LOGINผลจากการปลดผนึกและเลื่อนระดับขั้นพลังยุทธ์ ทำให้ร่างกายของนางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ความรู้สึกเมื่อยล้าอ่อนแรงง่ายจากการขาดสารอาหารมานานปี กลับไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ตลอดทั้งร่างเต็มแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ผิวพรรณจากที่เคยซีดหมองกลับมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตา
แต่เดิมใบหน้าของเด็กน้อยมีความคล้ายคลึงกับใบหน้าของนางในชาติก่อนอยู่ประมาณเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้นางค้นพบว่าใบหน้านี้ไม่เพียงคล้ายนางเต็มสิบส่วนแต่ยังอ่อนเยาว์เปร่งปรั่งนวลเนียนกว่าเดิมหลายเท่า
หลี่หลิงเฟิ่งกลับเข้าไปสำรวจในมิติอีกครั้ง นางสัมผัสได้ว่ามิติของนางมีการเปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้นมุมปากของนางยกยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ เป็นดังคาด มิติมายาสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของผู้ครอบครอง พื้นที่จากเดิมที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายค่อยๆ ฟื้นฟู ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ก็เพียงพอให้นางกู่ร้องในใจได้แล้ว
ไหนจะพื้นที่ที่ขยายใหญ่ขึ้นอีกล่ะ
การค้นพบครั้งนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งแทบคลั่ง
“เพราะมันดีแบบนี้สินะ ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุมิติมายาถึงได้มีน้อยยิ่งกว่าขนนก ไม่รู้ว่าเพราะว่าหายากอยู่แล้ว หรือถูกตามไล่ล่าสังหารเพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นกันแน่” หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างน่าเวทนา
“ยังดีที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้” นางอดที่จะตัวสั่นไม่ได้เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานอย่างหลัง
“หืม” เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งสงบอาการหวาดหวั่นในใจลงได้ ขณะที่เตรียมตัวออกไปนั้น นางเหลือบสายตาไปเห็นตำราสองเล่มวางอยู่มุมห้องพอดี
หลี่หลิงเฟิ่งหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว “หืม ตำราควบคุมพลังธาตุไฟและธาตุมิติมายาอย่างนั้นหรือ โอ้!” นางหยิบอีกเล่มขึ้นมาทันที “ยังมีนี่อีก คัมภีร์โอสถสวรรค์ นี่มัน...” แต่ที่น่าแปลก ตำราทั้งสองเล่มไม่มีชื่อเจ้าของระบุเอาไว้
คัมภีร์โอสถสวรรค์ เป็นตำราที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ด้านในเป็นบันทึกตำรับโอสถโบราณหายาก ไม่เพียงแต่การหลอมยาลูกกลอน แต่ยังมีการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย แต่โรคที่บันทึกไว้ในนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย นางไม่เคยได้ยินโรคพวกนี้เลยสักครั้ง ถ้านางจำไม่ผิด กล่าวกันว่าคัมภีร์โอสถสวรรค์คือตำรับโอสถของปฐมาจารย์แพทย์โอสถเมื่อพันปีก่อนได้บันทึกไว้
สิ่งนี้เป็นของที่นักแพทย์โอสถทุกท่านใฝ่ฝันถึง ใครเลยจะคิดว่าคัมภีร์ที่ทุกคนทั่วหล้าตามหาแทบพลิกแผ่นดินจะอยู่เพียงใต้จมูกตัวไร้ค่าอย่างนาง
หลี่หลิงเฟิ่งเก็บคัมภีร์โอสถสวรรค์ไว้ที่เดิม และหันมาสนใจตำราควบคุมพลังธาตุที่อยู่อีกมือหนึ่งแทน
เป็นแพทย์โอสถก็สำคัญ แต่ตอนนี้ควบคุมพลังธาตุให้ได้ก่อนนั้นสำคัญกว่า เมื่อจัดระเบียบความคิดของตัวเองได้แล้วนางก็ตั้งใจศึกษามันจนลืมวันลืมคืน
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอีกหลายวัน หลี่หลิงเฟิ่งเก็บตำราไว้ที่เดิม นวดคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า หลี่หลิงเฟิ่งทบทวนสิ่งที่อ่านเจอนอกเหนือจากการฝึกควบคุมพลังธาตุ
“จากที่ข้าเข้าใจ ผู้ครอบครองธาตุมิติทั่วไปจะมีมิติมายาอยู่ด้วยเท่านั้น ไม่มีอันใดพิเศษ แต่ผู้ครอบครองธาตุมิติมายาที่มีพรสวรรค์รับรู้ถึงสรรพสัตว์ สัมผัสกับธรรมชาติได้ ยังไม่เคยมีมาก่อนหรืออาจพูดได้ว่าหมื่นปีมานี้จะมีสักคนหนึ่ง เมื่อผู้ฝึกพลังยุทธ์มีพลังจิตขั้นสูงจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้อีกด้วย และธาตุทั้งสองสามารถแยกหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างอิสระ”
“อืม...แต่วิธีฝึกพลังจิตไม่ได้มีบอกไว้ในตำรา อาจเพราะผู้เขียนไม่ได้มีพรสวรรค์ในส่วนนี้ก็เป็นได้ การมีพรสวรรค์แบบนี้นับเป็นเรื่องดี แต่ก็ถือเป็นเรื่องร้ายเหมือนกัน”
“จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าข้าครอบครองสิ่งเหล่านี้อยู่ ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า มีหวังข้าคงถูกฆ่าตายก่อนที่จะแกร่งขึ้นแน่ๆ” นางทั้งตระหนกตกใจทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน แต่ก่อนที่นางจะแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถปกป้องตนเองได้ นางจะให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด หลี่หลิงเฟิ่งตัดสินใจเก็บซ่อนความสามารถของตนไว้
นางคงต้องใช้แต่พลังธาตุไฟเท่านั้นแล้ว
“ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะตื่นตระหนกแค่ไหนที่ข้าหายไปหลายวัน” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองในมิติอีกหน เมื่อพบว่าไม่มีอะไรที่ผ่านสายตานางไปได้แล้ว ก็ออกจากมิติเตรียมกลับทันที
“คงไม่ได้จัดงานศพให้ข้าไปแล้วหรอกนะ เด็กพวกนั้นยิ่งขี้ตกใจง่ายซะด้วย ถ้าเป็นในชาติก่อน คนหายเกิน 24 ชั่วโมงก็แจ้งความได้แล้ว เห้อ...ข้าอยากกลับไปจังเลย” พอคิดถึงชีวิตในชาติที่ผ่านมาก็ให้เศร้าใจ การใช้ชีวิตที่นั่นง่ายดายกว่าที่นี่มาก แตกต่างจากกันโดยสิ้นเชิง อิทธิพลอันยิ่งใหญ่คือเงินตรา ทุกคนมีความเท่าเทียม คุณภาพของชีวิตไขว่คว้าได้ง่าย
นางแค่อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งที่นางไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสเลยทั้งสองชาติคือคำว่าครอบครัว ชาติก่อนของนาง คนในครอบครัวก็ขายนางให้กับองค์กรอัจริยะในประเทศ ทุกคืนวันของนางไร้สีสัน ไร้ความรู้สึก ในหัวมีแต่คำว่าฝึก...ฝึก...และก็ฝึก ทุกวินาทีคืออันตรายของชีวิต นางต้องเอาตัวรอดจากอันตรายต่างๆ ระแวดระวังจากการลอบสังหารของเพื่อนร่วมรุ่น
จนในที่สุดนางได้เป็นยอดอัจริยะหนึ่งในสิบคนขององค์กร นักเรียนที่ได้รับฝึกฝนทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะออกจากขุมนรกนั่น ออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก ได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ สัมผัสชีวิตที่เรียบง่าย แต่ก่อนที่นางจะทำสำเร็จนั้น ก็ดันมาตายซะก่อน แล้วไฉนนางถึงมาอยู่ที่ดินแดนอันตรายรอบด้านแห่งนี้ด้วย มันน่าแค้นเคืองยิ่งนัก
นางแค่อยากมีชีวิตรอด มันยากขนาดนั้นเลยหรือ
เวลาที่หลี่หลิงเฟิ่งได้เห็นบ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่อีกครั้ง นางถึงกลับอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปนาน ผ้าขาวที่ผูกอยู่ตามรั้วตามเสานั่นมันยังไงกัน ยิ่งนางเดินเข้าไปข้างในยิ่งให้รู้สึกถึงความเศร้าโศกยิ่งนัก
“เสี่ยวเซียง...” หลี่หลิงเฟิ่งขบกรามแน่นระงับความโกรธที่กำลังปะทุขึ้นมา เสียงร้องไห้สะอื้นสองเสียงจากด้านในดังออกมาไม่ยอมหยุด ภาพที่เห็นคือมีโถงศพตั้งอยู่กลางบ้าน เด็กสาวกับเด็กผู้ชายสองคนในชุดผ้าฝ้ายสีขาวกำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าโลงศพ
หลี่หลิงเฟิ่งโกรธจนอยากจะหัวเราะออกมา
“ฮึก คุณหนูเจ้าคะ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะที่วันนั้นบ่าวไม่ได้ตามคุณหนูไปด้วย ฮึก บ่าวไม่น่าทิ้งให้คุณหนูอยู่ตามลำพังเลย” เสี่ยวเซียง สาวใช้ส่วนตัวของนางที่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลเช่นเดียวกัน กำลังร้องไห้ตัวโยนอย่างน่าสาร
“อาเซียง เจ้าอย่าโทษตัวเองอีกเลย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ถ้าคุณหนูรู้เข้าคงต้องห่วงเป็นแน่ แล้วนางจะไปสบายได้อย่างไร” เด็กหนุ่มข้างกายพูดปลอบใจ ขณะที่เจ้าตัวก็สะอื้นไห้ไม่ต่างกัน
เหลียงเฉิน คือคนที่นางช่วยชีวิตไว้เมื่อสองปีก่อน ปีนั้นเสี่ยวเฉินอายุราวสิบสามปีถูกเด็กในหมู่บ้านรุมทำร้าย เนื่องจากเขาตัวเล็กที่สุดและผอมแห้ง พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่กับครอบครัวของลุง แต่ตาลุงนั่นโหดร้ายเป็นอย่างมาก ให้เด็กอายุสิบสามไปหาเงิน ใช้แรงงานยังไม่พอแถมยังไม่ให้ข้าวกินอีกต่างหาก เด็กน้อยจึงอดมื้อกินมื้อมาตลอด
ยามที่นางมองเสี่ยวเฉินมันทำให้สะท้อนเห็นตัวเองตอนที่อยู่ในค่ายฝึก ยามที่นางถูกคนอื่นรังแก ต่อมความสงสารของนางจึงบังเกิด ตัดสินใจซื้อชีวิตของเด็กคนนั้นมา
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร หลายปีมานี้คุณหนูคงเศร้าเสียใจที่ถูกขับออกจากตระกูล ไม่งั้นคุณหนูของข้าคง ฮึก ไม่คิดสั้นแบบนี้หรอก”
เสี่ยวเฉินเกาหัว ยิ้มแหยส่งให้เสี่ยวเซียง “คุณหนูอาจจะไม่อยากตายก็ได้ แค่อาจจะออกมาไม่ได้”
“เจ้าจะพูดตอกย้ำให้ได้อะไร ทำไมข้าจะไม่รู้ ใครเข้าไปในนั้นก็ไม่รอดออกมาซักคน ฮึก” เสี่ยวเซียงโกรธขึ้ง หันไปตะโกนใส่หน้าเสี่ยวเฉินอย่างเหลืออด
“ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น บางที...บางทีคุณหนูอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
“หมายความว่าอย่างไร เจ้าเห็นใครเข้าไปแล้วออกมาได้บ้างมั้ย ขนาดนั้นพวกคนที่มีพลังยุทธ์ยังไม่รอด แล้วคุณหนูของข้าที่ไม่มีอะไรเลย ฮือ จะออกมาได้ยังไง” หลี่หลิงเฟิ่งมุมปากกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ตัวน้อย
“แล้วที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผีงั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกรอกตามองทั้งสองคนอย่างเหนื่อยหน่าย พลางเดินเข้าไปใกล้จ้องมองอย่างขุ่นเคือง
“เสี่ยวเซียง นิสัยตื่มตูมของเจ้าเมื่อไหร่จะหายสักที และเจ้าก็อีกคน แทนที่จะห้ามปรามกลับช่วยนางจัดงานศพให้ข้าอย่างนั้นหรือ เสี่ยวเฉิน” นางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จนใจกับนิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชา
“คะ...คุณหนู ท่าน...” ทั้งสองเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “อาเฉิน หรือข้าคิดถึงคุณหนูมากไป ที่ข้าเห็นเป็นแค่ภาพลวงตาใช่หรือไม่”
“นี่พวกเจ้ามองจนโง่งมไปแล้วหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งพูดอย่างขบขัน “ไปรื้อออกเดี๋ยวนี้ เจ้าจัดงานศพให้ใครกัน ข้ายังไม่ตายนะ” เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของสองคนนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของนางก็หายไปสิ้น ไม่รอให้ทั้งสองได้สติกลับมา นางเดินเข้าไปในห้องนอน เอนตัวนอนพักผ่อนบนเตียง
“นี่ นี่คุณหนูจริงๆ หรือ” มือทั้งสองของเสี่ยวเซียงเขย่าเสี่ยวเฉินไม่หยุด นางหันมองตามทางที่หลี่หลิงเฟิ่งเดินผ่าน
“ถ้าไม่ใช่คุณหนูแล้วจะเป็นใคร เป็นเจ้าที่ตื่นตระหนกไปเอง ฮึ่ม มาช่วยกันเก็บโลงนี่ไปทิ้งเสีย อัปมงคลยิ่งนัก” เสี่ยวเฉินทนไม่ไหว พูดอย่างโมโห กระนั้นก็ไม่ได้สะบัดแขนจากมือที่จับแน่นของเสี่ยวเซียงออก
“ฮึก ฮืออ คุณหนูของข้ายังไม่ตาย! ยังมีชีวิตอยู่! ขอบคุณสวรรค์” หลังจากเด็กสาวได้สติ พลันเปล่งเสียงร้องไห้อย่างยินดีออกมาดังลั่น ทำให้คนบางคนที่กำลังพักผ่อนหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“เงียบ!”
สาวน้อยหุบปากฉับลงทันที
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้
ห่างจากตำแหน่งของหลี่หลิงเฟิ่งไปไม่กี่ลี้ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ห้าคนเดินเรียงกันบนทางดินที่ถูกเถาวัลย์กลืนกิน กำลังจะประสบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงกับพวกนาง คนที่นำหน้าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดเกราะหนา สวมปลอกแขนหนังงูอัสนี เขามีแผลเป็นลากจากขมับจรดปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคยชินกับความตาย ด้านหลังเขาเป็นหญิงสาวสองคน และชายอีกสองคนที่แบกหีบเครื่องมือบนหลัง“ข้าบอกแล้วว่าเส้นทางนี้มีพลังจิตประหลาด เจ้ายังจะเดินเข้ามาอีก” เสียงชายหนุ่มด้านหลังบ่น แต่ก็ไม่ได้หยุดเดินหัวหน้ากลุ่มหันมามองแวบหนึ่ง แววตาเฉียบคม “ในเขตจิตลวงนี้ ทุกย่างก้าวคือโอกาส ถ้าไม่เสี่ยง ก็ไม่มีวันได้อะไรกลับไป”หญิงสาวที่เดินข้างหลังเขายกคิ้ว “หมอกหนาแบบนี้ ขนาดจิตสัมผัสยังถูกสะท้อนกลับ ข้าว่าพวกเราคงโคร้ายมากกว่าโชคดี”“พอ” หัวหน้ากลุ่มพูดขัดเสียงเรียบ “หากกลัวก็กลับ แต่ทรัพยากรของวันนี้จะไม่มีส่วนแบ่งของพวกเจ้า”ครั้นพูดจบ เสียงโต้เถียงจึงหยุดลง ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบดินแฉะเท่าน
ชั่วพริบตา ร่างเงานางพลันแตกแยกออกเป็นห้าสิบภาพในอากาศ แต่ละร่างจับท่าทางเดียวกัน แผ่นหลังตรงดุจคันศร เส้นไหมแดงในมือร่ายวนรอบตน ภาพทั้งหมดเคลื่อนไหวพร้อมกันราวระลอกคลื่นยักษ์“ภาพลวงห้าสิบ!”ระยะเวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ทว่า พลังสะท้อนที่ส่งออกจากห้าสิบร่างกลับเทียบเท่าร่างจริงทุกประการ ประกายเพลิงจากเงาแต่ละร่างพุ่งเข้าใส่ฝูงยุงเลือดจากคนละทิศ ยุงเลือดหลายสิบตัวถูกแผดไหม้จนกลายเป็นเพียงธุลีธุลี ทว่าอีกนับร้อยกลับพุ่งเข้ามาแทนที่อย่างบ้าคลั่งโม่เจี้ยนหมิงสบช่อง ดวงตาเปล่งประกายบ้าบิ่น โผเข้าประชิดด้านข้าง เสียงฟ้าร้องระเบิดในอากาศอีกครั้ง"พายุเจ็ดดารา!" แรงลมหมุนเจ็ดชั้นกระแทกใส่ฝูงยุงจากด้านหลัง กระบี่ลมสับกลางอากาศเสียงฉึบฉับ"ถ้าจะตายขอให้ข้าตายพร้อมพวกเจ้าละกัน!" เสียงของโม่เจี้ยนหมิงดังขึ้นตามหลัง เขาร่ายกระบี่กวาดเป็นวง ก่อเป็นกระแสพายุอันบ้าคลั่งรอบตัวทั้งสองสายลมบ้าคลั่งพัดหมอกกระจายออก เผยให้เห็นร่างของยุงเลือดนับไม่ถ้วนที่แหวกเข้ามา ทว่า เพียงไม่นาน ฝูงอสูรระดับหกสองตัว พุ่งฝ่าเข้ามาอย่างดุดัน แรงคลื่นพลังของมันทำให้ร่างแยกของนางหายวับไปครึ่งหนึ่งในพริบตา หลี่หลิงเฟิ่







