เข้าสู่ระบบวันเวลาไม่คอยท่า ในเมื่อมีหนทางเปิดให้นางเดินแล้วมีหรือคนอย่างนางจะไม่เลือกเดิน หลี่หลิงเฟิ่งกัดผลจิตวิญญาณพร้อมกับวักน้ำทิพย์ในแอ่งขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก
จู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายก็ถาโถมเข้ามาใส่ร่างของนางราวกับมีดนับพันเล่มเฉือนเนื้อนางออกเป็นชิ้นๆ กระดูกของนางราวกับถูกค้อนทุบจนแหลกละเอียด นอกจากความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้แล้ว นางยังรู้สึกถึงพลังรุนแรงสองขุมต้องการจะทะลักทะลวงออกมาจากอก ทั้งร้อนรุ่มทั้งเย็นสบาย
ช่างทุกข์ทรมานจริงหนอ นางอยากละทิ้งความตั้งใจที่มีแต่เดิม แต่ก็รู้ถึงผลแห่งความล้มเหลวว่าจะเป็นอย่างไร
หลี่หลิงเฟิ่งรู้ดี ถ้าพลาดโอกาสในครั้งนี้นางก็คงเป็นได้แค่เศษสวะไปชั่วชีวิต ในเมื่อนางเลือกแล้วว่าจะไม่ยอมเป็นตัวไร้ค่าอีกต่อไป ก็ได้แต่กัดฟันทนสู้กับมัน
“จะอย่างไรข้าก็ต้องทน เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้ อยากจะไปจะอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครขวางข้าได้ทั้งนั้น” หลี่หลิงเฟิ่งตัดสินใจนั่งสมาธิทันที เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งร่าง ทั้งยังรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก พลังสองขุมนั้นกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดภายในกายของนาง นิ้วทั้งสิบจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซิบ นางพยายามประคองสติตนเอง กดขุมพลังที่ร้อนรุ่มไปยังจุดตันเถียน
บ้าจริง เสี่ยวมู่ไม่ได้บอกข้าว่าจะมีผลข้างเคียงที่ทรมานเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงกลับไปเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ก่อน
“ไม่รู้ว่าร่างนี้จะสามารถทนรับความเจ็บปวดเจียนตายได้นานแค่ไหน ถ้าเกิดข้าหมดสติไปก่อนที่จะสำเร็จ แล้วข้าจะทำอย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งหงุดหงิดที่นางทำอะไรมากไม่ได้ คงได้แต่ต้องทนไปอย่างนี้แล้ว
ความสามารถอย่างเดียวในชาติก่อนที่นางภาคภูมิใจที่สุดก็คือความอดทนที่มากกว่าคนอื่น ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยากลำบากแค่ไหนก็ต้องแพ้พ่ายให้กับความอุตสาหะของนาง
ร่างกายที่เดิมทีไม่ได้สมบูรณ์นักค่อยๆ หมดเรี่ยวแรง เมื่อเห็นดังนั้น มือของนางวักน้ำทิพย์ที่อยู่ในแอ่งขึ้นมาดื่มเพื่อยันร่างกายนางให้ยังรับไหว ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปเกรงว่าคงจะหมดสติไปนานแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไร คนทุกคนย่อมมีขีดจำกัด ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วยังไม่มีวี่แววว่าขุมพลังที่ส่งเข้ามาจะกดทับพลังในกายนางได้หรือไม่ สติของหลี่หลิงเฟิ่งค่อยๆ เลือนราง
ทว่าในจังหวะนั้นเองความเจ็บปวดรุนแรงตรงศีรษะแทบจะระเบิดออกมา กระตุ้นให้สติของนางแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง ภาพเคลื่อนไหวหลากหลายพรั่งพรูเข้ามาในสมองของนางราวกับความทรงจำที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ กระท่อนกระแท่น กลับไปกลับมา ไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“เจ้าเป็นใคร เจ้าเห็นสิ่งใดหรือไม่”
“ในเมื่อข้ามอบมันให้ท่านแล้ว มันย่อมเป็นของท่าน ไม่รับหรือ อย่างนั้นข้าฝากเอาไว้ก่อนละกัน ถ้าข้าต้องการจะใช้ ข้าจะมาเอากับท่าน”
“เจ้าไม่ควรมา ที่นี่มีที่ให้ยืนกับคนไม่มีคุณสมบัติอย่างเจ้าด้วยหรือ กลับไปซะ”
“นางมารน้อย เจ้าควรรู้ว่าข้าให้โอกาสแก่เจ้าแล้ว แต่เจ้าเลือกผิดเอง”
“เจ้าเป็นใคร...ข้าไม่ไป...เจ้าเป็นใคร...ข้าเป็นใคร”
“อย่าไป!”
หลี่หลิงเฟิ่งไม่อาจควบคุมร่างกายตนเองได้ ปากของนางพึมพำไม่ได้ศัพท์ ร่างกายสั่นเทาไม่หยุดน้ำตาหลั่งรินเป็นสายน้ำออกมาจากนัยน์ตาที่กำลังหลับอยู่ทั้งสองข้าง หัวใจพลันบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เจ็บปวดทรมานราวกับนางได้สูญเสียสิ่งสำคัญไป
“ข้าชื่อ...”
เฮือก!
โพล๊ะ
หลี่หลิงเฟิ่งสะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นมา ตามลำตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬ ดวงนางของนางฉายแววสับสนอย่างหนัก หัวใจประหวั่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัว ความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสยังคงหลงเหลืออยู่ นางยกมือขึ้นแตะใบหน้าพบว่ามันเปียกโชกไปด้วยคราบน้ำตา
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงเห็นภาพพวกนั้นได้ แล้วคนพวกนั้นเป็นใครกัน หรือว่าจะเป็นความทรงจำของร่างเดิมงั้นหรือ
จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ความทรงจำของร่างนี้ถูกผนึกเอาไว้เหมือนกับที่ผนึกพลังยุทธ์
แต่เมื่อขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วนางพลันส่ายศีรษะ ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องราวของเจ้าของร่างเดิม เด็กสาวผู้ไม่เคยย่างเท้าออกจากจวนเลยสักครั้ง จะรู้จักกับคนมากมายเหล่านั้นได้ยังไง
แล้วมันเป็นของใครกัน
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว คิดไปก็ไม่มีคำตอบ ก็หยุดคิดมันซะเลย ยิ่งตอนนี้นางรู้สึกถึงกระแสพลังทั้งสองขุมภายในร่างกายของนางรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แล้ว นางก็รีบโคจรพลังยุทธ์ให้กระจายไปทั่วร่าง ยังจะมีเวลาอะไรเหลือให้นางขบคิดเรื่องอื่นอีกเล่า
ตอนนี้พลังยุทธ์ของนางถูกปลดผนึกโดยสมบูรณ์แล้ว มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งยกยิ้ม
หลังจากนั้นไม่นานพลันมีกระแสพลังใหม่ทะลักเข้ามาอีกระลอก แต่ไม่ได้เจ็บเจียนตายเหมือนครั้งก่อน กระแสพลังนี้ออกจะทำให้นางหายใจไม่ออกอยู่บ้าง นางรีบโคจรลมปราณให้คงที่ ค่อยๆ ซึมซับพลังทีละน้อย เมื่อครั้งรู้สึกหมดเรี่ยวแรง มือของนางก็จะวักน้ำในบ่อดื่มโดยอัตโนมัติ
การมีน้ำทิพย์มันช่างวิเศษจริงๆ!
เวลาหมุนผ่านไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว หลี่หลิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาช้าๆ ผลไม้จิตวิญญาณที่นางกินเข้าไปนั้นทำให้นางมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นกำเนิดใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นผลจากการดื่มน้ำทิพย์ตลอดทั้งวันร่วมกับการค่อยๆดูดซับพลังยุทธ์ ประสิทธิภาพที่ได้รับ ทำให้ระดับความแข็งแกร่งก้าวกระโดดขึ้นพรวดพราดจนนางเองก็อดตกใจไม่ได้
หลี่หลิงเฟิ่งไม่ใช่ตัวไร้ค่าอีกต่อไป นางในตอนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลาง
นอกจากนี้ไม่เพียงแค่นางเป็นผู้ครอบครองธาตุมิติมายา แต่นางยังครอบครองธาตุไฟอีกด้วย ในแคว้นหลิวอวิ๋นผู้ครอบครองสองธาตุนั้นมีน้อยเท่าหยิบมือ และไม่มีใครที่เป็นผู้ครอบครองธาตุมิติมายาแบบนางเลยสักคน
หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต
เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก
หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น
เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต
รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า
อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส







