บทที่ 3 ก้าวหนี่งก้าว ถอยหลังสองก้าว
“ที่นี่ที่ไหน” ซือเหยาถามออกไป อย่างน้อย ๆ หากนางรู้ว่าตนอยู่ห่างจากจวนของสามีไม่ไกลจะได้แอบเข้าไปกระโดดบ่อน้ำเสียอีกรอบ
“แคว้นหยาง เมืองชายแดนตะวันตก ที่นี่เป็นกระท่อมที่ข้าเปิ ดเป็นโรงหมอ” หลินซือเหยาคิด สามีเก่านางอยู่แคว้นฉู่ นี่คงเป็นอีกมิติหนึ่ง สุดท้ายนางก็ยังไม่ได้กลับบ้าน
“เจ้าเป็นใครหรือ ชื่ออะไรมาจากที่ใด จะให้ข้าติดต่อคนที่บ้านให้หรือไม่” ชายหนุ่มถามยืดยาวแต่ซือเหยากลับตอบสั้น ๆ
“ข้าไม่รู้” เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด และชายตรงหน้าคือมิตรหรือศัตรู นางจึงแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมเอาไว้ก่อน ความกังวลกัดกินหัวใจ หากเขารู้ว่านางมาจากอีกมิติ มีความรู้ความสามารถ บุรุษตรงหน้าอาจคิดหาประโยชน์จากนางอย่างที่หลี่อวิ้นรุ่ยทำกับนาง
ซือเหยาเลือกที่จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ทำเป็นรู้ทุกสิ่ง สุดท้ายก็ได้กลายเป็นเพียงแค่คนประหลาด
“ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”
ใบหน้าของไป๋อวิ๋นฉายแววประหลาดใจ บ่อน้ำที่นางตกลงไปมีความพิเศษ อีกทั้งชุดที่นางสวมใส่ตอนที่เขาพาร่างนางขึ้นมาก็แปลกตา และตัวเขาก็ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่เป็นหมอเทวดาตามที่ชาวบ้านเรียก ไม่มีทางที่หญิงสาวตรงหน้าจะความจำเสื่อมได้ นอกเสียจาก...นางต้องการให้เป็นอย่างนั้น
“หัวของเจ้าคงได้รับการกระทบกระเทือน” ในเมื่อหญิงสาวต้องการหนีเขาก็จะช่วย นี่ก็ถือเป็นหน้าที่ของหมอเหมือนกัน “เช่นนั้นอยู่ที่นี่ให้ข้ารักษาจนกว่าจะหายดี” ไป๋อวิ๋นเดินไปเทยามาให้อีกฝ่ายก่อนจะยื่นให้
“ดื่มตอนร้อน ๆ รสชาติจะยังพอทนไหว”
ซือเหยายื่นมือออกไปรับ คราแรกที่ยาพวกนั้นโดนลิ้น ความขมแผ่ซ่านไปทั่ว แต่มันกลับค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
แม้จะยังไม่ไว้ใจคนตรงหน้า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ดูบังคับขู่เข็ญนางก็จะแสร้งตามน้ำไปก่อน ขอเพียงแค่ร่างกายแข็งแรง จะลองหาวิธีกลับบ้านอีกครั้งก็คงไม่ยากนัก
เมื่อร่างกายของหญิงสาวเริ่มฟื้นตัว นางก็เริ่มสังเกตเห็นวิถีชีวิตของชายหนุ่มที่ได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนหมอธรรมดา แต่ชาวบ้านที่แวะเวียนกันมา รวมถึงคนมีเงินที่ยอมมาสถานที่ที่ดูธรรมดาแห่งนี้กลับเรียกเขาว่าหมอเทวดา
ผู้คนต่างเคารพนับถือเขา ชายหนุ่มแม้จะไม่ได้รับเงินจากทุกคน แต่ก็ไม่เคยขาดอาหาร มีชาวบ้านนำของมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน มีคนคอยช่วยเหลือตลอด ส่วนเงินก็ได้จากเหล่าคหบดีหรือขุนนางที่มารักษา
แม้ไป๋อวิ๋นจะดูเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาหากไม่จำเป็น แต่ก็ไม่ได้ดูเย็นชา แม้จะไม่แสดงออก แต่การกระทำของเขาไม่ต่างอะไรจากนักบุญโปรดสัตว์เลยแม้แต่น้อย
