เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังออกมาจากเรือนของท่านแม่ทัพเลื่องชื่อ วาจาออดอ้อนของหญิงคณิกาอันดับต้น ๆ จากหอโคมเขียวจำนวนมากถึงสิบนาง ล่อลวงให้คนฟังลุ่มหลงจนยากจะปฏิเสธ ส่วนเสียงหัวเราะของบุรุษ กลับมิได้ดังออกมาจากปากของตัวเจ้าของจวนเอง ทว่าคือองค์ชายรัชทายาทจากวังหลวง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์ไท่จื่อพยายามที่จะชักชวนให้สหายกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม ด้วยหลังเสร็จสิ้นศึกสงครามในคราวนั้นแล้ว หยางเหวินเย่ก็คล้ายจะทำรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งหายไปด้วย
แม่ทัพหนุ่มรูปงามปล่อยให้หญิงสาวบีบนวดระหว่างร่ำสุรายามบ่ายกับสหายสูงศักดิ์ สีหน้าของหยางเหวินเย่มิได้ยินดียินร้าย หากหญิงงามนางใดจูบมา เขาก็โต้ตอบอย่างอ้อยอิ่งเกียจคร้าน หากนางใดเบียดตัวเข้าใกล้ ก็จะบีบตรงนั้นจับตรงนี้ไปตามเรื่อง หรือถ้าเกิดความต้องการมากเข้า เขาก็จะลากพวกนางเข้าห้องไปด้วยกัน จะสองหรือสามนาง ก็แล้วแต่อารมณ์ปรารถนา
ทว่าความรู้สึกในวันนี้กลับต่างออกไป
“ข้าเห็นชายหนุ่มสองคนยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าจวน จะมิเชื้อเชิญเข้ามาสักหน่อยหรือ”
องค์ไท่จื่อเยว่หยาง สอบถามสหายหน้าตาย ขณะมือเรียวรินสุราไผ่เขียวชั้นดีที่นำออกจากวังหลวงมาด้วย ทุก ๆ สิบวัน เขาจะแวะมาเยี่ยมเยียนหยางเหวินเย่ แม้ปกปิดสถานะของตนดีแล้ว ทว่าก็ยังมิรอดพ้นจากความรอบรู้ของเหล่าหญิงงาม เพราะแค่รูปร่างและลักษณะที่มองปราดเดียวก็รู้แจ้งชัดแล้วว่า คุณชายท่านนี้มิใช่แค่ขุนนางธรรมดา
เหล่านางคณิกาที่มาใหม่มักจะออดอ้อนเอาใจองค์ชายรัชทายาท ส่วนหญิงงามที่รู้งานดีอยู่แล้วมักจะออดอ้อนท่านแม่ทัพ เพราะหากหญิงใดทำให้หยางเหวินเย่พึงพอใจได้ สหายสูงศักดิ์ก็จะตกรางวัลให้อย่างงาม
“อากาศร้อน ไม่อยากเสวนากับใคร” หยางเหวินเย่ผลักนางที่เบียดเขาจนน่ารำคาญออก
“อยู่ข้างในยังร้อน พวกมันอยู่ด้านนอก จะมิลำบากแย่หรือ” องค์ชายร้องถามน้ำเสียงครึกครื้น ด้วยร้อยวันพันปี สหายผู้นี้ไม่เคยมีแขกจากต่างเมือง ยิ่งทั้งสองคือคุณชายรูปงาม ท่าทางมีฐานะ ก็ยิ่งอยากจะทราบว่ามีธุระอันใดแน่
หยางเหวินเย่มีหรือจะกล้าขัดใจองค์ชายรัชทายาท เขาพยักหน้าออกคำสั่งให้บ่าวไปนำตัวคุณชายทั้งสองเข้ามาสอบถามเอาความว่าต้องการสิ่งใด
“มีธุระอันใดกับข้า”
เจ้าของจวนกล่าวถามอย่างที่องค์ชายอยากจะให้ถาม
คุณชายทั้งสองเกี่ยงกันมิยอมเอ่ย คำพูดที่เตรียมมาเสียดิบดี กลับมิกล้ากล่าวต่อหน้าท่านแม่ทัพมากความสามารถ หลังจากมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ผู้ที่คล้ายจะสูงวัยกว่าสักหนึ่งหรือสองปีก็ยอมเอ่ยปาก
“ท่านแม่ทัพหยาง ข้าและน้องชายเดินทางมาจากเมืองเทียนโจวด้วยความยากลำบาก และมีเรื่องสำคัญประการหนึ่งอยากจะร้องขอต่อท่าน”
“มีเรื่องอันใดก็รีบเอ่ยมา อย่าชักช้าให้มากความ!”
