บทที่ 10 แม่ทัพคนใหม่
ภายในท้องพระโรงของแคว้นเจี้ยนเต็มไปด้วยความตึงเครียด หานอี้หลงรายงานความคืบหน้าของงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอันที่อยู่ข้างเคียงด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด ปัญหาการก่อสร้างที่ขลุกขลักมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ฮ่องเต้หงจูเหลียงถึงกับหัวเสียขึ้นมาในทันที หานอี้หลงถูกตำหนิเป็นอันมากจนแทบจะเข้าหน้าหงจูเหลียงไม่ติด
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท...หม่อมฉันจะเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวลพระทัย”
“เจ้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ข้ามิต้องการได้ยินคำแก้ตัวใดอีก” หงจูเหลียงตวาดออกมาในทันที
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หานอี้หลงได้แต่รับคำด้วยความรู้สึกตึงเครียดและกดดัน
หลังจากนั้นการประชุมราชกิจก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลยอย่างยาวนาน ก่อนที่หงจูเหลียงผู้กุมอำนาจใหญ่ในแคว้นเจี้ยนได้หันไปหาขันทีคู่ใจอย่างให้สัญญาณ
“เชิญใต้เท้าจางลู่เหวินเข้าเฝ้า” เสียงขันทีประกาศดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
จางลู่เหวินก้าวเท้าเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางที่สุขุมและเยือกเย็น หน้าตาคมคายแต่กลับดูแข็งกร้าว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่แข็งแรงจากการเคี่ยวกรำในศึกสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน
สายตาคมกริบของจางลู่เหวินปรายตามองไปยังหานอี้หลงเพียงชั่วแวบหนึ่งก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาหานอี้หลงถึงกับขมวดคิ้วอย่างรู้สึกแปลกประหลาดใจกับท่าทีดังกล่าว สัญชาตญาณของเขาบ่งบอกอยู่ในที ว่าการปรากฏตัวของจางลู่เหวินนั้นมิใช่มีท่าทีเยี่ยงมิตรเป็นแน่
“ข้าน้อยจางลู่เหวิน ขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์จงพระเจริญยิ่งยืนนาน” จางลู่เหวินคุกเข่าลงตรงหน้าหงจูเหลียงพร้อมก้มลงคำนับอย่างนอบน้อม
“เจ้าลุกขึ้นเถิด” หงจูเหลียงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่เย็นเยือกจนให้ความรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งท้องพระโรง
“ด้วยผลงานการรบที่ได้รับชัยชนะจากการทำศึกที่ผ่านมาของจางลู่เหวิน...ฮ่องเต้มีราชโองการ แต่งตั้งจางลู่เหวินให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น ประทานกองทัพสี่หมื่นนาย จวนสกุลจางหนึ่งหลัง พร้อมหีบทองสิบหีบเป็นรางวัลในครั้งนี้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” จางลู่เหวินโขกศีรษะลงกับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นรับราชโองการดังกล่าว
สิ้นเสียงของขันทีที่ประกาศก้องกับการแต่งตั้งจางลู่เหวินเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ขุนนางน้อยใหญ่เป็นอันมาก ขุนนางในท้องพระโรงต่างกระซิบกระซาบถึงการปรากฏตัวของเขา ไม่เพียงแต่เพราะตำแหน่งที่สูงส่งดังกล่าว แต่จางลู่เหวินกลับเป็นเพียงบุรุษนิรนามที่มิเคยมีผู้ใดได้ยินชื่อเสียงมาก่อน แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หงจูเหลียงเป็นอย่างมากอีกด้วย
จางลู่เหวินยังคงยืนด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง แววตาแข็งกร้าวของเขากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
“แม่ทัพจาง...ต่อไปเจ้าก็เข้าร่วมประชุมในราชสำนักนับแต่นี้เถิด” หงจูเหลียงกล่าวในทันทีที่เริ่มได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังกล่าว เขากล่าวตัดบทอย่างต้องการแสดงอำนาจให้ผู้คนได้เห็นว่าจางลู่เหวินนั้นได้รับความโปรดปรานจากเขาอย่างที่ทุกคนคาดเดากันถูกต้องแล้ว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” จางลู่เหวินกล่าวเสียงหนักแน่นและมั่นคง
หงจูเหลียงยิ้มบางออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับโบกมือให้จางลู่เหวินไปยืนด้านข้าง ในตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องไปที่จางลู่เหวินอย่างระแวดระวัง บางคนก็แฝงไปด้วยความสงสัย บางคนก็มองเขาด้วยความริษยา ในขณะที่บางคนก็พยายามขบคิดถึงการเข้าหาขั้วอำนาจใหม่ตรงหน้าอย่างรู้งาน แต่ถึงกระนั้นกลับมิมีผู้ใดกล้ากล่าวคำทัดทานออกมาอย่างเปิดเผยให้เป็นที่ขัดหูขัดตาแก่หงจูเหลียง
“ในเมื่อท่านแม่ทัพจางเพิ่งกลับจากศึกสงคราม เช่นนั้นข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าในฐานะวีรบุรุษแห่งแคว้น” หงจูเหลียงยังคงเอ่ยปากจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อเป็นการเสริมอำนาจและบารมีให้กับจางลู่เหวินอย่างมิปิดบังพร้อมเชิญขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้อีกด้วย
“เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน” หงจูเหลียงกล่าวจบ ก็สะบัดกายเดินออกจากท้องพระโรงไป
ภายหลังจากหงจูเหลียงออกจากท้องพระโรงแล้ว เสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
จางลู่เหวินมิได้สนใจเสียงนกเสียงกาอันใด เขาทำเพียงหันกายเดินออกจากท้องพระโรงไปด้วยท่าทางสงบนิ่งเฉกเช่นเดิม
หานอี้หลงมองตามจางลู่เหวินที่เดินออกไปด้วยความรู้สึกหวาดระแวงเพิ่มมากขึ้น ความวิตกกังวลฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่างมิอาจปิดบัง แม้เขาจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นซึ่งมิค่อยข้องเกี่ยวกับขุนนางฝ่ายบู๊มากสักเท่าใดนัก แต่ท่าทีของจางลู่เหวินกลับทำให้เขาอดนึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างช่วยมิได้
ในขณะที่หานอี้หลงก้าวเดินออกจากวังหลวง พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับจางลู่เหวินที่ยืนตระหง่านดังกำลังรอคอยใครบางคนอยู่
เมื่อหานอี้หลงเดินผ่านจางลู่เหวิน เขาจึงทำตามมารยาทอย่างมิอาจหลบเลี่ยง “ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วย”
จางลู่เหวินยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตร “ต่อไปพวกเราคงได้พบกันอีกหลายครา...ข้าคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าหานชี้แนะแล้ว”
คำพูดที่ดูมีเลศนัยทำให้หานอี้หลงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขายังคงเก็บอาการไว้อย่างมั่นคง “หามิได้ ข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ท่านเป็นขุนนางฝ่ายบู๊จะมีสิ่งใดให้ข้าชี้แนะเล่า”
“ได้ยินมาว่าฮูหยินของท่านช่างงดงามยิ่งนัก ท่านทั้งสองรักใคร่ผูกพันสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก หากวันหน้าข้าได้เห็นกับตาคงนับเป็นวาสนายิ่ง”
หานอี้หลงถึงกับขมวดคิ้วกับคำสนทนาดังกล่าว “แม่ทัพจางกล่าวเกินจริงเสียแล้ว ข้าทั้งสองเป็นเพียงสามีภรรยาคู่หนึ่งมิได้นับว่าพิเศษอันใด”
“หึ...หึ...” จางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาพร้อมสายตาที่ดูหม่นหมองลงไป ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างแฝงความเคืองแค้นอยู่ในที “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
จางลู่เหวินเดินจากมาโดยมิรอให้หานอี้หลงกล่าวคำอำลา เขาก้าวเท้าขึ้นบนรถม้า ก่อนจะปรายสายตาจ้องมองหานอี้หลงอีกครั้ง “ชิวเหยา...ข้ากลับมาแล้ว...ด้ายแดงที่ผูกพันเจ้ากับข้า...ข้าย่อมมิยอมปล่อยวางเป็นแน่”
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน