LOGIN
แรกวิวาห์คือค่ำคืนที่เจ้าสาวคาดหวังว่าจะได้รับการดูแลทะนุถนอมตามวาสนารัก ทว่าความจริงกลับแตกต่างจากบทละครในโรงน้ำชาอยู่หลายส่วน สตรีหลายนางต้องทรมานเพราะความไม่รู้จักพอของบุรุษ บ้างก็ร่ำไห้เพราะถูกบังคับให้ร่วมหอกับคนแปลกหน้า บ้างก็หลับสนิทเพราะเหนื่อยจากงานพิธีมาตลอดทั้งวัน แต่สำหรับดวงหน้าหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดง เรื่องราวกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เสียงอาละวาดของบุรุษชุดแดงดังลั่นบ้าน ปกติแล้วเขามิใช่คนชอบออกความเห็น เว้นแต่เป็นเรื่องกลยุทธ์การศึกหรือการทหารที่ตนได้รับการมอบหมาย ทว่าวันนี้กลับต้องเอ่ยถ้อยความขัดใจผู้ให้กำเนิดสักหลายคำ เรื่องถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลนั่นเขาพอจะยอมรับได้ เรื่องช่วยเรื่องปกป้องสตรีให้รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อนั่นก็สมควรกระทำ แต่การถูกไล่ต้อนกลับเข้าห้องนอนที่มีสตรีอัปลักษณ์รอร่วมหออยู่ เขามิอาจฝืนใจตนเองได้
“อย่างไรก็ต้องเข้าหอ ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี!” ผู้อาวุโสของบ้านตวาดเสียงดัง
“พรุ่งนี้ข้าก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว ผูกพันกันไปรังแต่จะทำร้ายนางเสียเปล่า!”
“เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ไม่เคยทุ่มเถียงให้ข้าลำบากใจ แต่พอรั้งตำแหน่งแม่ทัพเข้าหน่อย กลับไม่เห็นหัวของบิดาเสียแล้ว!”
“ท่านพ่อ!”
หยางเหวินเย่ ยอมแพ้คำของบิดา ก้าวขาเข้าห้องหอด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไหว เขาพลาดเองที่ข่มความเสียใจของตนมิได้ บุกเข้าบ้านสกุลเซี่ยเพื่อทวงคืนนางอันเป็นที่รัก และนั่นคือเหตุที่ทำให้ทางการจำต้องส่งจดหมายตักเตือน สั่งห้ามมิให้ท่านแม่ทัพเลือดร้อน กระทำการอันใดก็ตามที่เป็นการรบกวนสองสามีภรรยาคู่นั้นอีก
“เจ้า ลุกออกจากเตียง” หยางเหวินเย่ออกคำสั่งกับนางในชุดเจ้าสาว
“เจ้าค่ะ” นางรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะย้ายร่างไปยืนนิ่งอยู่กลางห้องหอ
โดยปกติแล้ว เหล่าทหารที่กลับจากการศึกสงครามมักจะเกิดอารมณ์ปรารถนา ต้องการร่วมเตียงกับสตรีทดแทนช่วงเวลาที่ต้องอยู่อ้างว้างตามลำพัง ยิ่งผ่านการร่ำสุรามาด้วยแล้ว ยิ่งมิอาจห้ามใจของตนให้อดทนได้
ทว่าหยางเหวินเย่กลับมิใช่หนึ่งในนั้น เขาเคยเห็นโฉมหน้าของเจ้าสาว และกล้าเรียกได้เต็มปากว่าค่อนข้างอัปลักษณ์ นางดูคล้ายบุรุษมากกว่าสตรี คิ้วหนาน่ารังเกียจ ริมฝีปากห้อย มองได้ชั่วอึดใจเดียวก็มิอยากมองอีก
หยางเหวินเย่จำได้ว่าคืนก่อนที่จะกลับบ้านเหลียนซาน เขาดื่มสุราจนเมามาย และเผลอถามนางไปว่า เหตุใดจึงเกิดมาอัปลักษณ์นัก เหตุใดจึงมีคิ้วและเค้าโครงหน้าคล้ายกับบุรุษ แต่พอนางไม่ตอบโต้ เขาจึงละความสนใจ เดินออกจากกระโจมไปฉลองกับเหล่าทหารที่อยู่ด้านนอก