มิเพียงแค่เรื่องรักษาคน แต่หากมีเด็กน้อยถามถึงความรู้ทั่ว ๆ ไปชายหนุ่มก็พร้อมจะสอน
ซือเหยามองดูเขาจัดยา ตรวจชีพจร และจัดเตรียมสมุนไพร เขาวนเวียนทำเช่นนี้ตั้งแต่เช้ายันคำเพียงคนเดียว แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน แรก ๆ นางก็ช่วยทำอาหารให้ แต่มันกลับแทบจะไม่ได้ถูกแตะต้องหากคนที่รักษาของวันนั้นไม่กลับไปจนหมด
เมื่อสังเกตอีกฝ่ายที่ยุ่งอยู่ทั้งวัน ต่างจากตนเองที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งจุดหมายจึงเอ่ยคำที่ทำให้ชีวิตของนางมีความหมายมากขึ้นออกไป
“ให้ข้าช่วยอะไรบ้างได้หรือไม่ ข้าอาจจะไม่รู้เรื่องสมุนไพร แต่ข้ารู้หนังสือ อย่างน้อย ๆ ก็จำอักษรได้ อ่านออกเขียนได้”
หลินซือเหยา ถามอีกฝ่ายขณะที่อีกฝ่ายกำลังจัดเตรียมสมุนไพร เอาไว้สำหรับวันพรุ่ง
ดวงตาคมหันมามอง ก่อนจะที่จะขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ข้าช่วยเตรียมอะไรง่าย ๆ ก็ได้ ตามคำสั่งของท่านหมอ ไม่ทำให้ท่านยุ่งยากหรอก”
ไป๋อวิ๋นพยักหน้า “เช่นนั้นก็หั่นสมุนไพรนี้เป็นแว่นตามนี้ ข้าจะทำตัวอย่างเอาไว้ เจ้าก็ทำตาม วันพรุ่งหากมีอะไรให้เจ้าช่วยเหลือข้าก็จะบอก”
“เจ้าค่ะ” หลินซือเหยาไม่ทันได้ฉุกใจคิดด้วยซ้ำว่าทำไมตอนนี้นางไม่ต้องกินยาแล้ว และทำไมเขาถึงไม่ถามถึงความทรงจำของนาง
นางมัวแต่คิดว่าได้ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องรับรู้อะไรเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้กลับบ้านแต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร แล้วยังอาจจะได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย
ไป๋อวิ๋นมองหญิงสาวที่ตั้งใจทำงานที่เขามอบหมาย เขาแค่อยากรู้ว่าเพราะอะไรนางถึงได้ไม่อยากจำเรื่องเก่า ๆ เช่นนี้
ต่อให้นางบอกมาว่าจำได้เขาก็ไม่ได้คิดจะไล่นางออกไปทันทีหรอก แต่ยิ่งนางทำเช่นนี้ สุดท้ายแล้วนางอาจจะลืมเลือนตัวตนที่แท้จริงของตนไปเลยก็ได้
เรื่องภายก่อนทำให้เจ็บช้ำขนาดไหนกันจึงทำให้คนคนหนึ่งเลือกจะเป็นคนป่วยเช่นนี้
วันแล้ววันเล่า หลินซือเหยาเริ่มเคยชินกับชีวิตใหม่ เช้าตื่นขึ้นมาช่วยดูแลกระท่อมเล็ก ๆ จัดเตรียมสถานที่เอาไว้สำหรับคนไข้ พร้อมกับหุงหาอาหารจากข้าวของที่บรรดาคนที่เชื่อถือในตัวของไป๋อวิ๋นเอามาให้
ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก แต่แท้จริงแล้วเร็วมาก เพราะยามนี้นางมาอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว
แม้จะไม่สามารถหวนคืนกลับไปยังยุคที่เกิดได้ แต่หญิงสาวก็เริ่มลืมความเจ็บปวด แม้จะไม่หมดสิ้น แต่ก็ทำให้บนใบหน้ามีรอยยิ้มได้บ้างแล้ว และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ใจคนมองสั่นไหว
“ท่านหมอ ข้าเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋อวิ๋นพยักหน้า “วันนี้ช่วงบ่ายจะไปตลาดซื้อของนะ เจ้าก็บอกคนที่มาด้วย หากใครมาไกลก็ให้พวกเขาไปพักที่กระท่อมเนินเขา”
“เจ้าค่ะ”
