ตะวันทอแสงอ่อนเข้าผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน
หวังชิงหว่านรู้สึกตัว นางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ร่างกายเหมือนสูบเรี่ยวแรง เห็นเซียวอี้หยางเปลือยกายนอนอยู่ด้านข้าง เหม่อมองอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอือมมือไปสะกิดอีกฝ่าย
“ท่านพี่” ด้วยเนื้อเสียงของหญิงสาว เสียงที่เปล่งออกมาดูออดอ้อนด้วยความคำหวานทำให้เซียวอี้หยางได้สติลืมตาขึ้นมาทันที เห็นหวังชิงหว่านนอนเปลือยกายอยู่ข้าง ๆ ก็มองด้วยหลงใหล มือยื่นออกไปตั้งใจลูบไล้กายหญิงสาวอย่างห้ามไม่อยู่ หวังชิงหว่านเบี่ยงกายหลบแล้วพูดขึ้น
“ท่านพี่ ตอนนี้ก็สายมากแล้วพวกเราต้องไปยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสนะเจ้าคะ”
เซียวอี้หยางพลันระลึกขึ้นได้ รีบเก็บงำความปรารถนาพูดขึ้น “น้องหญิง...ข้าจะเตรียมน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าล้างตานะ รอสักครู่”
พอลุกออกจากเตียงเขาก็มองเห็นเสื้อผ้าถอดทิ้งอยู่ข้างเตียงก็รีบก้มเก็บจากนั้นก็เดินออกไป
หวังชิงหว่านมองตามสามีพลางอมยิ้ม เดิมควรเป็นภรรยาปรนนิบัติสามี ในเมื่อสามีนางไม่ถือ นางก็ไม่ถือ
เซียวอี้หยางกลายร่างเป็นบุรุษสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม แต่ว่าความป่าดิบเถือนของตลอดทั้งคืนของอีกฝ่าย ทำให้หวังชิงหว่านสรุปได้ว่า ไม่อาจมองคนที่ภายนอกจริงๆ
หลังล้างหน้าล้างตาแต่งกายเรียบร้อย เซียวอี้หยางก็จูงมือหวังชิงหว่านไปยังเรือนใหญ่
แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าเรือนใหญ่ก็ยังเล็กกว่าเรือนเดิมของหวังชิงหว่านเมื่อครั้งอยู่ตระกูลหวังอยู่มากและเรือนอยู่ห่างกันไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น ด้วยระยะห่างเท่านี้... ใบหน้าของหวังชิงหว่านเห่อร้อนขึ้นมา เสียงกิจกรรมเร่าร้อนเมื่อคืน เป็นไปได้ว่าคนที่นี่คงได้ยินกันหมด
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นเด็กสาวกับเด็กชายคู่หนึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเรือน พวกเขาเห็นทั้งสองคนเดินมาก็ตะโกนทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มาแล้วเจ้าคะ”
พูดเสร็จทั้งสองก็หันมาคารวะคนตรงหน้าพลางเอ่ย
“พี่ชายใหญ่ พี่สะใภ้” เซียวอี้หยางเอ่ยแนะนำเด็กทั้งสอง
“นี่น้องชายข้า เซียวลู่อันและน้องสาวข้าเซียวลี่อิน”
หวังชิงหว่านทักทายมารยาทเสร็จเซียวอี้หยางก็พาหวังชิงหว่านเข้าไปในเรือน
พอทั้งสองก้าวเข้าไปในเรือนเสียงที่ดังอยู่ก็พลันเงียบลงจนสงัด หวังชิงหว่านในวันนี้แต่งกายไม่นับว่าหรูหราฉูดฉาด สวมเพียงอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ไม่มีลวดลายปัก..แต่นับว่ายิ่งเรียบง่ายยิ่งขับให้เรือนผมและผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าหวานละมุนสะอาดตา แววตาสดใสริมฝีปากอิ่มรอยยิ้มดูน่าสนิทสนม
พวกเขาต่างจ้องมองมาที่ชิงหว่านอย่างตกตะลึง ภายในใจของแต่ละคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง นัยน์ตาวูบไหวไปมาหลากหลายอารมณ์จนหวังชิงหว่านอมยิ้มในใจ คนเหล่านี้นับว่าเป็นคนปกติต่างจากคนในความจำหวังชิงหว่านเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