เมื่อท่านพ่อสั่งให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี หยางเหวินเย่มีความผิดติดตัวจึงมิกล้าขัด ทั้งยังทนมองน้ำตาของมารดามิได้ เขาจึงยอมเข้าหอหลังจากที่ปล่อยให้เจ้าสาวรอเก้อนานกว่าสองชั่วยาม นางยังคงนั่งนิ่งขณะรอให้เขาเปิดผ้าคลุมหน้า ลงมือตีตราจับจองให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แต่หยางเหวินเย่จะมิยอมลงมือ
มือหนาคว้าเอาผ้าห่มและหมอน ก่อนจะโยนลงไปยังพื้นเย็นเฉียบ
“เจ้านอนข้างล่าง” เขาต้องทนอยู่ที่นี่แค่เพียงคืนเดียวเท่านั้น วันพรุ่งนี้ก็จะได้กลับเมืองหลวงแล้ว
“แต่ท่านอาสั่งว่าเราต้องนอนด้วยกัน” เสียงของนางหวานใส มิสมกับใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อสั่งให้รายงานว่าเราร่วมเตียงกันด้วย ใช่หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกปีถอนหายใจยาว นางส่ายหัวแจ้งชัดว่าบิดาของเขามิได้สั่งให้ทำเช่นนั้น หยางเหวินเย่จำได้ว่าเจ้าสาวของเขาอายุเพียงสิบสี่ ถึงโตพอจะออกเรือนได้แล้ว ทว่าก็ยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องบนเตียง ยิ่งนางมิใช่สตรีรูปงาม บวกกับเรื่องที่เขาเพิ่งจะถูกทำให้ช้ำใจอย่างหนัก การร่วมรักเพื่อให้ถูกธรรมเนียมปฏิบัติของคืนเข้าหอจึงมิอาจเป็นไปได้
ให้ผูกสมัครรักใคร่กับสตรีที่กล่าวได้เต็มปากว่าไร้ซึ่งความงาม เขายิ่งฝืนใจตนเองมิได้
“เจ้าชื่อว่าอะไรนะ”
“เถียนเถียนเจ้าค่ะ” เสียงของนางสั่นเล็กน้อย
“เถียนเถียน ข้ามีเรื่องต้องทำความเข้าใจกับเจ้าสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
หยางเหวินเย่ปวดร้าวในอก สตรีที่เขารักสุดหัวใจก็เคยเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่หวานมิต่างกัน หากการศึกมิยืดเยื้อนานเกือบสองปี เขาก็คงไม่ต้องสูญเสียนางให้กับผู้อื่น และมิต้องแต่งสตรีอัปลักษณ์เข้าบ้านสกุลหยาง
ถึงแม้นางจะต้องการความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจก็ตามที
“เถียนเถียน ข้าจะไม่โกหกว่ารักหรือชอบเจ้า ระหว่างเราคงเป็นสามีภรรยาได้แค่ในนามเท่านั้น หัวใจข้ามีเจ้าของและจะรอวันนางหวนคืนกลับมา คงมิสามารถเผื่อใจไปรักใครได้อีก ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมต่อเจ้า แต่ข้าเลือกที่จะบอกความจริงมากกว่าลวงให้เข้าใจว่าระหว่างเรานั้นยังมีความหวัง เถียนเถียน ข้าจะไม่มีวันรักเจ้า”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
“นอกจากเรื่องความรักแล้ว ข้าสามารถบันดาลให้เจ้าได้ทุกอย่าง” หยางเหวินเย่เอ่ยเสียงแหบพร่า นึกละอายที่พูดประโยคตัดรอนรุนแรงไปเมื่อครู่ อย่างไรนางก็เป็นสตรี และมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปีเท่านั้น
“ท่านอาหญิงสั่งให้รายงานว่าเราได้ทำอะไรกันหรือไม่ เถียนเถียนควรตอบอย่างไรดีเจ้าคะ”
“โกหกเป็นหรือไม่”
เจ้าสาวรีบส่ายหน้า ผ้าคลุมหน้าสีแดงพลิ้วไหวตามแรงสะบัด เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อมิให้นางกล่าวความจริงต่อมารดา ขาสองข้างเซเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ของสุราที่ดื่มเพื่อฉลองความเศร้า ตามธรรมเนียมแล้ว หยางเหวินเย่จะต้องเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวและมอบจูบหวานล้ำ ทว่าหัวใจเขายังเป็นของสตรีอื่น ทั้งภรรยายังอัปลักษณ์เกินกว่าจะทำใจได้