องค์ไท่จื่อเยว่หยางอดใจมิไหว ตวาดสองพี่น้องที่ดูแล้วอย่างไรก็อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสองปี
“คุณชายอย่าเพิ่งมีโทสะ พี่ชายของข้ากำลังจะเอ่ยขอเดี๋ยวนี้แล้ว” คุณชายผู้น้องกระตุกแขนเสื้อพี่ชายเต็มแรง
“เรื่องที่พวกข้าอยากจะขอ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างมาก ทว่าหัวใจรักยากนักที่จะห้ามปรามมิให้รู้สึก จึงจำต้องเอ่ยถ้อยความที่ไม่เหมาะสม หากคำของข้าทำให้ท่านแม่ทัพหยางขุ่นเคืองใจไปบ้าง...”
“จะเข้าเรื่องได้หรือยัง” หยางเหวินเย่วางจอกสุรา หันมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน ดวงตาของเขาว่างเปล่าคล้ายกับคนไร้หัวใจ
“พวกข้าอยากให้ท่านหย่าภรรยาเสีย!”
บรรยากาศในจวนของท่านแม่ทัพหยางเหวินเย่เงียบสนิท แม้แต่เสียงใบไม้ไหววูบหนึ่งก็ไม่ปรากฏรบกวน คิ้วสวยได้รูปยกสูงแสดงความประหลาดใจ ทั้งยังมิแน่ใจว่าได้ยินคำขอของสองคุณชายถูกต้องดีแล้วหรือไม่
“ท่านแม่ทัพมีภรรยาแล้วหรือเจ้าคะ” สาวงามจากหอคณิกาอดถามมิได้ นางทำหน้าที่ปรนนิบัติเขาได้เกือบจะสองปีแล้ว ทว่าก็มิเคยได้ยินมาก่อนว่าท่านแม่ทัพเลื่องชื่อมีภรรยา
“บังอาจ กล้าขอให้ท่านแม่ทัพหย่าภรรยา พวกเจ้าสติดีอยู่หรือนี่!” องค์ชายตวาดเสียงดัง เหล่าสาวงามที่ทราบถึงฐานันดรศักดิ์ของบุคคลสำคัญต่างพากันถอยหนี ด้วยมิอยากอยู่เป็นประจักษ์พยานโทสะของผู้มีอำนาจ
ทว่าสองพี่น้องมิได้ทราบถึงสถานะของคุณชายรูปงาม จึงตวาดกลับเสียงดังก้อง
“คุณชายมิรู้ก็อย่าสอด! ท่านแม่ทัพทอดทิ้งนางนานกว่าห้าปี ถือว่ามิใช่เรื่องที่สามีควรกระทำต่อภรรยา และหากท่านมิต้องการนางแล้วก็ควรจะหย่าขาด เปิดโอกาสพวกข้าสองพี่น้องได้เกี้ยวพาราสีเอาชนะใจหญิงงามแห่งเมืองเทียนโจว มิใช่ปล่อยให้ความงามดั่งนางสวรรค์ของนางถูกละเลย ไร้เหล่าภมรชื่นชมเช่นที่ผ่านมา”
“หญิงงามแห่งเมืองเทียนโจว หึ” หยางเหวินเย่หัวเราะเสียงต่ำ ทว่านั่นก็มากพอแล้วสำหรับบุรุษที่ลืมเลือนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนานกว่าห้าปี
“ใช่แล้ว แม่นางเถียนเถียน หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองเทียนโจว” ผู้เป็นน้องยืนยัน คล้ายจะลุ่มหลงในตัวนางมากกว่าพี่ชายที่เอ่ยปากขอให้หย่าตั้งแต่ทีแรกเสียอีก
“พวกเจ้าไปเถิด” หยางเหวินเย่เอ่ยปากไล่
“ไม่ไป! ท่านต้องรับปากว่าจะหย่าให้นางเสียก่อน”
“เฆี่ยนสิบไม้แล้วค่อยไป ไม่สิ ยี่สิบไม้พอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเหวินเย่หันไปถามองค์ชายที่กำลังสงบสติอารมณ์ นี่คือครั้งแรกที่องค์ไท่จื่อเยว่หยางถูกบุรุษใจกล้าเอ่ยปากด่าทอ ต่อให้ปลอมตัวมาก็มิใช่การปลอมตัวที่แท้จริง เพราะเหล่าองครักษ์หรือสหายมักจะทำให้ความแตกเสียก่อน
ทว่าไม่ใช่กับครั้งนี้ สองพี่น้องต้องการให้สะใภ้สกุลหยางแห่งเมืองเทียนโจวหย่าขาดจากสามี จนมิได้สังเกตรอบข้างให้ถี่ถ้วนว่าใครดำรงตำแหน่งอะไรแน่
“ท่านเป็นคนบอกให้ข้าพูด จะมาสั่งเฆี่ยนกันได้อย่างไร!”