ส่วนเซียวอี้หยางกำลังตกใจกับผู้คนในห้องโถง ชายหนุ่มกวาดตามองรอบหนึ่งจากนั้นก็ส่งสายตาคำถามไปหามารดา
เซียวฮูหยินจึงยิ้มแห้งๆ กล่าวเสียงแผ่วเบา
“วันนี้เป็นวันดี ญาติ ๆ จึงมาแสดงความยินดีอีกครั้ง สกุลเซียวเป็นตระกูลเล็ก ๆ ไม่มีพิธีมากขั้นตอน หวังว่าสะใภ้หวังจะไม่ถือสา”
หวังชิงหว่านปรายตามองดูคนในห้องพลางนึกในใจ คาดว่าพวกเขาจะมาดูเรื่องตลกเสียมากกว่า แต่นางก็โค้งศีรษะแสดงความอ่อนน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองหลานชายที่จูงมือภรรยาเข้ามา จากสีหน้าและท่าทางสนิทสนมของพวกเขาเมื่อคืนเข้าหอคงผ่านไปอย่างเรียบร้อย นางถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อมาแล้ว...หลานสะใภ้ก็ยกน้ำชามาเถอะ”
เซียวลี่อินได้ยินคำสั่งก็ถาดน้ำชาเข้ามา เซียวอี้หยางคอยแนะนำคนในตระกูลให้หวังชิงหว่านด้วยความใส่ใจ เดิมทีผู้อาวุโสจะมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่า บิดามารดาของเซียวอี้หยางเท่านั้น ท่านอาหลายท่านต่างแยกครอบครัวออกไปแล้ว มีเรือนอยู่ในตรอกซอยเดียวกันบ้าง ต่างจากหมู่บ้านบ้าง แต่ทุกคนเหมือนพร้อมใจกันมาเยี่ยมเยือนในวันนี้
“หลานสะใภ้งดงามสมคำล่ำลือจริง ๆ” อาสะใภ้คนหนึ่งพูดขึ้นพลางพินิจมองหวังชิงหว่านด้วยสายตาชื่นชม
หวังชิงหว่านยิ้มกล่าวขอบคุณ พิธียกน้ำชาผ่านไปอย่างเรียบง่าย เซียวอี้หยางกลัวว่าภรรยาตัวน้อยจะไม่พอใจที่ญาติตนเองทำผิดธรรมเนียมเสร็จพิธีก็รีบพานางกลับเรือน พอทั้งสองคนออกไปภายในห้องโถงก็เริ่มซุบซิบอีกครั้ง
“คำล่ำลือที่ว่านางไม่ยินดีแต่งให้หลานอี้หยาง ข้าว่าไม่มีส่วนจริงสักนิด...”
เซียวฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วยกับอาสะใภ้พูดตอบ
“เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของอี้หยางข้าก็สบายใจ...ตอนนั้นได้ยินข่าวว่านางประกาศ ถึงจะตายก็ไม่ยอมเป็นฮูหยินสกุลชาวนาเด็ดขาด ข้าแทบนอนไม่หลับ”
อีกคนกำลังจะเอ่ยเสริมเสียงดุดันหนึ่งดังขึ้น
“พวกเจ้าก็พูดเรื่องนี้ให้น้อยลงเสียบ้าง...ในเมื่อนางแต่งเข้ามาแล้วก็นับเป็นคนในตระกูลเดียวกัน จะเอ่ยวาจาอะไรก็ให้ระวังให้มาก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านแม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเตือนทุกคนก็ขานรับทันที
เซียวอี้หยางพาหวังชิงหว่านกลับมาถึงเรือนหลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ ปรับเปลี่ยนอาภรณ์เขาก็เอ่ยขึ้น “น้องหญิงพักผ่อนเสีย ข้าจะขึ้นเขาไปตัดฟืนเสียหน่อย”
หวังชิงหว่านขมวดคิ้วมองอย่างประหลาดใจ เชียวอี้หยางกระอักกระอ่วนจะกล่าวแต่ก็เอ่ยออกไป “แม้ว่าข้าจะลาราชการมา 3 วันแต่ตอนนี้ฟนที่บ้านเหลือน้อยแล้ว ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
หวังชิงหว่านเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเกรงว่าจะเข้าใจผิดจึงพูดขึ้น “ท่านพี่...เช่นนั้นก็ให้ข้าไปด้วยเถอะ”
เซียวอี้หยางรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ ๆ การขึ้นเขาไปตัดฟืนไม่ใช่เรื่องง่าย น้องหญิงรอที่เรือนเถอะ”
ใบหน้าหวังชิงหว่านตึงขึ้นมาเอ่ย “ท่านคงเกรงว่าข้าเป็นภาระใช่หรือไม่”
ใบหน้าเซียวอี้หยางเต็มไปด้วยความลำบากใจ ชายหนุ่มกำลังสรรหาถ้อยคำปฏิเสธ แต่พอสบตามุ่งมั่นของหวังชิงหว่านก็ไม่กล้าเอ่ย ได้แต่พยักหน้ายอมรับ
ชิงหว่านยิ้มกว้างแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้น ข้าจะไปปรับเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อน” พูดเสร็จนางก็ก้าวเท้าเดินไปหลังฉากกั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางพูดขึ้น
“ต่อไปนี้สิ่งใดที่ต้องทำท่านก็แนะนำข้าด้วย อย่ามองข้าเป็นคนอื่น” เซียวอี้หยางมองเงาหญิงสาวที่หลังฉากกั้นแววตาของเขาประกายอบอุ่นขึ้นมา ตอบ “ได้..ข้าคงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
หวังชิงหว่านเดินออกมาในชุดของบุรุษสีดำ เซียวอี้หยางจ้องมองด้วยแววตาประหลาดใจ หญิงสาวเลยกล่าว “ข้าว่าชุดของบุรุษน่าจะสะดวกกว่า ท่านคงไม่ถือสากระมัง”
สตรีแต่งกายด้วยชุดของบุรุษไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก เซียวอี้หยางยิ้มตอบ “ข้าแค่แปลกใจที่เจ้าแต่งกายเช่นนี้...ในเมื่อเรียบร้อยแล้วก็ไปกันเถอะ ยิ่งสายอากาศจะยิ่งร้อน”
เห็นเซียวอี้หยางเดินเคียงคู่ออกมาพร้อมหวังชิงหว่าน
ลู่อันกับลี่อินที่นั่งรอหันมามองตาด้วยแววตาประหลาดใจ
“พี่สะใภ้จะไปด้วยหรือเจ้าคะ” ลี่อินพลันเอ่ยถาม
“อืม...”
“จะดีหรือขอรับ” ลู่อันเอ่ยถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เห็นชิงหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลี่อินเกรงว่าพี่สะใภ้จะเข้าใจผิดจึงอธิบายเพิ่ม “ยามปกติ ท่านแม่ไม่อนุญาตให้พี่ชายขึ้นไปตัดฟืน หากวันนี้พวกข้ายังให้พี่สะใภ้ไปช่วยอีก พวกข้ากลัวจะโดนตำหนิ”
ชิงหว่านหันไปมองเซียวอี้หยาง ชายหนุ่มจึงอธิบาย
“ท่านแม่เห็นว่าเป็นขุนนางแล้วไม่ควรจะทำงานพวกนี้ หากคนในราชสำนักมาเห็นท่านเกรงว่าข้าจะโดนดูหมิ่นดูแคลน ในเมื่อเป็นขุนนางแล้วก็ควรตั้งใจทำงานราชการหวังความก้าวหน้าในการงาน แต่ข้าเกิดในครอบครัวชาวนา ข้าไม่ชินที่จะทำอย่างนั้น พอท่านแม่เผลอข้าก็แอบมาช่วยน้อง ๆ ตลอด”
หวังชิงหว่านพยักหน้าเข้าใจ นางคงต้องทำความเข้าใจครอบครัวเซียวอีกหลายอย่าง จึงพูดขึ้น
“เป็นอย่างนี้ได้หรือไม่...ครั้งนี้ถ้าผู้อาวุโสตำหนิ ข้าจะเป็นคนออกรับหน้าแทนเอง” ลู่อันมองหน้าลี่อินแล้วตอบเสียงแผ่วเบา
“ถ้าเป็นพี่สะใภ้ ท่านแม่คงไม่ตำหนิ” แต่เกรงว่าจะตกใจ
หวังชิงหว่ายยิ้มกว้างขึ้น
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะไปตัดฝืน รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
อี้หยางเห็นน้องชายและน้องสาวยิ้มพอใจแล้วจึงพูดขึ้น
“ไปกันเถอะ...จะสายแล้ว”
พอเริ่มก้าวออกมาจากบ้าน ชิงหว่านเงยหน้ามองไปยังท้องนาและท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา นางรู้สึกได้รับพลังมีชีวิตรู้สึกผ่อนคลาย สายลมเย็นรวยรินทุกสิ่งล้วนดีงาม แม้จวนตระกูลหวังจะมีสวนบุปผาเลียนแบบธรรมชาติที่งดงามโดดเด่น แต่นั้นไม่ทำให้รู้สึกสุขใจ นางอยู่ในนั้นแทบจะเป็นบ้า
พอได้มาเจอแสงพระอาทิตย์ตัดกับก้อนเมฆบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เห็นท่าทีของคนในสกุลหวังที่มีต่อตนเองคาดว่าพวกเขาน่าจะยำเกรงนางไม่น้อย และยิ่งตระกูลเล็กยิ่งไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมากมาย ตอนนี้นางอยากจะไปไหนทำอะไรก็ไม่มีคนห้ามแล้ว
ยิ่งคิด หวังชิงหว่านก็ยิ่งเบิกบานใจ
ฝีเท้าก้าวเดินก็ดูกระตืนรือร้นอย่างมาก