ทว่าก็จำต้องฝืนใจสักหน่อย
หยางเหวินเย่แต้มจูบลงบนริมฝีปากของภรรยาผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดง กลิ่นหอมของนางกระตุ้นความต้องการของบุรุษให้ตื่นตัวจนยากจะห้ามใจไหว
หยางเหวินเย่จำต้องข่มใจถอยห่างจนชิดเตียง
“หากท่านแม่ถาม ก็ให้บอกว่าเราจูบกันและเข้าหอเรียบร้อยดีแล้ว”
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 37 ต้องเรียกท่านพ่อ (2)“งาม! ท่านลุงไม่หน้าผีแล้ว ท่านลุงงาม!”เสวียนหนิงอันผละออกจากมารดา รีบตรงเข้ากอดท่านลุงคนงามที่ย่อตัวรับนางเข้าสู่อ้อมกอดทันที“หนิงเอ๋อร์ เรียกท่านลุงได้อย่างไร ต้องเรียกท่านพ่อจึงจะถูก”คนที่เพิ่งมาใหม่กล่าวพลางหัวเราะอย่างขบขัน ทำให้เจ้าซาลาเปาน้อยต้องรีบตะโกนแจ้งอย่างมีความสุขว่านางมีเพื่อนเล่นใหม่แล้ว“ท่านลุง หนิงเอ๋อร์มีท่านลุงคนงามมาเล่นเป็นเพื่อนอีกคนแล้ว”เจ้าซาลาเปาน้อยเอ่ยอย่างฉะฉาน เข้าใจว่าบิดาคือเพื่อนเล่นคนใหม่ ทั้งยังหน้าตางดงามคล้ายท่านลุงหลี่จินหมิงเป็นอย่างมาก“หนิงเอ๋อร์ ข้ามิใช่ท่านลุง แต่เป็นท่านพ่อ ส่วนท่านลุงหลี่เองก็เช่นกัน เขามิใช่ท่านลุงของเจ้า ทว่าเป็นท่านอา จงเรียกว่าท่านอาหลี่”“แต่ท่านพ่อเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์อยากเรียกท่านลุงว่าท่านลุง”“นั่นแปลว่าหนิงเอ๋อร์เห็นว่าลุงแก่กว่าท่านพ่อใช่หรือไม่”หลี่จินหมิงแกล้งถามอย่างน้อยใจ เจ้าตัวเล็กเห็นดังนั้นก็รีบดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของบิดา รีบปลอบใจท่านลุงรูปงามทันที“เรียกท่านอาก็ได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเสียใจนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันกอดขาออดอ้อนอย่างน่ารักจนหลี่จินหมิงเผลอต
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 37 ต้องเรียกท่านพ่อ (1)เสียงหัวเราะของเจ้าก้อนแป้งดังลั่นเรือนตั้งแต่ยามเช้า เรียกรอยยิ้มของเสวียนซือชิงและสองสาวใช้ได้เป็นอย่างดี วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว คุณหนูตัวเล็กที่หมายใจว่าจะออกไปวิ่งเล่นให้ทั่วจึงอารมณ์ดี มารดาให้กินดื่มอันใดก็มิเอ่ยถ้อยคำต่อรอง ต้องอาบน้ำขัดผิวแสบตัวอย่างไรก็ไม่โอดครวญเลยสักคำเสวียนหนิงอันพร้อมออกไปเล่นนอกเรือนอย่างมาก ทว่ามารดาของนางกลับมิอยากก้าวออกไปเลยแม้แต่น้อยนางยังไม่พร้อมที่จะเจอ...ท่านพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเรียกเขาอย่างไร ควรเรียกท่านพี่อย่างที่เคยเรียกยามเขาหลอกนางว่าเป็นคุณชายเฉินหยาง เรียกท่านอ๋องแทนตำแหน่ง หรือว่าเรียกคุณชายเฉินเพราะเขาคงมิอยากเปิดเผยตัวเอง“เสี่ยวอัน อาเหยาอยู่ที่นี่หรือไม่”เกือบเจ็ดวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกเรือนเพื่อตรวจสอบดูการย้อมสีเส้นด้าย มิใช่ว่าไว้ใจในฝีมือของลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะนางไม่ไว้ใจความคิดและการกระทำของตนเองต่างหาก“อยู่เจ้าค่ะ กำลังเก็บด้ายที่เพิ่งแห้ง อีกไม่นานก็คงเสร็จงานแล้วเจ้าค่ะ”“เขากลับไปเมื่อไหร่ก็ให้รีบมาแจ้ง ข้าจะได้พาหนิงเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นในสวน ห
