บทที่ 2 กลับบ้าน
เมื่อรู้สึกถึงสายลมกรรโชกแรก และเสียงฟ้าร้องคำราม หลินซือเหยาที่ยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพังก็ค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่ชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าสามี เคยมอบให้ออกทีละชิ้น ทีละชิ้น หญิงสาวเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมที่นางเคยสวมใส่เมื่อยามมาที่มิติแห่งนี้เป็นวันแรก
ชุดธรรมดา ๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อตัวนางและมิติในอดีต ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรหรือใครที่นางรักอีกแล้ว นางก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป
หัวใจที่โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้วในยามนี้ หญิงสาวเดินฝ่าลมฝนออกไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า
ดวงตาไม่รักดีเผลอเหลือบมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของสามีของนางที่ยามนี้มีคนอื่นเคียงข้างกาย เขายืนประคองสตรีอีกคนแนบแน่นราวกับนางเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต
ซือเหยายิ้มจาง ๆ ยามนี้นางไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาห่วงใยหรือใส่ใจอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นเมื่อสบตากับสายตาที่เมินเฉยของเขาเพียงชั่วอึดใจ หัวใจที่นางเคยคิดว่ามันไร้ความรู้สึกแล้วก็กลับเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย
“ยังจะโง่ไม่เลิกอีก” นางบ่นว่าหัวใจของตน ที่มันเจ็บปวดกับท่าทางของสามี แต่ความลังเลก็หายไปเมื่อเสียงฟ้าร้องดังลั่น เหมือนเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างพร้อมแล้วกับการจากไป
ทันทีที่ฟ้าผ่ากระทบผิวน้ำซ้ำ ๆ หญิงสาวก็กระโจนลงไปในบ่อน้ำอย่างไม่ลังเล
เสียงน้ำแตกกระจายดังไปทั่ว บ่าวไพร่ที่อยู่แถว ๆ นั้น พากันแตกตื่นเมื่อเห็นพระชายาของจวนกระโดดน้ำ
“พระชายากระโดดบ่อน้ำไปแล้ว” หลายคนตะโกน หลายคนต่างกระโดดตามลงไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบอะไร
แม้เรื่องราวดูจะวุ่นวายแต่ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ราวกับเรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ในเมื่อนางไม่จำเป็นกับเขาอีกแล้ว เพราะเขามีคนที่รักอยู่ข้างกายอยู่แล้ว
เขาทำเพียงกระชับอ้อมแขนรั้งตัวคนรักของเขาให้แนบเข้ามาแน่นขึ้น ก่อนจะก้มมองหญิงสาวในอ้อมกอดด้วยสายตาอ่อนโยน ราวกับเสียงโวยวายด้านนอกไม่มีความหมายใด ๆ
“เข้าไปในเรือนกันเถอะ นางก็คงแค่เรียกร้องความสนใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันไปสั่งบ่าวคนสนิท “ให้คนไปงมขึ้นมา หากตายก็ทำพิธีให้ หากอยู่ก็จับนางขังเอาไว้กับสาวใช้ที่ไม่รู้จักดูแลนายหญิงตนให้ดี”
