หยางชิวเหยา บุตรสาวคนโตของจวนสกุลหยาง ผู้เกิดจากอนุต่ำศักดิ์ มีใจรักมั่นกับจางลู่เหวิน บัณฑิตยากไร้ผู้ต่ำต้อย แต่แล้วโชคชะตากลับชักนำให้นางต้องแต่งงานกับหานอี้หลง บุตรชายคนเดียวของสกุลหาน เมื่อคนหนึ่งถูกพรากจากคนรักพร้อมความแค้นที่สุมอก ส่วนอีกคนหนึ่งก็รักมั่นและเฝ้ารอเพียงแต่นางผู้เดียว เรื่องราวความรักสามเส้าจึงเกิดขึ้น....
View Moreบทที่ 1 ตัดขาดสัมพันธ์
“ชิวเหยา เจ้าให้ข้ามาพบอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ” จางลู่เหวินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาหยางชิวเหยาคนรักของเขาตรงหน้า พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม ในขณะที่ดวงตาทั้งสองของเขาจ้องมองนางด้วยความรักใคร่และอ่อนโยน
หยางชิวเหยาที่มีสีหน้าเคร่งเครียด นางสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมพยายามเก็บซ่อนความสั่นไหวในน้ำเสียง ก่อนจะเบือนหน้าหลบสายตาดังกล่าว “ลู่เหวิน ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า” หยางชิวเหยากล่าวเสียงเย็นเยือกและจริงจัง
สายลมเย็นแห่งยามพลบค่ำพัดผ่านร่างทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหน้าของจวนสกุลหยาง ความหนาวเย็นที่พัดผ่านร่างบางยังไม่เหน็บหนาวเท่ากับหัวใจของนางในตอนนี้ เรือนผมดำขลับของนางถูกรวบไว้อย่างประณีต ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยทำให้นางดูอ่อนหวานและสง่างาม แต่ใบหน้าที่งดงามราวภาพวาดนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลและความเศร้าลึกที่ไม่อาจปิดบังได้
หยางชิวเหยากำมือแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอออกมา ในใจของนางเจ็บปวดและหนักอึ้ง คำพูดที่หยางชิวเหยาจำต้องต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดที่นางไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะต้องจบลงเช่นนี้
จางลู่เหวินในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาสีเทาที่ดูเรียบง่าย ทว่าความสง่างามในท่วงท่าของเขากลับโดดเด่น ใบหน้าที่คมสันกับคิ้วเข้มที่คาดเหนือดวงตาทำให้เขายิ่งดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์ยิ่งนัก
จางลู่เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาขยับเท้าเดินเข้าไปใกล้หยางชิวเหยาอย่างนึกแปลกใจในท่าทีของคนรัก “ชิวเหยา...เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”
หยางชิวเหยากลืนน้ำลายเหนียวลงคอ สายตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความลังเล หยางชิวเหยากัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ลู่เหวิน...บัดนี้ข้ากำลังเตรียมตัวแต่งงาน เรื่องราวระหว่างเราทั้งสองขอให้จบลงแต่เพียงเท่านี้เถิด”
คำพูดของหยางชิวเหยาดังก้องในความเงียบงัน จางลู่เหวินยืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ รอยยิ้มอบอุ่นของเขาค่อยๆ เลือนหายไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ชิวเหยา... เจ้าพูดสิ่งใดออกมา”
“ลู่เหวิน...ข้าหมายความเช่นนั้นจริงๆ” หยางชิวเหยาพูดเสียงเข้มขึ้น น้ำตาที่เอ่อคลอจนใกล้จะหยดลงอาบแก้ม หยางชิวเหยารีบหันกายพร้อมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นางพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเจ็บช้ำเอาไว้ พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ลู่เหวิน...ท่านกับข้าแตกต่างกันยิ่งนัก...ท่านเป็นเพียงบัณฑิตยากแค้น ส่วนข้าคือบุตรสาวสกุลหยาง ฐานะเช่นท่านนั้นมิอาจเกี่ยวดองกับข้าได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็อย่าได้มาหาข้าอีกเลย”