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 36 ท่านพี่ (2)“เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าช่วยดูแลลูกเมียข้านานหลายปี เรื่องที่ไม่พูดก่อนหน้านี้ก็ให้ถือว่าหายกันไป”“แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเล่า”“เดิมทีคิดให้เวลานางได้ทำใจ แต่พอมีหนิงเอ๋อร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ข้าย่อมรอต่อไปไม่ได้อีก”“ท่านควรใจเย็นให้มาก ตรองดูทุกอย่างให้ดี”“จินหมิง เจ้าซาลาเปาน้อยเรียกข้าว่าลุงหน้าผี ข้าทนฟังคำคำนี้มิได้ จริง ๆ” หลี่จินหมิงถึงกับลอบกลอกตา เขาทราบดีตวนอ๋องเฉินฟาหยางภูมิใจความงามของตนอย่างมาก พอถูกบุตรสาวเรียกด้วยถ้อยคำไม่น่าฟัง คนหลงตัวเองเช่นนั้นย่อมทนมิได้แน่แค่มิโพล่งไปว่าตนคือใครตั้งแต่ทีแรกก็นับว่าอดทนได้เก่งอย่างมากแล้ว‘… พี่ทำตามคำสั่งของเจ้าแล้วว่าให้ทำงานหนักนานสามเดือน หากวันใดใจอ่อนลงบ้างแล้ว โปรดอ่านจดหมายที่พี่ส่งไปก่อนหน้านั้นได้หรือไม่’เสวียนซือชิงทำอย่างไรก็มิสามารถลืมเลือนประโยคสำคัญนี้ได้ คำสั่งอันใดหรือที่ภรรยาของอาเหยากล่าวไว้ เหตุใดจึงใกล้เคียงกับยามที่นางคุยเล่นกับบุรุษผู้นั้นนักเล่า‘…ให้ทำงานบ้านแทนเสี่ยวผิงเสี่ยวอันสักสามเดือนดีไหมเจ้าคะ’นางเคยตอบเช่นนั้นยามเขาหลอกถาม ว่าหากทำตัวไม่ดีเช่นตวน
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 36 ท่านพี่ (1)หากผู้ใดได้ยินประโยคที่ลูกจ้างคนใหม่กล่าวต่อคุณชายสกุลหลี่คงยิ้มอย่างพึงพอใจ ว่าวาจาของเขาไพเราะอ่อนหวานมากมารยาท น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังจนทำให้ลืมเลือนไปว่าใบหน้านั้นซ่อนอยู่ใต้ผ้าพันแผล ทั้งดวงตาข้างหนึ่งยังมืดบอดไม่น่าชมทว่าหลี่จินหมิงทราบดีที่สุดว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตาย เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเฉินฟาหยางมิได้พูดจาเช่นนี้ตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง ตวนอ๋อง ยิ่งรั้งตำแหน่งแม่ทัพคนสำคัญด้วยแล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวคำหวานเอาใจผู้ใดอีก เว้นเพียงยามอยากได้สตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาอุ่นเตียง แต่อย่างไรเสียคำพูดเหล่านั้นก็มิได้จริงใจ กล่าวออกไปเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทนล้วน ๆวันนี้ตวนอ๋องกล่าววาจาน่าฟังหลายคำ หลี่จินหมิงจึงเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี‘หากคุณชายหลี่เสร็จธุระแล้ว ผู้น้อยขอรบกวนเวลาอันมีค่า สนทนาเรื่องสำคัญสักหน่อยจะได้หรือไม่’อันตรายอย่างมาก...เกริ่นมาเช่นนี้อันตรายจริง ๆคุณชายสกุลหลี่ทำอันใดมิได้นอกจากพยักหน้ารับคำ ตอบไปว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา ทว่าถ่วงเวลาอยู่ได้ไม่นานก็เปลี่ยนใจ เพราะคิดได้ว่ายิ่งพบหน้ากันช้าเท่าไหร่ โทสะ
