เสี่ยวจิ่วฮวากำมือแน่นพยายามระงับโทสะ เมื่อคิดถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนนั้นนางเองก็เริ่มจะระเบิดโทสะอีกรอบ ฉินอี๋เหนียงนังสารเลวนั่นสลับตัวนางไป ให้นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก นางอยากจะใช้มีดแทงเข้าไปในหัวใจของสตรีนางนั้น ดูว่าจิตใจของฉินอี๋เหนียงทำด้วยอะไรกันแน่!!!
อย่าหวังว่าจะตายอย่างสงบสุข ข้าจะสาปแช่งเจ้าไม่ให้ได้ผุดได้เกิด แม้เจ้าตายเป็นผีข้าก็จะตามไปเอาคืนกับเจ้าให้สาสม!!!
สาวใช้ในเรือนต่างก้มหน้างุดไม่กล้าเอ่ยวาจา เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นอย่างนั้นก็โมโห เริ่มระบายโทสะอีกรอบ ก่อนจะก้มลงไปหยิบผ้าสีชมพูผืนนั้นขึ้นมา และเดินตรงไปที่เรือนใหญ่ทันที
เรือนใหญ่ตะกูลเสี่ยว
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวาเดินมาถึงก็ได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากด้านในเรือนใหญ่ มันเป็นเสียงของท่านแม่และเสี่ยวเย่วหยา ที่กำลังสนทนากันอย่างอารมณ์ดีอยู่ภายในจวน
เสี่ยวเย่วหยานั้น เดิมที่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอดีตฮูหยินคนก่อน ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของนางแต่งงานกับหญิงสาวตระกูลเฉิน นั้นก็คือมารดาของเสี่ยวเย่วหยา แต่ทว่าอดีตฮูหยินเพิ่งคลอดบุตรได้เพียงหนึ่งเดือนก็สิ้นใจตายเพราะร่างกายอ่อนแอ ท่านพ่อจึงแต่งงานใหม่กับแม่ของนาง นั่นก็คือฮูหยินใหญ่คนปัจจุบัน ท่านแม่ของนางเลี้ยงดูเสี่ยวเย่วหยาราวกับบุตรในอุทรของตน อีกทั้งเสี่ยวเย่วหยาก็มีสุขภาพที่ไม่สู้ดี อ่อนแอต้องได้รับการดูแลอย่างประคบประหงม เพราะป่วยหนักทำให้อายุล่วงเลยมาจนยี่สิบเอ็ดปีแล้วก็ยังไม่ได้ออกเรือน โชคดีที่ผิงเป่ยมีกฎหมายระบุชัดเจนว่าสตรีแคว้นผิงเป่ยที่อายุไม่เกินยี่สิบห้าปียังคงสามารถแต่งงานได้ ไม่ถือว่าช้าจนเกินไป ท่านแม่ของนางดูแลเสี่ยวเย่วหยาอย่างดีรักใคร่ยิ่งกว่านางเสียอีก
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาก็ส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเรือนใหญ่ด้วยใบหน้าที่ถมึงถึง
เสี่ยวฮูหยินที่ได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังเดินเข้ามาในเรือนจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นเสี่ยวจิ่วฮวานางก็เอ่ยขึ้นมาทันที
"อาจิ่ว เจ้าเดินให้เบาฝีเท้าหน่อยเถิด เป็นเช่นนี้เกิดผู้ใดพบเห็นจะว่าเจ้าไร้มรรยาทเอาได้"
เสี่ยวจิ่วฮวาไม่สนใจคำเตือนของผู้เป็นมารดาเลยแม้แต่น้อย นางเดินเข้าไปหาเสี่ยวเย่วหยา ก่อนจะเขวี้ยงผ้าผืนนั้นใส่หน้าของเสี่ยวเย่วหยาอย่างเต็มแรง เสี่ยวฮูหยินที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบเอ่ยปรามทันที
"อาจิ่ว เจ้าทำสิ่งใดลงไป!! ทำเช่นนี้กับพี่สาวของเจ้าได้อย่างไรกัน"
เสี่ยวเย่วหยาตัวสั่นเทิ้ม แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เก่งกาจเรื่องสู้รบตบมือกับผู้ใด เป็นเพียงสตรีที่บอบบาง งดงามสมกับเป็นกุลสตรีในเมืองหลวง ช่างแตกต่างจากเสี่ยวจิ่วฮวาราวฟ้ากับเหว
เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นว่าแม่ของตนเองปกป้องเสี่ยวเย่วหยาก็โมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
"ท่านแม่!! ใครกันแน่ที่เป็นบุตรสาวของท่าน ข้าต่างหากเล่าที่เป็นบุตรสาวที่แท้จริง นางเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเก่าของท่านพ่อ แต่ท่านแม่กลับรักนางมากกว่าข้า สิ่งใดที่ดีท่านแม่ก็ประเคนให้นางไปเสียหมด แล้วข้าเล่า ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่าน เป็นเลือดในอกของท่าน ท่านทำไมไม่รักข้า ท่านเป็นแม่ประสาอะไร!!!!"