จางลู่เหวินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ราวกับคำพูดของหยางชิวเหยาเป็นดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปภายในหัวใจเขา ดวงตาของเขาสั่นไหวก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดและคับแค้น “ชิวเหยา...เจ้ากับข้ารักใคร่ผูกพัน...เจ้าเคยสัญญาว่าจะรอข้า อีกไม่นานก็จะมีการสอบจอหงวน ข้ามั่นใจข้าจะต้องคว้าตำแหน่งนั้นมาได้แน่”
หยางชิวเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ก่อนจะหันกายมาเผชิญหน้ากับจางลู่เหวินด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยพร้อมสายตาที่แปรเปลี่ยนไปด้วยความดูแคลน
“ลู่เหวิน ข้าไม่คิดว่าท่านจะจริงจังมากขนาดนี้ ตอนนี้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน ข้าอับอายที่ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านเช่นนี้ ข้านึกดูแคลนที่ต้องเห็นหน้าท่านอยู่ทุกเมื่อ”
“ชิวเหยา...ไม่จริง...นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากพูดเป็นแน่...หรือว่ามีใครบีบบังคับเจ้ากันแน่...บอกข้ามาเดี๋ยวนี้” จางลู่เหวินบีบแขนทั้งสองข้างของหยางชิวเหยาอย่างต้องการคาดคั้นเอาความจริงจากปากนาง หยางชิวเหยาไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่ นางกับเขารักใคร่กันมากเพียงใด ใจของเขาย่อมรู้ดีกว่าใคร แม้เขาจะเป็นเพียงบัณฑิตผู้ต้อยต่ำที่ริอ่านเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม แต่หยางชิวเหยาก็หาได้รังเกียจเขาแม้แต่น้อย กลับตรงกันข้าม นางพยายามให้กำลังใจเขามาโดยตลอด พร้อมสัญญาว่าจะรอให้เขาสอบจอหงวนได้แล้ว นางกับเขาจะแต่งงานกันในเร็วที่สุด
หยางชิวเหยาส่ายหน้าช้าๆ แม้หัวใจของนางแทบจะแตกสลาย หยางชิวเหยากัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยต่อ “ลู่เหวิน...ไม่มีใครบังคับข้า ข้าพูดจากใจจริงของข้าเอง”
“ไม่จริง...ข้าไม่เชื่อ” จางลู่เหวินตะโกน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความโกรธ “เจ้ากำลังโกหกข้า...ข้ารู้ว่าเจ้ายังรักข้า”
ชิวเหยากัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น นางเชิดหน้าขึ้นมองสายตาที่ร้าวรานตรงหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ “ไม่ว่าจะรักหรือไม่รัก มันไม่สำคัญอีกแล้ว วาสนาเราจบสิ้นเพียงเท่านี้ ขอท่านอย่าได้มายุ่งกับข้าอีก”
หยางชิวเหยาพูดจบก็สะบัดกายจากการเกาะกุม พร้อมหันไปสั่งบ่าวรับใช้ด้านข้าง “ขับไล่คนผู้นี้ออกไปเสีย ต่อไปอย่าให้เขามาเกะกะด้านหน้าจวนอีก”
จางลู่เหวินมองหยางชิวเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสับสน ร่างหนาพยายามสะบัดจากการเกาะกุมของบ่าวรับใช้ของจวนสกุลหยางอย่างสุดกำลัง
“ถ้าเช่นนั้น...” จางลู่เหวินพูดเสียงบีบเค้น ดวงตาของเขาเริ่มมีประกายความแค้น “ข้าจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าแม้แต่บัณฑิตยากจนอย่างข้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของตัวเองได้”
หยางชิวเหยาหลับตาลงอีกครั้ง ริมฝีปากของนางสั่นไหว แต่เมื่อหยางชิวเหยาลืมตาขึ้น นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ตามใจท่านเถิด แต่ข้าขอร้องให้ท่านอย่ามายุ่งกับข้าอีก”
จางลู่เหวินจ้องมองหยางชิวเหยาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ประตูของจวนจะปิดลงพร้อมร่างบางที่หันหลังเดินกลับไป ร่างแกร่งถูกจับโยนไปด้านหน้าของจวนอย่างไม่แยแส จางลู่เหวินทรุดลงกับพื้น น้ำตาของเขาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย แม้หยางชิวเหยาจะพูดออกไปอย่างเด็ดขาด แต่ภายในหัวใจของเขากลับไม่อาจเชื่อได้แม้เพียงเล็กน้อย ในที่สุดความเงียบงันก็กลับมาปกคลุมพร้อมความมืดมิดอีกครั้ง มีเพียงสายลมที่พัดผ่านให้ความรู้สึกหนาวเยือกเท่านั้นที่เป็นสักขีพยานแห่งความรักที่ถูกพรากไปตลอดกาล
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส
Comments