“ข้ามิได้สนใจเรื่องหย่าภรรยา แต่เจ้าเพิ่งจะกล่าววาจาลบหลู่องค์ไท่จื่อ เฆี่ยนยี่สิบหนถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”
“องค์ไท่จื่อ!” สองพี่น้องมองหน้าสลับกันไปมา กลืนน้ำลายตัวสั่นเทา มิกล้าโต้เถียงอันใดอีก
“ปล่อยลูกนกหลงทางพวกนี้ไปเถิด นาน ๆ จึงจะมีคนโง่หลงเชื่อว่าข้าเป็นเพียงคุณชายธรรมดาก็ดีเหมือนกัน” พออารมณ์โกรธเริ่มบรรเทาและหายใจคล่องขึ้นมาบ้าง องค์ชายรัชทายาทก็มิถือสาเด็กน้อยไม่รู้ความอีก
“ขอบพระทัยองค์ไท่จื่อที่เมตตากระหม่อมสองพี่น้อง”
“ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ให้มากพิธี ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าจึงอยากจะให้หยางเหวินเย่หย่าภรรยา นางไหว้วานให้เจ้าทั้งสองมาส่งสาส์นเช่นนั้นหรือ”
“แม่นางเถียนเถียนมิได้ทราบเรื่องที่พวกข้ามาที่นี่ นางรักและซื่อสัตย์ต่อสามี มิยอมชายตามองพวกข้า” บุรุษผู้พี่เฉลยความให้ฟังอย่างมิขัดเขิน สีหน้าเพ้อฝันทำเอาหยางเหวินเย่เกือบจะเชื่อว่าภรรยาของเขาคือหญิงงามจริง ๆ
มิใช่หญิงอัปลักษณ์ที่เกือบจะต้องร่วมหอด้วยเมื่อห้าปีก่อน
“ท่านแม่ทัพเองก็มีความสุขดีกับเหล่าหญิงงาม และคงมิคิดกลับเมืองเทียนโจวในเร็ววันนี้ มิสู้ปล่อยนางให้เป็นอิสระ ฝากหนังสือหย่ากลับบ้านเหลียนซานมิดีกว่าหรือ”
พอกล่าวจบ สองพี่น้องก็ถูกโยนออกจากจวนของท่านแม่ทัพหยางเหวินเย่ ไม่ได้โต้เถียงต่อรองอันใดกับบุรุษผู้ลืมเลือนว่าตนยังมีภรรยารออยู่ที่เมืองเทียนโจวอีก
คำกล่าวของแขกจากต่างเมืองทำให้ท่านแม่ทัพเลือดร้อนวัยสามปีเอ็ดปี หมดอารมณ์สนุกกับบรรดาสาวงามจากหอคณิกาชื่อดัง ความต้องการทางกายเจือจางเมื่อถูกเตือนให้จำได้ว่าตนมิใช่ชายไร้พันธะ ทว่ามีภรรยาที่อายุห่างกันถึงสิบสองปีรออยู่ที่บ้านเหลียนซาน
ภรรยาที่เขามิต้องการ!
บ้านเหลียนซานมิอนุญาตให้บ่าวชายเข้าไปยุ่มย่ามพื้นที่ด้านในยามค่ำคืนเพื่อความปลอดภัยของคุณหนูเถียนเถียน จึงมีเพียงจางฉวนและบ่าวหญิงช่วยกันประคับประคองร่างที่ยังมิได้สติกลับเข้าบ้านไป ส่วนหยางซือถงเร่งออกไปนำม้าที่ถูกทิ้งไว้ด้านนอกเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน ก่อนจะก่นด่าลูกชายคนเดียวไปตามเรื่อง“อา” จางฉวนเสนอตัวคอยเฝ้าคนเมา ทว่ากลับถูกปฏิเสธ“จางฉวนพาท่านพ่อไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วก็อย่าลืมดูท่านแม่ด้วยว่าดื่มยาแล้วหรือยัง” เถียนเถียนอธิบายต่อไปคุณชายบาดเจ็บศีรษะแตก เพราะหกล้มเมื่อครู่ที่ผ่านมา คงกระทำการหักหาญน้ำใจใครมิได้ บ่าวของนางจึงยอมจากไป“เจ้าลูกคนนี้ไม่ไหว กลับบ้านทั้งก็เมาแอ๋ไม่เป็นผู้เป็นคน นอกจากเรื่องรบราฆ่าฟันสู้ศึกเก่งกาจแล้ว หามีเรื่องอันใดทำให้ข้าชื่นใจได้ไม่ แล้วนี่เถียนเถียนมั่นใจแล้วหรือว่าจะมิให้มันนอนในห้องรับแขก” ท่านพ่อสามีเอ่ยถามสาวงาม“ห้องนี้เดิมทีก็เป็นห้องของท่านพี่ เถียนเถียนต่างหากที่สมควรย้ายไปนอนห้องอื่น”“แต่เจ้าก็นอนอยู่ในห้องนี้มาตั้งห้าปีแล้ว ให้เปลี่ยนที่กะทันหันก็คงนอนมิหลับ” ผู้อาวุโสของบ้านถอนหายใจหลังจากพูดจาเกลี้ยกล่อมกันอยู่นาน พ่อสามีก็ยอมกลับไปพักผ่
พอเวลาเลื่อนเลยได้ห้าปีเศษ ชาวเมืองเทียนโจวก็ลืมไปแล้วว่านางคือสะใภ้สกุลหยาง พากันเรียกขานสาวน้อยว่าคุณหนูเถียนเถียน เสมือนว่านางคือลูกสาวอีกคนของหยางซือถงและฮูหยินหยางชิวเหยาสองผู้อาวุโสปลื้มใจเพราะได้ลูกสะใภ้ดี นางเรียกขานกันว่าท่านพ่อท่านแม่ คอยเอาอกเอาใจ จนทำให้สองสามีภรรยาเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีบุตรชายที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงอีกคนหนึ่ง“บ่ายนี้เรามีนัดกับผู้ใดหรือ”เถียนเถียนเอ่ยถามบ่าวคนสนิทจางฉวน บ่าวใบ้ทำมือทำไม้บอกกับคุณหนูว่าเป็นลูกค้ารายใหม่ ชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงกำยำได้ยินทุกอย่าง ทว่าตอบโต้ได้ด้วยภาษามือเท่านั้น ทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านสกุลหยางพร้อมกัน ครอบครัวของเถียนเถียนนึกสงสารเด็กน้อยบ้าใบ้ จึงรับเลี้ยงดูให้อยู่เป็นเพื่อนเล่นของคุณหนูเถียนเถียนมีความเมตตามากตั้งแต่ยังเด็ก ยามบ่าวใบ้ป่วยไข้ก็ขอให้ท่านพ่อช่วยเรียกหมอมาดูแล หากถูกกลั่นแกล้งก็จะออกโรงยอมลงแรงปกป้อง มิยอมให้คุณหนูสกุลอื่นหรือคนในบ้านรังแก และนั่นทำให้จางฉวนซื่อสัตย์รักมั่นต่อคุณหนู ทว่าร่างกายของเขาก็มิค่อยแข็งแรง จึงทำได้เพียงหยิบจับนู่นนี่ ช่วยล้างพู่กันเตรียมกระดาษไปตามเรื่องกระทั่งอายุมากขึ้นจึงแข็
ชะรอยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นที่น่าขบขันสำหรับองค์ชายรัชทายาท ทว่าสามีผู้ที่ถูกขอให้หย่าขาดจากภรรยากลับมิได้รู้สึกเช่นเดียวกัน ทั้งยังประหลาดใจที่มีบุรุษรูปงามถึงสองชีวิต กล่าวว่าภรรยายังเยาว์ของเขานั้นงามเหนือหญิงใดในเมืองเทียนโจว แน่นอนว่าเรื่องนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ด้วยสตรีที่งดงามหาผู้ใดเทียบได้ยาก ก็คืออดีตคนรักของเขานั่นเอง“น่าประหลาดใจยิ่งนัก มิใช่เจ้าบอกว่า ภรรยาหน้าตาอัปลักษณ์ ถึงขั้นเห็นแล้วจวนจะอาเจียนมิใช่หรือ”“คำพูดที่ว่าเอ่ยในยามข้ายังเยาว์อยู่ ออกจะเกินจริงไปบ้าง นางแค่มีหน้าตาธรรมดา