิงมิลืมกล่าวต่อเสี่ยวอันด้วยว่าให้เข้าไปดูแลเรื่องในบ้าน เพราะนางต้องตรวจดูด้ายที่ตากไว้ครู่ใหญ่จึงจะกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนได้ ทว่าเพียงแวบแรกที่เห็นลูกจ้างที่กำลังยืนกวาดลานบ้าน นางก็พลันนิ่วหน้า ขยี้ตาแรง ๆ ครั้งหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าตนมิได้ตาฝาดไปอาเหยาคล้ายมิใช่บุรุษผู้อาภัพดังเดิม“อาเหยา มิใช่ว่าวันนี้คือวันหยุดของเจ้าหรอกหรือ”สิ่งที่ทำให้เสวียนซือชิงประหลาดใจมิใช่เรื่องลูกจ้างคนใหม่ยืนกวาดบ้านในวันหยุดงานของตน ทว่าเป็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ต่างหากเล่าเสื้อผ้าของอาเหยาสีสันเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด แต่มองไกล ๆ ก็ยังรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี ราคาแพงอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังมิได้เดินกะเผลกหรือห่อไหล่อย่าง