บทที่ 6 เสื่อมถอยสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่แคว้นอีกฟากหลี่โหวมักพาชายารองมาเรือนหมากล้อมทุก ๆ สองวัน สมัยยังเป็นเพียงคุณชายหลี่อวิ้นรุ่ย เขาก็ชอบมาเช่นนี้ เพียงแต่ข้างกายของเขาในตอนนั้น… เป็นสตรีนางหนึ่ง นางดูแปลกตาไปจากสตรีทั่วไป จนเมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงรู้ ว่านางเป็นหญิงสาวจากต่างถิ่น แต่มากด้วยฝีมือหมากล้อม ทุกครั้งที่นางมากับเขา มักจะมีคนเข้าหาขอประลองฝีมืออยู่เสมอหลี่โหวทรุดตัวลงนั่งที่ประจำเช่นเคย เดิมทีวันนี้เขามาเพื่อโอ้อวดว่าได้แต่งกับคุณหนูหวัง หญิงสาวที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างหมายตาอยากได้เป็นสะใภ้ แต่หลังจากแต่งงานกับหวังอีเหมยและพานางมาที่เรือนหมากล้อม ก็มีเพียงผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีในเรื่องการแต่งงาน ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยชวนเขาดวลหมากเลยสักตาความเงียบงันเช่นนี้ทำให้หลี่โหวรู้สึกอึดอัด เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนหันไปสั่งต้าหวัง บ่าวรับใช้ที่ติดตามเขามาตั้งแต่วัยเยาว์“ต้าหวัง เจ้าไปเชิญท่านเจียงมาร่วมดวลหมากกับข้าสักตา”ต้าหวังได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือหมากล้อมของนายท่านหากวัดตามลำดับแล้ว คงอยู่แทบจะท้าย ๆ ของเรือนหมากล้อมนี้ แต่กลับให้เขาไปเชิญท่าน
บทที่ 5 หรือยังติดอยู่ในฝันหลังจากจ่ายเงินให้กับพ่อค้า ซือเหยาก็รับห่อผ้ามาไว้ในมือ แต่ไป๋อวิ๋นบอกว่าเขาเจอกับคนไข้จึงต้องแวะคุยนางจึงเดินออกมาเรื่อย ๆ จนมาเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับข้างทาง ปิ่นอันหนึ่งดูคล้ายกับปิ่นที่อดีตสามีของนาง เคยให้มาก ยิ่งมองดูก็ยิ่งเหมือน“แม่นางสนใจปิ่นอันนี้หรือ หน้าตาสวย ๆ อย่างนาง ข้าว่าเหมาะกับปะการังแดงมากกว่า แพงกว่าเพียงแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ดูดีกว่าปิ่นอันนั้นเยอะ” แม้จะได้ยินคำนั้น แต่สายตาของนางก็ยังไม่ละไปจากปิ่นไม้แกะสลักลายดอกเหมย แม้จะดูสวยงามด้วยหินที่ประดับแต่เมื่อวางอยู่กับปิ่นเงิน และปิ่นหยกที่แกะสลักอย่างวิจิตรก็ทำให้รู้ว่าปิ่นไม้อันนั้นช่างไร้ค่า...เหมือนกับตัวนาง“เหยาเอ๋อร์...เจ้าชอบหรือไม่” ปิ่นไม้แกะสลักเป็นลายดอกเหมย แซมด้วยลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ที่หากมองผ่าน ๆ ก็ดูงดงาม แต่หากมองให้ชัด ลูกปัดพวกนั้นหาได้เป็นวัสดุที่ดี เป็นเพียงหินขัด ส่วนปิ่นไม้ก็ไม่ใช่เงิน ทอง หรือหยก แต่เป็นเพียงไม้แกะสลักแล้วเคลือบสีทองบาง ๆ ก็เท่านั้น “ชอบเจ้าค่ะ” ซือเหยาในตอนนั้นยิ้มให้กับปิ่นที่สามีปักให้ที่ผม นางชำเลืองมองมันจากกระจกทองเหลือง ความเลือนของกระจ
บทที่ 4 ยิ้มได้อีกคราตลาดยามบ่าย แม้หลายร้านเริ่มจะเก็บของแต่ก็มีหลายร้านเริ่มตั้งแผงใหม่ กลิ่นขนม กลิ่นซาลาเปา ฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเอาซือเหยารู้สึกอยากจะลองกินแต่นางก็ไม่กล้าเอ่ย“ข้าจะมาซื้อสมุนไพรสักหน่อย แม้ว่าจะมีพวกนายพรานอาสาไปเก็บสม ุนไพร แต่บางอย่างก็ยังต้องมาซื้อจากร้านนี้” ซือเหยาฟังชายหนุ่มอธิบายแล้วก็เดินตามไป “เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่” หญิงสาวส่ายหน้า ไป๋อวิ๋นที่เริ่มชินกับท่าทางราวกับใช้ชีวิตไปวัน ๆ ของนางแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเขาเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรเจ้าประจำ “อ้าว ท่านหมอเทวดา ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน วันนี้ต้องการอะไรดีเล่า เดี๋ยวข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ แต่เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้ท่านหมอพาภรรยามาด้วยหรือ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นและสายตาของเถ้าแก่ร้านยาทำให้ซือเหยาที่กำลังยืนดูบรรยากาศในร้านถึงกับสะดุ้งนางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เป็นชายหนุ่มข้างกายที่พูดขึ้นก่อน “ไม่ใช่หรอกเถ้าแก่ นางเป็น...” ไป๋อวิ๋นหันไปมองที่หญิงสาว และเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคิดว่าจะบอกว่านางเป็นอะไรดี ซือเหยาที่เห็นอีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรออกมา ก็ตัดสินใจจะช่วยเขาตอบเอง “ข้าเป็นผู้ช่วยของท่านหมอเจ้าค
บทที่ 3 ก้าวหนี่งก้าว ถอยหลังสองก้าว“ที่นี่ที่ไหน” ซือเหยาถามออกไป อย่างน้อย ๆ หากนางรู้ว่าตนอยู่ห่างจากจวนของสามีไม่ไกลจะได้แอบเข้าไปกระโดดบ่อน้ำเสียอีกรอบ“แคว้นหยาง เมืองชายแดนตะวันตก ที่นี่เป็นกระท่อมที่ข้าเปิ ดเป็นโรงหมอ” หลินซือเหยาคิด สามีเก่านางอยู่แคว้นฉู่ นี่คงเป็นอีกมิติหนึ่ง สุดท้ายนางก็ยังไม่ได้กลับบ้าน“เจ้าเป็นใครหรือ ชื่ออะไรมาจากที่ใด จะให้ข้าติดต่อคนที่บ้านให้หรือไม่” ชายหนุ่มถามยืดยาวแต่ซือเหยากลับตอบสั้น ๆ “ข้าไม่รู้” เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด และชายตรงหน้าคือมิตรหรือศัตรู นางจึงแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมเอาไว้ก่อน ความกังวลกัดกินหัวใจ หากเขารู้ว่านางมาจากอีกมิติ มีความรู้ความสามารถ บุรุษตรงหน้าอาจคิดหาประโยชน์จากนางอย่างที่หลี่อวิ้นรุ่ยทำกับนางซือเหยาเลือกที่จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ทำเป็นรู้ทุกสิ่ง สุดท้ายก็ได้กลายเป็นเพียงแค่คนประหลาด “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ใบหน้าของไป๋อวิ๋นฉายแววประหลาดใจ บ่อน้ำที่นางตกลงไปมีความพิเศษ อีกทั้งชุดที่นางสวมใส่ตอนที่เขาพาร่างนางขึ้นมาก็แปลกตา และตัวเขาก็ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่เป็นหมอเทวดาตามที่ชาวบ้านเรียก ไม่มีทางที่หญิงสาวตรงหน้