เพียะ!!!
เสี่ยวจิ่วฮวาพูดจบก็ถูกผู้เป็นแม่ตบเข้าที่ใบหน้าไปฉาดใหญ่ เสี่ยวจิ่วฮวาตกตะลึงก่อนจะค่อยๆ หันมามองแม่ของตนเองด้วยแววตาที่แดงก่ำ เสี่ยวฮูหยินเองก็ตกใจไม่แพ้กัน นางคิดจะเดินเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวา แต่เสี่ยวจิ่วฮวากลับก้าวถอยหลังขยับหนี
"อาจิ่ว คือแม่..."
"ท่านแม่ลำเอียง รักลูกคนอื่นมากกว่าลูกของตนเอง!!!!"
"ไม่ใช่!!! เจ้าฟังแม่นะ เจ้าอยู่ข้างกายนังอนุฉินนานเกินไป จนนางสั่งสอนเจ้าให้กลายเป็นคนใจคอคับแคบขนาดนี้ ไม่รักพี่ไม่รักน้อง ไม่เคารพผู้ใหญ่ ทำตัววางอำนาจ อาจิ่ว เจ้าเชื่อแม่เถอะนะ เจ้าปรับปรุงตัวเถอะ หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้สักวันต้องพบจุดจบที่ไม่ดีเป็นแน่!!!”
"ข้าจะพบจุดจบเช่นไรไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาสั่งมาสอน!!! ไปสอนนั่งเย่วหยาลูกสาวคนโปรดของท่านเถอะ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับข้า!!!"
"อาจิ่ว!!! เจ้ากลับมานะ อาจิ่ว!!!!"
เสี่ยวฮูหยินร่างกายโงนเงนจวนจะเป็นลม เสี่ยวเย่วหยารีบเข้ามาประคองมารดาเอาไว้ แม้เสี่ยวฮูหยินจะไม่ใช่มารดาที่แท้จริงของนาง แต่นางก็รักเสี่ยวฮูหยินเหมือนกับแม่แท้ๆ เพราะเสี่ยวฮูหยินดีกับนางเป็นอย่างมาก
"ท่านแม่ ระวังเจ้าค่ะ อย่าโมโหเลย ข้าจะเอาผ้าผืนนั้นไปให้น้องรองเองเจ้าค่ะ"
"ได้ยังไงกัน ฮึก อาจิ่วเกินจะสั่งสอนแล้ว เพราะนังสารเลวฉินอี๋เหนียงนั่นคนเดียว เวรกรรมแท้ๆ ฮือ"
ฮูหยินใหญ่ร้องไห้จนหมดสติไป เสี่ยวเย่วหยาตกใจไม่น้อยรีบให้คนไปตามท่านหมอมาทันที
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวากลับมาที่เรือนได้ไม่นาน ก็พบว่าสาวใช้ของเสี่ยวเย่วหยานำผ้าผืนนั้นมามอบให้นาง เสี่ยวจิ่วฮวายกยิ้มมุมปาก รู้สึกเหมือนว่าตนเองเหนือกว่าเสี่ยวเย่วหยายิ่งนัก
เวลาล่วงเลยมาจนวันที่ท่านพ่อและพี่ใหญ่กลับจกสนามรบพร้อมกับชัยชนะ ตระกูลเสี่ยวได้ของรางวัลพระราชทานจากฮ่องเต้มาไม่น้อยเลย แต่ก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เสี่ยวจิ่วฮวามักจะเลือกของดีดีไปก่อน ของที่ไม่ดีมักจะโยนไปให้กับเสี่ยวเย่วหยาพี่สาวของตน เสี่ยวเย่วหยาเองก็ไม่มีปากมีเสียง ทำได้เพียงก้มหน้ารับ หากว่ากันตามจริงแล้วนางไม่ควรมีปัญหากับเสี่ยวจิ่วฮวา เพราะนางก็ไม่ใช่บุตรสาวที่แท้จริงของฮูหยินใหญ่ การแต่งงานที่ดียังต้องพึ่งพาท่านแม่ นางจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ มีเวลาก็เย็บปักอ่านตำราไปเสีย
ท่านพ่อและพี่ใหญ่รู้ว่านางได้รับความลำบากจากการเลี้ยงดูของอนุฉินมาไม่น้อย ก็ต้องการชดเชยให้กับนาง ของดีดีล้วนส่งมาที่เรือนของนางมากมาย เสี่ยวจิ่วฮวามีความสุขยิ่งนัก
หนึ่งปีต่อมาท่านแม่คิดจะหาคู่ครองดีดีให้กับเสี่ยวเย่วหยา แต่เสี่ยวจิ่วฮวาที่มีใจริษยาก็หาทางกลั้นแกล้งพี่สาวจนป่วยหนักมากกว่าเดิม ทำให้พลาดการแต่งงานที่ดีครั้งนี้ไป เสี่ยวจิ่วฮวาคิดเพียงว่าในเมื่อนางไม่ได้สิ่งดีดี เสี่ยวเย่วหยาก็อย่าหวังว่าจะได้ นี่คือการสั่งสอนที่บังอาจมาแย่งความรักของท่านแม่ไปจากนาง!!
หลังจากนั้นไม่นานในวังมีก็มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าพระชายารองขององค์รัชทายาททรงสิ้นพระชนม์ ต่างเล่าลือกันว่าเพราะป่วยหนักร่างกายไม่อาจทานทนได้อีกต่อไปจึงสิ้นพระชนม์กระทันหัน เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกไม่น้อย ทางตระกูลของพระชายารองนั้นคือตระกูลหยาง เมื่อทราบว่าบุตรสาวตายจากไปก็เสียใจเป็นอย่างยิ่งไม่นานก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นและไม่กลับมาเมืองหลวงอีก ในวังประกาศว่าจะรับพระชายารองคนใหม่ เสี่ยวจิ่วฮวายกยิ้มมุมปาก พระชายารองคนเก่าตายไปแล้ว คราวนี้ก็คงจะถึงเวลาคัดเลือกพระชายารองคนใหม่แล้ว ครั้งนี้นางจะต้องได้เข้าไปคัดเลือกเนื่องจากเสี่ยวเย่วหยาไม่อาจเข้าวังคัดเลือกได้ เพราะมีข่าวลือว่านางล้มป่วยร่างกายไม่ดี วังหลวงย่อมไม่คัดเลือกสตรีขี้โรคเข้าไปเป็นพระชายารองเป็นแน่ หากนางทำสำเร็จความสุขสบายจะรอนางอยู่ นางจะใช้มารยาทุกอย่างที่มีทำให้องค์รัชทายาทโปรดปราณ นางมีใบหน้าที่งดงาม บุรุษล้วนหลงใหลนาง ไม่แน่ว่าเมื่อเข้าตำหนักบูรพาไปแล้ว อาจจะถีบหัวส่งพระชาเอกให้พ้นทางได้ และนางเองก็จะขึ้นเป็นพระชายาเอกองค์ใหม่ เป็นว่าที่ฮองเฮามารดาของแผ่นดิน
เสี่ยวจิ่วฮวาวาดความฝันเอาไว้เสียงดงาม โดยไม่ร็เลยว่าวันข้างหน้านางจะได้พบกับสิ่งใด!
หนึ่งเดืิอนต่อมาฮ่องเต้ทรงประชวร การคัดเลือกพระชายารองถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่นานนักฮ่องเต้ก็ทรงสิ้นพระชนม์ องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์แทน ในวังจึงมีการเลือกพระสนมใหม่เข้าวัง แต่ทว่าฮ่องเต้องค์ใหม่กลับละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติเดิม สั่งให้บุตรสาวขุนนางทุกจวนเข้าวังมาร่วมคัดเลือกไม่สนว่าจะเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาหรืออนุเลยแม้แต่น้อย และครั้งนี้ฮ่องเต้จะทรงเสด็จมาเลือกด้วยองค์เอง
เมื่อไม่อาจขัดราชโองการได้ ขุนนางที่มีบุตรสาวจึงจำต้องส่งบุตรสาวตนเองเข้าวังมาคัดเลือกไม่เว้นแม้แต่เสี่ยวจิ่วฮวาและเสี่ยวเย่วหยาที่ร่างกายเพิ่งจะหายดี
ครั้งนี้เพราะท่านแม่ปกป้องเสี่ยวเย่วหยาเป็นอย่างดีทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาลงมือไม่ได้ จำต้องเข้าวังไปทั้งสอง
และครั้งนี้สองพี่น้องได้รับเลือกเขาวังทั้งคู่ ทั้งเสี่ยวเย่วหยาและเสี่ยวจิ่วฮวาได้เป็นพระสนมขั้นผิน เดิมทีเสี่ยวจิ่วฮวาคิดว่าจะได้เสพสมกับอำนาจ ประจบเอาใจฮ่องเต้เพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุด แต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่นางวาดหวังเอาไว้
ทุกๆ สองวัน นางจะได้ยินข่าวจากนางกำนัลว่า พระสนมที่เข้าไปปรนนิบัติฝ่าบาทล้วนกลายเป็นศพกลับมา นางสนมบางคนที่ถูกหามออกมาแม้ไม่ตายแต่เจ็บปางตายก็มีไม่น้อย!!
เสี่ยวจิ่วฮวาเย็นสันหลังวาบ รู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ปกติ แต่นางก็ยังคิดในแง่ดีว่ามันอาจจะไม่มีอะไรก็เป็นได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีกงกงจากตำหนักมังกรสวรรค์มาบอกนางว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเปิดป้ายและมีชื่อของนาง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเสี่ยวจิ่วฮวาจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ!!!
เมื่อกงกงกลับไปแล้ว เสี่ยวเย่วหยาก็มาพบกับเสี่ยวจิ่วฮวาที่ตำหนัก เมื่อเห็นพี่สาวเสี่ยวจิ่วฮวาก็ปรายตามองอย่างไม่เป็นมิตร เสี่ยวเย่วหยาเองก็เคยชินชากับท่าทีเช่นนี้ของน้องสาวมานานแล้วจึงไม่ได้ติดใจสิ่งใด นางนั่งลง ก่อนจะวางของลงตรงหน้าของเสี่ยวจิ่วฮวา
"ท่านแม่นำมาให้เจ้ากับข้า เป็นของกินของใช้ที่เจ้ากับข้าชอบก่อนเข้าวังหลวง เจ้ารับไปสิ"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ท่านแม่นะท่านแม่ ตั้งแต่นางเข้าวังมาไม่เคยถามไถ่ แต่กลับติดต่อกับเสี่ยวเย่วหยาอยู่เสมอ!!!