หากเทียบเคียงกับ...” หยางเหวินเย่ยังมิกล้าเอ่ยชื่อนางผู้ทำให้เขากลายเป็นคนไร้หัวใจและลืมเลือนรอยยิ้มของตนหลังจากความสูญเสีย“เจ้าก็มิได้กลับไปเยี่ยมบิดามารดานานมากแล้ว บ้านเมืองยามนี้สงบเงียบ อยู่เมืองหลวงก็มิได้มีงานอันใด กลับไปเยี่ยมเทียนโจวสักสองสามเดือนมิดีหรือ” องค์ชายรัชทายาทคำนวณดูแล้วพบว่าภรรยาของสหายน่าจะอายุได้สิบเก้าปีบริบูรณ์ ถึงเวลาที่จะต้องออกเรือนอย่างเป็นทางการแล้วทั้งยังย้ำอีกว่าในสองเดือนข้างหน้า คือวันคล้ายวันเกิดของอดีตที่ปรึกษาคนสำคัญ บุตรชายคนเดียวของตระกูลหยาง
เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังออกมาจากเรือนของท่านแม่ทัพเลื่องชื่อ วาจาออดอ้อนของหญิงคณิกาอันดับต้น ๆ จากหอโคมเขียวจำนวนมากถึงสิบนาง ล่อลวงให้คนฟังลุ่มหลงจนยากจะปฏิเสธ ส่วนเสียงหัวเราะของบุรุษ กลับมิได้ดังออกมาจากปากของตัวเจ้าของจวนเอง ทว่าคือองค์ชายรัชทายาทจากวังหลวง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์ไท่จื่อพยายามที่จะชักชวนให้สหายกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม ด้วยหลังเสร็จสิ้นศึกสงครามในคราวนั้นแล้ว หยางเหวินเย่ก็คล้ายจะทำรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งหายไปด้วยแม่ทัพหนุ่มรูปงามปล่อยให้หญิงสาวบีบนวดระหว่างร่ำสุรายามบ่ายกับสหายสูงศักดิ์ สีหน้าของหยางเหวินเย่มิได้ยินดียินร้าย หากหญิงงามนางใดจูบมา เขาก็โต้ตอบอย่างอ้อยอิ่งเกียจคร้าน หากนางใดเบียดตัวเข้าใกล้ ก็จะบีบตรงนั้นจับตรงนี้ไปตามเรื่อง หรือถ้าเกิดความต้องการมากเข้า เขาก็จะลากพวกนางเข้าห้องไปด้วยกัน จะสองหรือสามนาง ก็แล้วแต่อารมณ์ปรารถนาทว่าความรู้สึกในวันนี้กลับต่างออกไป“ข้าเห็นชายหนุ่มสองคนยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าจวน จะมิเชื้อเชิญเข้ามาสักหน่อยหรือ”องค์ไท่จื่อเยว่หยาง สอบถามสหายหน้าตาย ขณะมือเรียวรินสุราไผ่เขียวชั้นดีที่นำออกจากวังหลวงมาด้วย ทุก ๆ สิบวัน
แรกวิวาห์คือค่ำคืนที่เจ้าสาวคาดหวังว่าจะได้รับการดูแลทะนุถนอมตามวาสนารัก ทว่าความจริงกลับแตกต่างจากบทละครในโรงน้ำชาอยู่หลายส่วน สตรีหลายนางต้องทรมานเพราะความไม่รู้จักพอของบุรุษ บ้างก็ร่ำไห้เพราะถูกบังคับให้ร่วมหอกับคนแปลกหน้า บ้างก็หลับสนิทเพราะเหนื่อยจากงานพิธีมาตลอดทั้งวัน แต่สำหรับดวงหน้าหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดง เรื่องราวกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเสียงอาละวาดของบุรุษชุดแดงดังลั่นบ้าน ปกติแล้วเขามิใช่คนชอบออกความเห็น เว้นแต่เป็นเรื่องกลยุทธ์การศึกหรือการทหารที่ตนได้รับการมอบหมาย ทว่าวันนี้กลับต้องเอ่ยถ้อยความขัดใจผู้ให้กำเนิดสักหลายคำ เรื่องถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลนั่นเขาพอจะยอมรับได้ เรื่องช่วยเรื่องปกป้องสตรีให้รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อนั่นก็สมควรกระทำ แต่การถูกไล่ต้อนกลับเข้าห้องนอนที่มีสตรีอัปลักษณ์รอร่วมหออยู่ เขามิอาจฝืนใจตนเองได้“อย่างไรก็ต้องเข้าหอ ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี!” ผู้อาวุโสของบ้านตวาดเสียงดัง“พรุ่งนี้ข้าก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว ผูกพันกันไปรังแต่จะทำร้ายนางเสียเปล่า!”“เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ไม่เคยทุ่มเถียงให้ข้าลำบากใจ แต่พอรั้งตำแหน่งแ