บทที่ 2 กลับบ้านเมื่อรู้สึกถึงสายลมกรรโชกแรก และเสียงฟ้าร้องคำราม หลินซือเหยาที่ยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพังก็ค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่ชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าสามี เคยมอบให้ออกทีละชิ้น ทีละชิ้น หญิงสาวเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมที่นางเคยสวมใส่เมื่อยามมาที่มิติแห่งนี้เป็นวันแรก ชุดธรรมดา ๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อตัวนางและมิติในอดีต ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรหรือใครที่นางรักอีกแล้ว นางก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไปหัวใจที่โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้วในยามนี้ หญิงสาวเดินฝ่าลมฝนออกไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า ดวงตาไม่รักดีเผลอเหลือบมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของสามีของนางที่ยามนี้มีคนอื่นเคียงข้างกาย เขายืนประคองสตรีอีกคนแนบแน่นราวกับนางเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ซือเหยายิ้มจาง ๆ ยามนี้นางไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาห่วงใยหรือใส่ใจอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นเมื่อสบตากับสายตาที่เมินเฉยของเขาเพียงชั่วอึดใจ หัวใจที่นางเคยคิดว่ามันไร้ความรู้สึกแล้วก็กลับเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย “ยังจะโง่ไม่เลิกอีก” นางบ่นว่าหัวใจของตน ที่มันเจ็บปวดกับท่าทางของสามี แต่ความลังเลก็หายไปเมื่อเสียงฟ้า
บทที่ 1 คืนก่อนงานมงคลสมรสเสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านเรือนพักของหลินซือเหยา หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแม้ในใจจะว่างเปล่า ตั้งแต่วันที่นางตัดสินใจจะจากไป หัวใจของนางก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไ ม่มีความเจ็บ ไม่มีความโกรธ และไม่มีแม้กระทั่งน้ำตานางมาหยุดยืนอยู่ริมบ่อน้ำอีกครั้ง คืนนี้ฟ้าปิดสนิท ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนค่ำคืนที่พานางข้ามมิติมายังโลกนี้หลินซือเหยายืนอยู่ริมบ่อน้ำ หญิงสาวมองเงาสะท้านของตนเองที่สั่นไหวตามระลอกคลื่นของน้ำ กระแสลมเริ่มพัดโหมเหมือนกับมีพายุ แต่นี่คือสิ่งที่หญิงสาวรอคอย“ข้าคิดว่าข้าจะมีความสุขที่นี่…” นางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่ข้าหลอกตัวเองมาตลอด”ซือเหยาหลับตาลง ความทรงจำไหลย้อนกลับมาครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยอยู่ในอีกยุค เพราะขับรถฝ่าพายุจึงทำให้เธอมาโผล่ที่ยุคนี้ วันแรกที่นางมาถึง นางทั้งสับสนและหวาดกลัว นางเป็นเพียงหญิงสาวจากยุคที่ไกลออกไป แต่เพราะความรู้และทักษะจากยุคเดิม นางจึงสามารถช่วยเขาได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโชคชะตา ที่สวรรค์เมตตาพามาพบกับคนที่มีด้ายแดง แต่ไม่นึกเลย ต่อให้นางทำดีแค่ไหน