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 35 เจ้าซาลาเปาน้อย (2)“อาเหยา...”ทว่าเสวียนซือชิงยังมิทันได้เอ่ยอันใดต่อ เจ้าก้อนกลมเล็กก็วิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสี่ยวอันที่วิ่งตามมาติด ๆ แจ้งต่อนายหญิงด้วยประโยคที่ทำให้ลูกจ้างคนใหม่หนาวเหน็บราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดกลางศีรษะตน“คุณหนูบอกว่าเบื่อบ้าน อยากเจอท่านลุงเจ้าค่ะ!”“หนิงเอ๋อร์! อากาศยังหนาวอยู่ ลูกกลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้!”เสวียนซือชิงวางพู่กันในมือ ก้าวยาว ๆ ตามเจ้าก้อนแป้งที่วิ่งตรงไปยังเรือนใหญ่ แต่หากนางหันหลังกลับไปดูสักหน่อยก็จะพบว่าอาเหยาอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างคล้ายคนเสียสติไปแล้วตวนอ๋องเฉินฟาหยางรู้สึกคล้ายเสียสติไปแล้วจริง ๆ!ลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่...เฉินฟาหยางมิอยากเชื่อว่าภาพตรงหน้าจะเป็นความจริง เจ้าก้อนกลมเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างมาก เพียงครู่เดียวก็วิ่งผ่านสวนที่กั้นกลางระหว่างเรือนเล็กกับบ้านใหญ่ หลุดรอดจากสายตาของเสวียนซือชิงและเสี่ยวอัน แต่เขาตัวสูงกว่าพวกนางมาก จึงมองเห็นว่าเด็กน้อยซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้มิไกลนักเสวียนซือชิงและเสี่ยวอันแยกไปหาอีกทางแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ย่องไปหาเจ้าก้อนกลมที่ซ่อนตัวอยู่ พอเข้าไปใกล้จึงพบว
พระชายาตำหนักร้างรัก บทที่ 35 เจ้าซาลาเปาน้อย (1)หลังจากสนทนากับอาเหยาจนความทรงจำในอดีตปรากฏชัด ย้ำเตือนให้นางคิดถึงความรักครั้งแรก เสวียนซือชิงก็มิได้ออกนอกเรือนอีก มิใช่ว่านางกลัวที่จะพูดคุยลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะต้องเร่งปักผ้าให้ทันตามคำสั่งของลูกค้าที่พี่ชายบุญธรรมรับงานมาให้อีกที“เสี่ยวผิง ฝากผ้าพวกนี้ให้คุณชายหลี่ อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาสักหน่อย ข้างในบ้านวุ่นวายอีกแล้ว”เสวียนซือชิงมิลืมกล่าวต่อเสี่ยวอันด้วยว่าให้เข้าไปดูแลเรื่องในบ้าน เพราะนางต้องตรวจดูด้ายที่ตากไว้ครู่ใหญ่จึงจะกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนได้ ทว่าเพียงแวบแรกที่เห็นลูกจ้างที่กำลังยืนกวาดลานบ้าน นางก็พลันนิ่วหน้า ขยี้ตาแรง ๆ ครั้งหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าตนมิได้ตาฝาดไปอาเหยาคล้ายมิใช่บุรุษผู้อาภัพดังเดิม“อาเหยา มิใช่ว่าวันนี้คือวันหยุดของเจ้าหรอกหรือ”สิ่งที่ทำให้เสวียนซือชิงประหลาดใจมิใช่เรื่องลูกจ้างคนใหม่ยืนกวาดบ้านในวันหยุดงานของตน ทว่าเป็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ต่างหากเล่าเสื้อผ้าของอาเหยาสีสันเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด แต่มองไกล ๆ ก็ยังรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี ราคาแพงอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังมิได้เดินกะเผลกหรือห่อไหล่อย่าง