หลี่อวิ้นรุ่ยปรายตามองไปที่บ่อน้ำเพียงชั่วครู่ เขาเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่าซือเหยาไม่ใช่คนจากแคว้นอื่นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่นางมาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งที่ใดนั้นเขาหาใส่ใจไม่ นางคงน้อยอกน้อยใจที่เขาให้ความสำคัญกับหวังอีเหมยมากกว่านาง หึงหวงที่เขาแต่งคนที่เขาหมายปองมาเนิ่นนาน
ช่างเถอะ เมื่อนางคิดได้คงกลับมาเอง ซือเหยารักเขา อย่างไรนางก็ไปจากเขาไม่ได้หรอก
สาวใช้ที่หลบอยู่ที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ ถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินคำนั้นของนายท่าน
“พระชายา” นางอยากเข้าไปช่วย แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เป็นจริงอย่างคำของพระชายาว่า หากนางยังอยู่ก็จะเป็นอันตราย แม้จะเจ็บปวดใจที่ต้องทิ้งไป แต่สุดท้ายก็หันหลังและหนีออกจากจวนไปพร้อมหัวใจที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
วันเวลาผ่านไปไม่มีข่าวคราวใดของพระชายา หญิงสาวหายไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็หาไม่พบ แต่กลับไม่ได้มีใครสน เพราะนางไม่ได้มีตระกูลสูงส่งใดหนุนหลัง คนที่รู้จักก็เพียงแค่ในจวนเท่านั้น
สาวใช้ที่พยายามสืบข่าวทำได้แต่จากไปอย่างเงียบ ๆ และตัดใจไม่เข้าไปวุ่นวายใกล้ ๆ จวนแห่งนั้นอีก
“พระชายา…ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จะจากไปแล้ว หรือได้กลับไปยังที่ที่ท่านจากมา ก็ขอให้ท่านอยู่อย่างดีและมีความสุขด้วยเถอะนะเจ้าคะ” ป้ายไม้ที่ถูกปักลงกับพื้น ไม่มีชื่อไม่มีแซ่ มีเพียงกระดาษเผาไปให้คนที่อยู่ห่างไกล ที่ยังคงลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่วทั้งกระท่อมไม้ไผ่ เสียงน้ำเดือดปุด ๆ ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หลินซือเหยารับรู้ได้ถึงผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมร่างของนางเอาไว้
แม้หัวจะยังรู้สึกปวด และลมหายใจก็ยังติดขัด แต่นางยังไม่ตาย มิหนำซ้ำ หญิงสาวค่อย ๆ กวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นบรรยากาศที่ไม่ได้แตกต่างไปจากยุคที่นางหนีสามีมาก็ถึงกลับถอนหายใจ
หญิงสาวเห็นชายคนหนึ่ง ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าเตาไฟ ดวงตาคมของเขาจดจ้องอยู่ที่หม้อยา มือข้างหนึ่งคอยคนส่วนผสมในหม้อ อีกข้างก็คอยหยิบสมุนไพรใส่ลงไปอย่างชำนาญ
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ยังเป็นแบบจีนโบราณ ยิ่งทำให้ใจของซือเหยาห่อเหี่ยวลงไปอีก นี่ไม่ใช่บ้านของนาง และยังไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ดวงตาของนางเหม่อลอย ความเสียใจเข้าควบคุมร่างกายจนมันอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปหมด
แม้ที่นี่จะไม่ใช่จวนของสามีที่ทอดทิ้งนาง แต่ก็ไม่ใช่บ้านของนางอยู่ดี