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาจึงปัดของบนโต๊ะลงจนหมด ก่อนจะเอ่ย
"เจ้านำของพวกนี้มาเยาะเย้ยข้าหรือ? เยาะเย้ยที่ท่านแม่รักเจ้ามากกว่าข้า!!!"
"ไม่ใช่นะ!!! โอ๊ย อาจิ่ว"
เสี่ยวจิ่วฮวาผลักเสี่ยวเย่วหยาจนล้มลงไปบนพื้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาหมายจะตบซ้ำ แต่นางกลับชะงักเมื่อได้เห็นร่องรอยบางอย่างที่ลำคอและแขนของเสี่ยวเย่วหยา
คล้ายว่าก่อนหน้านี้นางจะไม่ได้เห็นหน้าพี่สาวที่น่ารำคาญมาสักระยะหนึ่ง เพิ่งจะได้พบเจอก็วันนี้
เสี่ยวเย่วหยารีบลนลานลุกขึ้น เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ย
"เจ้าไปโดนสิ่งใดมา?"
"คือว่า..เอ่อ!!!"
“น่ารำคาญ อ้ำอึ้งอยู่ได้!!!”
เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นว่าเสี่ยวเย่วหยาทำท่าทางอึกๆ อักๆ ก็เกิดรำคาญจึงตวาดใส่อย่างเหลืออด จนกระทั่งมีนางกำนัลเดินเข้ามาหานาง
"พระสนมเพคะ รีบแต่งองค์เถิดเพคะ อีกเดี๋ยวจะต้องไปปรนนิบัติฝ่าบาทแล้ว"
เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินอย่างนั้นก็รีบหันมาเอ่ยถามเสี่ยวจิ่วฮวาทันที
"ฝ่าบาททรงเรียกเจ้าไปปรนนิบัติแล้วหรือ!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาปรายตามองพี่สาว ก่อนจะเอ่ย
"ทำไมหรือ อิจฉาข้าหรือ หรือว่าเจ้าเองก็ยังไม่ถูกเรียกไปปรนนิบัติ เลยเกิดริษยาข้าขึ้นมา"
"ไม่ใช่นะ!! น้องรอง เจ้าแกล้งบอกว่าป่วยเถิด หรือบอกว่าไม่สบายก็ได้ อย่าไปเลยนะ คือว่า... มันน่ากลัวมาก"
เสี่ยวเย่วหยาจับมือของเสี่ยวจิ่วฮวาเอาไว้ พร้อมกับมองซ้ายขวาพยายามจะบอกเรื่องที่ตนพบเจอมาให้น้องสาวฟัง แต่เสี่ยวจิ่วฮวากลับปัดมือพี่สาวออก ก่อนจะเอ่ย
"เจ้านี่แย่งท่านแม่ไปจากข้าไม่พอ ยังจะแย่งความโปรดปราณของฝ่าบาทไปจากข้าอีก ไสหัวไปออกไปจากตำหนักของข้าเสีย!!"
"น้องรองเจ้าเชื่อข้าสักครั้งเถอะ"
"พาตัวนางออกไป!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาคร้านจะสนใจอีก เมื่อเสี่ยวเย่วหยาจากไปแล้ว นางก็ไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ในขณะที่นั่งอยู่ด้านหน้ากระจกสัมฤทธิ์บานใหญ่ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ฝ่าบาทผลัดเปลี่ยนเรียกนางสนมเข้าปรนนิบัติทุกๆ สองวัน เดิมทีนางรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่ถูกเรียกเข้าเฝ้า วันนี้ได้ถูกเรียกเข้าไปปรนนิบัติแล้วแต่เสี่ยวจิ่วฮวากลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่นอย
ไม่นานนักก็มีกงกงมาที่ตำหนัก เสี่ยวจิ่วฮวานั่งเกี้ยวอ่อนมุ่งหน้าไปยังตำหนักมังกรสวรรค์เพื่อปรนนิบัติฮ่องเต้
และคืนนั้นนางก็ได้พบกับความน่ากลัวที่ไม่เคยพบมาก่อน ฝ่าบาทที่รูปงามจิตใจโอบอ้อมอารี แท้จริงเหมือนกับปีศาจในร่างคน เขาหลับนอนกับนางสนมอย่างทารุณ ทำราวกับสตรีไม่ใช่คน เสียงหวีดร้องของเสี่ยวจิ่วฮวาดังลอดออกมาจากตำหนักบรรทมตลอดทั้งคืนแต่กลับไม่มีใครหน้าไหนเข้าไปช่วยได้เลยสักคน จนรุ่งสางจึงมีคนมาหามนางกลับตำหนักไปด้วยสภาพที่น่าเวทนาไม่น้อย
โชคดีที่เสี่ยวจิ่วฮวาไม่ตาย แต่นางก็ปางตายเช่นกัน เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับเสี่ยวเย่วหยาที่นั่งอยู่ข้างเตียงเมื่อเห็นเช่นนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาก็คิดจะอ้าปากถามว่าร่องรอยนั้นบนตัวของเสี่ยวเย่วหยาคือฝีมือของฝ่าบาทใช่หรือไม่
แต่นางกลับพูดไม่ได้ เพราะถูกฮ่องเต้บีบคอเมื่อคืน จนลำคอได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่อาจเปล่งเสียงได้
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเสี่ยวจิ่วฮวาก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ร่างกายของนางสั่นเทิ้มใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไปหมด
เสี่ยวเย่วหยาถอนหายใจออกมา นางรู้ดีว่าเสี่ยวจิ่วฮวาพบเจอกับสิ่งใดมาเมื่อคืนนี้
เพราะนางเองก็พบเจอมันมาแล้ว แต่นับว่านางโชคดีกว่ากระมังที่ไม่ถูกกระทำรุนแรงเช่นนี้เพราะนางเป็นลมไปเสียก่อน เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองกลับมานอนที่ตำหนักของตนแล้ว อีกทั้งยังมีกงกงมาบอกอีกว่านางไม่สามารถปรนนิบัติฝ่าบาทให้พอพระทัยได้ ต่อไปให้เจียมตัวอย่างสร้างเรื่อง แล้วยังถูกลดเบี้ยหวัด ปลดตำแหน่งนางจากผิดเป็นเพียงกุ้ยเหรินเท่านั้น!!!
โชคดีหรอ นี่นับว่าเป็นโชคดีอย่างนั้นหรือ?
เมื่อได้ยินว่าบุตรชายกลับมาถึงวังหลวงแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ดีใจไม่น้อย นางโผเข้ากอดบุตรชาย ก่อนจะจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกคนหามเข้ามาคราหนึ่ง และจึงเอ่ยถามเติ้งจื่อหยวน"นางคือ?""เสด็จแม่ นางคือสตรีของข้า ข้ารักนาง ท่านอย่าให้นางไปที่ใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันไปสบตากับเติ้งหมิงซีคราหนึ่ง เห็นว่าสามีเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะสั่งให้หมอหลวงในวังมาตรวจดูอาการของคนทั้งสองหลายวันต่อมาอาการของฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีขึ้นมากแล้ว วันต่อมาก็มีนางกำนัลเข้ามาบอกว่า เสี่ยวฮองเฮาเรียกนางให้เข้าไปพบฮวาชิงเหยี่ยนไม่ได้ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความ นางตรงไปที่ตำหนักคุณหนิงในทันที เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับเสี่ยวฮองเฮาที่กำลังนั่งจิบชาร้อนอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ภายในตำหนัก"ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินก็มองฮวาชิงเหยี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ลุกขึ้นเถิด หูเป่าหาที่นั่งให้นาง""เพคะฮองเฮา"ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกประหม่าไม่น้อย นางมาที่นี่เดิมทีก็ใช้ชีวิตไม่ง่าย เมื่อมาอยู่ในวังและยังมีกฎเกณฑ์มากมายจึงยิ่งไม่คุ้นชิน เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมองออก จึงไม่ได้แสดงท่าทีกดดันนางเท่าใดนัก"