“เจ้าฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มหันกลับมาเห็นก็เร่งเดินเข้ามาหา” ชายหนุ่มวางไม้ที่ใช้คนหม้อยาลงก่อนจะลุกแล้วเดินตรงมาหานาง ทันทีที่เห็นว่าหญิงสาวพยายามจะขยับลุกขึ้นเขาก็จะเข้าไปประคอง แต่หญิงสาวกลับสะดุ้งเล็กน้อย จนชายหนุ่มจำต้องหดมือกลับ ไม่ใช่เพราะความเสียดายแต่อดตำหนิตนเองไม่ได้ที่ไม่ระวังท่าทางตน
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นหมออยู่ที่หมู่บ้านนี้ นามไป๋อวิ๋น”
หลินซือเหยาจ้องมองไปที่เพดานไม้ไผ่ของกระท่อมเล็ก ๆ ดวงตาของนางแห้งผาก ราวกับต่อมน้ำตาของนางเหือดแห้งไปหมดแล้วหลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมา
ความเงียบงันของค่ำคืนในป่า แตกต่างจากความเงียบของจวนโหวโดยสิ้นเชิง หากเป็นที่นั่น ทุกย่างก้าวของนางมีแต่สายตาเย็นชาจับจ้อง ทุกคำพูดของนางเต็มไปด้วยคำดูแคลน แม้แต่น้ำเสียงของสามี ก็มักจะราบเรียบ ไร้อารมณ์ ไม่มีความรัก ไม่มีความอาทร
แต่นี่เป็นความเงียบที่นางไม่คุ้นเคย เป็นความเงียบที่กว้างขวางเกินไป ปลอดโปร่งเกินไป แต่กลับเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างในหัวใจ
มือของนางกำผ้าห่มที่ปกคลุมร่างแน่น หัวใจที่ควรจะแข็งแกร่งกลับบีบรัดแน่นจนหายใจลำบาก นางไม่รู้ว่าควรยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
‘ไม่มีใครตามหาข้า… ไม่มีใครแม้แต่จะเสียใจที่ข้าหายไป…’
ใช่แล้ว พวกเขาไม่เคยต้องการนางตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะในฐานะภรรยา ในฐานะพระชายา หรือแม้แต่ในฐานะคนคนหนึ่ง นางก็เป็นเพียงเงาที่ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่
นางไม่ได้หวังให้สามีรัก แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง เขาจะปล่อยให้นางจมหายไปในบ่อน้ำโดยไม่แม้แต่จะมองย้อนกลับมา แม้เพียงเสี้ยววินาที
นางหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เจ้ารู้สึกเช่นไร”
เสียงของไป๋อวิ๋นทำให้นางสะดุ้ง นางหันไปมองเขา ดวงตาของนางไม่มีแววแห่งความหวังหลงเหลืออีกต่อไป มีเพียงความว่างเปล่าที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดวงตาคู่นั้น
“ข้า… ยังมีชีวิตอยู่หรือ” นางถามเสียงแผ่ว
ไป๋อวิ๋นมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางซีดเซียว อ่อนแอ ราวกับเพียงสายลมพัดผ่านก็สามารถปลิวหายไปได้ในทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจมากกว่า คือแววตาของนาง
เขาเคยเห็นคนบาดเจ็บหนัก เคยเห็นคนที่สิ้นหวัง แต่ไม่เคยเห็นดวงตาคู่ไหนที่แห้งผาก ไร้ซึ่งน้ำตาเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าความเสียใจของนางลึกเกินกว่าจะร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว
“เจ้ารอดมาได้” เขาตอบ “และตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ปลอดภัย…” นางพึมพำ “ข้าควรรู้สึกยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่หรือ”
ไป๋อวิ๋นเงียบ เขาไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น
ความปลอดภัยอาจมีอยู่ในทางกายภาพ แต่มิใช่ในหัวใจของนางอย่างแน่นอน หลินซือเหยาเบือนหน้าหนี ดวงตาของนางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองดูสายลมที่พัดใบไม้ไหว
“บางที… ข้าไม่ควรรอด”
ไป๋อวิ๋นขมวดคิ้วแน่น เขามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัดโดยไม่รู้ตัว
สตรีนางนี้… ผ่านอะไรมาบ้างกันแน่
ตอนพิเศษ 3ซีเยว่มองอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่คล้ายกับที่มารดาและบิดาของตนประดิษฐ์ แต่ของที่นี่ดูใหม่กว่า แต่ระหว่างที่กำลังจะดูเครื่องมือและยาเหล่านั้นให้ชัดเจน บรรดาทหารก็ยกคนป่วยเข้ามา “พวกเราถูกโจมตี ต้องการหมอมาก ท่านหมอคงจะยุ่งสักหน่อย” คนเหล่านั้นพูดเพียงแค่นั้นและปล่อยหญิงสาวเอาไว้กับบรรดาคนเจ็บคนแล้วคนเล่าบาดแผลที่ซีเยว่เห็นนั้นต่างจากการสู้รบที่นางเคยเห็น แม้บาดแผลจะเล็ก แต่กลับมักมีลูกกระสุนอยู่ข้างในหญิงสาวมองกระสุนที่ว่า ดูเหมือนพวกกระสุนปืนใหญ่ แต่ว่าเล็กมาก ซีเยว่ผ่าตัดทำแผล และยื้อชีวิตของเหล่าทหารที่ดูแลเขตนี้เอาไว้ได้ แต่ว่านั่นก็ทำให้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดหายไป หญิงสาวย้อนกลับไปดูคนที่คนเหล่านี้เรียกว่าผู้บัญชาการ “ที่แห่งนี้แปลกจริง ๆ” หญิงสาวอดสงสัยไม่ได้ว่าตนมาอยู่ที่ใดกัน แต่อีกใจก็รู้สึกว่าโชคดีที่ได้ช่วยชีวิตคน แต่อุปกรณ์และชื่อที่เขียนแปะเอาไว้ที่ขวดยาบางขวดก็แปลกนัก ภาษาที่มารดาของนางเคยสอนเมื่อนานมาแล้ว มีตัวอักษรพวกนั้นเขียนอยู่บนนั้น แต่ชื่อของยากลับไม่ใช่สิ่งที่นางรู้จัก โชคดีที่คนเหล่านั้นบาดเจ็บภายนอกเป็นส่วนมาก สิ่งที่ใช้ก็มีแค่น้ำที่เหมือนสุราที่มารดาขอ
ตอนพิเศษ 2เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยแสงสีทอง มีร่างหนึ่งนั่งอยู่ริมบ่อน้ำที่เคยเป็นประจำ นางมักมาที่นี่บ่อยครั้งโดยไม่รู้สาเหตุ ราวกับมีบางสิ่งดึงดูดให้นางมาอยู่ ณ จุดนี้ ระลอกคลื่นกระเพื่อมเป็นวงก่อนจะค่อย ๆ สงบนิ่ง ทว่าทันใดนั้นเอง ลมแรงกะทันหันก็พัดผ่าน นำพากลีบดอกไม้ปลิวว่อนแสงสีฟ้าประหลาดเริ่มเรืองรองขึ้นจากก้นบ่อน้ำ“ซีเยว่ มืดแล้วเจ้าเข้ามาข้างในเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน” เสียงตะโกนจากในกระท่อมเรียกให้หญิงสาววัยแรกแย้มหันไปมองมารดาด้วยรอยยิ้ม แม้จะผ่านช่วงปักปิ่นมาแล้วถึงสามปีแต่ดูเหมือนไป๋ซีเยว่จะไม่สนใจที่จะมีคู่ หญิงสาวยังคงใช้ชีวิตอยู่กับบิดามารดาและกระท่อมใหม่ที่สร้างอยู่ไม่ไกลก็คือกระท่อมของพี่ชายไป๋เจียงเฉิงที่ตอนนี้แต่งงานอยู่กินกับพี่สะใภ้ชุนเหยา“ข้าขอจัดการล้างสมุนไพรตรงนี้อีกสักนิดเจ้าค่ะ” เด็กสาวตะโกนบอกมารดาของตน ชุดของนางตอนนี้ยังอยู่ในชุดที่เตรียมพร้อมจะรักษาคน เพราะวันนี้คนไข้ของบิดาเยอะนักนางจึงเข้ามาช่วยแต่จู่ ๆ มือที่กำลังล้างสมุนไพรก็ชะงักเมื่อหญิงสาวรู้สึกถึงหมอกที่ดูหนากว่าปกติ “นี่มันหน้าร้อนนะทำไมถึงมีหมอกมากเช่นนี
ตอนพิเศษ 1ยามสาย ลมเย็นพัดโชยผ่านสวนดอกไม้รอบเรือน เด็กหญิงตัวน้อยยังคงนั่งอยู่บนตักของมารดา ดวงตากลมใสจับจ้องมือตัวเองที่ซือเหยากำลังประคองไว้“ท่านแม่ ข้ามีคนรักได้ไหมเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยถามมารดาเสียงใส นางเห็นพี่ชายมีคนรัก และเขาบอกว่ารักหญิงสาวผู้นั้นมาก วันหนึ่งจะต้องแต่งงานให้ได้ ซีเยว่ไม่เข้าใจ แต่นางอยากมีบ้างซือเหยามองบุตรสาว พลางใช้นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมนุ่มที่ปรกหน้าผากของนางออก “ได้สิ เจ้าสามารถรักใครก็ได้ แต่จงอย่ารักใครมากกว่าตัวเอง”“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ”ซือเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “เพราะเมื่อเจ้ารักใครมากเกินไป เจ้าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้กระทั่งทำร้ายตัวเอง”เด็กหญิงกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ “แต่ท่านแม่ก็รักข้ามากกว่าตัวเองไม่ใช่หรือเจ้าคะ”ซือเหยาหัวเราะเบา ๆ พลางกระชับอ้อมกอด “เจ้าคือบุตรของข้า เจ้าคือชีวิตของข้า นั่นเป็นความรักที่แตกต่างออกไป”เด็กหญิงเงยหน้ามองมารดา นางยังคงไม่เข้าใจทั้งหมด แต่กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นจากน้ำเสียงอ่อนโยนของมารดาได้เป็นอย่างดี“เจ้าจงรักตัวเองให้มาก จำไว้ว่าหากวันใดเจ้าต้องเลือกระหว่างตัวเจ้าเองกับผู้อ
บทที่ 34 เริ่มต้นด้วยร้าย จบด้วยรักแท้ซือเหยายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้าน หญิงสาวที่เคยเป็นเพียงเงาไร้ตัวตนในจวนหลี่ ตอนนี้กลับมีชีวิตที่สงบสุข นางช่วยไป๋อวิ๋นรักษาผู้คน ศึกษาการแพทย์ และพบว่าชีวิตไม่ จำเป็นต้องจมอยู่กับอดีต“พอข้าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับไปแก้แค้น” ไป๋อวิ๋นพูดขณะบดสมุนไพรซือเหยาหัวเราะเบา ๆ “แก้แค้นเพื่ออะไร คนอย่างเขาไม่ต้องรอให้ข้าทำอะไร ก็คงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”ไป๋อวิ๋นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจ้าคิดถูกแล้ว… คนที่ไม่เห็นค่าผู้อื่น สุดท้ายก็ไม่มีใครเหลืออยู่ข้างกาย”ซือเหยายิ้มบาง ๆ นางเคยทุกข์ทรมาน เคยหวังจะให้คนที่ทำร้ายตนต้องชดใช้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางตระหนักว่าการปล่อยวางทำให้หัวใจของนางเป็นอิสระชีวิตนางเพิ่งเริ่มต้น… และมันจะไม่จบลง โดยที่นางเองไม่ได้เสียเวลาไปกับการคิดแก้แค้นและเอาคืนผู้ใด นางอยู่กับปัจจุบัน เลือกที่จะมีความสุขกับสิ่งที่มี แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านผ้าม่านบางเบาที่ปลิวไหวตามสายลมยามเช้า ซือเหยานั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองทิวทัศน์ของหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เงียบสงบนับตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมาในกระท่อมไม้ไผ่แห่งนี้ ทุกวันผ่านไปอย่างเรียบง่าย
บทที่ 33 ดาบนั้นคืนสนองซีเยว่และชุนเหยากำลังหัวเราะคิกคักเล่นเจ้ากระต่ายน้อย ทั้งสองอยู่ในสายตาของครอบครัว“วันนี้ไป๋อวิ๋นบอกว่าท่านลุงอาการดีขึ้นมาก แม้อายุจะมากขึ้นแต่กลับแข็งแรงยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก” ซือเหยามาบอกกับลี่จินที่กำลังนั่งมองลูกสาวของนางก ับคนที่มีพระคุณพร้อมกับสามีที่นั่งยิ้มอย่างยินดี“ที่จริงวันนี้ข้ามาที่นี่ เรื่องหนึ่งก็มาเอายาให้ท่านลุง แต่ว่าท่านพี่ ข้ามีเรื่องจากเมืองหลวง” ตั้งแต่ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งขึ้น สุดท้ายทั้งสองก็ตั้งใจว่าจะเป็นพี่น้องของกันและกัน ไม่มีฮูหยินและสาวใช้อีกต่อไป“ข่าวจากเมืองหลวงหรือ” ซือหยามองหน้าลี่จิน “ใช่เจ้าค่ะ สาวใช้ที่เคยอยู่ในจวน...” คำที่หายไปไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเอ่ยถึงใคร “ทำไมหรือ” “นางบอกว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนเขาจะกระโดดบ่อน้ำเดียวกับที่ท่านพี่เคยกระโดด” มือเรียวของซือเหยาถูกยกขึ้นทาบอกทันที ไม่ใช่เพราะนางกังวลเรื่องของอดีตสามี แต่เป็นเพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะมาโผล่ที่นี่“แล้วศพเจอหรือไม่” ลี่จินส่ายหน้า “ไม่พบ หายไปเหมือนกับตอนท่านพี่ไม่มีผิด” ซือเหยารู้สึกกังวลใจแปลก ๆ เกรงว่าคนผู้นั้นจะมาโผล่ที่นนี่“แต่เรื่องเกิด
บทที่ 32 เจ้าตัวเล็กวันเวลาผ่านไป ผ่านร้อนผ่านหนาวไปหลายฤดู แต่หลินซือเหยาก็ยังคงอยู่กับไป๋อวิ๋นที่บนเขา ต่างกันตรงตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างเดียวดายแล้ว“ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ ผลไม้อันนี้แก้เจ็บคอได้ใช่ไหมขอรับ” ไป๋เจียงเฉิงวิ่งถือมะขามป้อมเข้ามาในกระ ท่อม ไป๋อวิ๋นหันมามองแล้วก็พยักหน้า“เจ้าเก่งมากอาเฉิง ต่อไปต้องให้เจ้ามาช่วยพ่อรักษาคนไข้แล้วกระมัง” เด็กน้อยกระโดดขึ้นทันที “ข้าอยากช่วยขอรับ ให้ข้าช่วยได้นะขอรับ” ซือเหยาส่ายหน้า "ลูกต้องโตกว่านี้อีกนะจ๊ะอาเฉิง แล้วน้องสาวของลูกไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ”ซือเหยาถามหาไป๋ซีเยว่ มองไปด้านหลังลูกชายก็ไม่เจอกับลูกสาว “นางวิ่งตามกระต่ายป่า ข้าห้ามก็ไม่ฟัง นั่งเล่นกระต่ายอยู่ตรงชายป่านั่น” ไป๋อวิ๋นได้ยินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงชายป่าที่ว่า เขากังวลเพราะตรงนั้นมันใกล้กับน้ำพุ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เขาไม่อยากจะคิด แม้ว่าจะอยากทุบทิ้งไปเสียแต่คุณค่ามากกว่า อย่างน้อย ๆ ก็เอารั้วมากั้นเอาไว้แล้ว“ซีเยว่ลูก ซีเยว่” เด็กหญิงนั่งลูบขนกระต่ายป่าอยู่ น่าแปลกที่สัตว์ตัวเล็ก ๆ มักจะยอมให้ซีเยว่ได้จับ หากเป็นคนทั่ว ๆ ไปเข้าใกล้สัตว์ตัวเล็กเช่นนี้พวกมันก็ค