เติ้งหมิงซีลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ทราบข่าวก็เริ่มกระวนกระวายเพราะห่วงบุตรชาย โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากทั้งเจียงซวี่และหลี่จิ่ง ทำให้ไม่กี่วันต่อมาก็สามารถสืบพบกบฏเหล่านั้นได้ และจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันทิ้งไปเสีย แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลฮวาเกือบทั้งหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลยนอกจากฮวาชิงเหยี่ยน เมื่อสอบสวนอย่างละเอ่ียด ก็พบว่าคนพวกนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มคนที่เคยขึ้นตรงต่อเติ้งเจี๋ยมาก่อน และหวังจะแก้แค้นแทนเจ้านายของตน ส่วนคนตระกูลฮวานั้นก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราว และถูกหลอกใช้ให้ส่งข่าวความเป็นไปในเมืองหลวงให้ทราบเพียงเท่านั้น ยามนี้สกุลฮวาตายสิ้น บุตรชายเขาและบุตรสาวนักโทษนางนั้นก็ยังหายไปด้วยกันอีกเมื่อจัดการเรื่องนี้จบแล้ว ก็มีฎีการ้องเรียนไม่หยุดว่าเติ้งจื่อหยวนมีใจคิดไม่ซื่อ มีใจคิดก่อกบฏ เพราะเหตุนี้เติ้งหมิงซีจึงสั่งลงโทษพวกขุนนางเหล่านั้น จนเหล่าขุนนางต่างเงียบปากไม่กล้าเอ่ยปากพูดเรื่องใดออกมาอีกด้านเติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนนั้น ยามนี้คนทั้งสองหลบมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ด้านนอกเมืองหลวง ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกเจ็บเท้าไม่น้อยเล
เช้าวันต่อมาก็มีคนพบศพของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่โรงเตี๊ยม แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ ในตัวเขามีจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เขากำลังติดต่อกับคนที่เติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนพบเจอ และดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ร่วมมือกับกบฏนอกวังหลวงเติ้งจื่อหยวนรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปไม่น้อยเลย แต่เรื่องนี้จะเก็บเงียบไม่ได้ย่อมต้องกราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อเติ้งหมิงซีรู้จึงสั่งตรวจสอบคนใกล้ชิดกับชายผู้นั้นทันทีไม่เว้นแม้แต่จวนสกุลฮวาสุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพบว่าฮวาหยวนเองก็มีส่วนสมคบคิดกับชายผู้นั้นเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนส่งเรื่องราวและความเป็นไปของในเมืองหลวงให้แก่เหล่ากบฏ เพื่อแลกกับเงินไปใช้จ่ายในโรงพนันเขาคิดว่าอย่างไรย่อมไม่มีคนสาวมาถึงตัวเขา แต่ฮวาชิงเหยี่ยนบุตรสาวตัวดีกลับไปรู้เรื่องเข้า เขาตัดใจฆ่านางไม่ลง จึงสั่งให้นางแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นไปเสีย เมื่อแต่งงานออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่สามารถก่อคลื่นลมใดได้อีกแต่เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ใจของเขาคิด สุดท้ายตระกูลฮวาทั้งตระกูลกำลังจะถูกสั่งประหารชีวิตโทษฐานกบฏแต่เพราะเติ้งจื่อหยวนไปขอร้องบิดา ทำให
เติ้งจื่อหยวนหันมาสบตากับฮวาชิงเหยี่ยนอีกครา คนทั้งสองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเป็นฮวาชิงเหยี่ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ข้าเคยมาหาของป่าที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ท่านกับข้าเราต้องลงเขาไปด้วยกันในเวลานี้ ซึ่งมีเพียงทางเดียวคือกระโดดลงไปในแม่น้ำด้านล่างนั่นถึงจะหนีได้ ท่านกลัวหรือไม่"เติ้งจื่อหยวนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ให้ตายเถอะ ประโยคนี้ควรเป็นเขาที่ถามนางมากกว่าสิ เหตุใดจึงกลายเป็นนางมาเอ่ยถามเขาเช่นนี้เล่ายามนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องเช่นนี้แล้ว เขาต้องเร่งหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งจื่อหยวนจึงหันมาเอ่ยกับฮวาชิงเหยี่ยนในทันที"ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด เราไปกันเถอะ""อืม"เติ้งจื่อหยวนจับมือของฮวาชิงเหยี่ยนเอาไว้แน่น ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะพากันกระโดดหนีไปนั้น ก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาเฉียดที่แขนของฮวาชิงเหยี่ยน จนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหันไปมอง ทำให้สบตากับคนที่ยิงธนูใส่นางได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่เห็นอีกคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง เติ้งจื่อหยวนที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย เขาใช้มีดสั้นที่มักพกติดกายมาด้วยเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บ และสั่งให้อง
ฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันก็ตั้งรับไม่ทัน นางพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของเฉินเย่ แต่ทว่าเฉินเย่เหมือนจะระวังตัวและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี จึงไม่เหลือทางให้นางได้จัดการเขาเลย "ดิ้นรนไปเถิด เจ้าไม่รอดเงื้อมมือของข้าหรอก ข้าชอบเจ้ามากนะชิงชิง เป็นของข้าเถอะ" พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้ามาคิดจะจูบที่หน้าผากของนาง แต่ทว่าเฉินเย่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นก็ถูกใครบางคนลากไปจัดการเสียก่อน แสงเทียนที่สลัวรางทำให้มองเห็นทุกอย่างได้บ้าง ฮวาชิงเหยี่ยนมองเห็นว่าเติ้งจื่อหยวนกำลังจัดการเฉินเย่อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฝีมือของเขาดีมาก เฉินเย่ไม่ทันได้เอ่ยปากร้องขอความเมตตาก็โดนซ้อมจนสลบเหมือดไปเสียแล้ว เมื่อซ้อมคนเสร็จเติ้งจื่อหยวนก็สั่งให้คนของเขาลากเฉินเย่ไปโยนเอาไว้ที่ตลาดในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ต้องสั่งสอนให้รู้จักความอัปยศและความอับอายเสียบ้างเมื่อจัดการคนเรียบร้อย เติ้งจื่อหยวนก็หันมาเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนในทันที "เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่"ฮวาชิงเหยี่ยนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจ้าสาม ท่านมาได้อย่างไรกัน"เติ้งจื่อหยวนจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางหันมามองเติ้งจื่อหยวนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนหน้านี้นางด่าเขาในใจเอาไว้มากมาย ยามนี้เมื่อได้เขาช่วยเหลือจนได้เงินคืนมาก็รู้สึกผิดในใจ"ท่านจะให้ข้าตอบแทนเช่นไรก็ว่ามา"เติ้งจื่อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "เลี้ยงบะหมี่ข้าก่อน แล้วข้าจะบอก"ฮวาชิงเหยี่ยนคิดว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางจึงพาเขาไปกินบะหมี่ที่ร้านลุงหลี่ตามเดิม หลี่จิ่งมองดูคนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่งเห็นทีอาจิ่วคงกำลังจะมีลูกสะใภ้คนที่สามเสียแล้ว!!เมื่อกินอิ่มแล้ว เติ้งจื่อหยวนจึงเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนทันที"เจ้าชื่ออันใด""ฮวาชิงเหยี่ยน เรียกชิงชิงก็ได้ ท่านเล่า""เรียกข้าว่า เจ้าสามก็ได้"ฮวาชิงเหยี่ยนพยักหน้าคราหนึ่ง ชื่อแปลกพิลึกดีเติ้งจื่อหยวนจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ย"ภาพเหล่านั้นเจ้าวาดได้เช่นไรกัน มันไม่เหมือนกับยุคสมัยนี้เลย ข้าชอบมาก มันคือที่ใดกัน"ฮวาชิงเหยี่ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี นางคิดใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมา"ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เหลือเ