ผลจากการปลดผนึกและเลื่อนระดับขั้นพลังยุทธ์ ทำให้ร่างกายของนางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ความรู้สึกเมื่อยล้าอ่อนแรงง่ายจากการขาดสารอาหารมานานปี กลับไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ตลอดทั้งร่างเต็มแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ผิวพรรณจากที่เคยซีดหมองกลับมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตา
แต่เดิมใบหน้าของเด็กน้อยมีความคล้ายคลึงกับใบหน้าของนางในชาติก่อนอยู่ประมาณเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้นางค้นพบว่าใบหน้านี้ไม่เพียงคล้ายนางเต็มสิบส่วนแต่ยังอ่อนเยาว์เปร่งปรั่งนวลเนียนกว่าเดิมหลายเท่า
หลี่หลิงเฟิ่งกลับเข้าไปสำรวจในมิติอีกครั้ง นางสัมผัสได้ว่ามิติของนางมีการเปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้นมุมปากของนางยกยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ เป็นดังคาด มิติมายาสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของผู้ครอบครอง พื้นที่จากเดิมที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายค่อยๆ ฟื้นฟู ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ก็เพียงพอให้นางกู่ร้องในใจได้แล้ว
ไหนจะพื้นที่ที่ขยายใหญ่ขึ้นอีกล่ะ
การค้นพบครั้งนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งแทบคลั่ง
“เพราะมันดีแบบนี้สินะ ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุมิติมายาถึงได้มีน้อยยิ่งกว่าขนนก ไม่รู้ว่าเพราะว่าหายากอยู่แล้ว หรือถูกตามไล่ล่าสังหารเพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นกันแน่” หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างน่าเวทนา
“ยังดีที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้” นางอดที่จะตัวสั่นไม่ได้เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานอย่างหลัง
“หืม” เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งสงบอาการหวาดหวั่นในใจลงได้ ขณะที่เตรียมตัวออกไปนั้น นางเหลือบสายตาไปเห็นตำราสองเล่มวางอยู่มุมห้องพอดี
หลี่หลิงเฟิ่งหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว “หืม ตำราควบคุมพลังธาตุไฟและธาตุมิติมายาอย่างนั้นหรือ โอ้!” นางหยิบอีกเล่มขึ้นมาทันที “ยังมีนี่อีก คัมภีร์โอสถสวรรค์ นี่มัน...” แต่ที่น่าแปลก ตำราทั้งสองเล่มไม่มีชื่อเจ้าของระบุเอาไว้
คัมภีร์โอสถสวรรค์ เป็นตำราที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ด้านในเป็นบันทึกตำรับโอสถโบราณหายาก ไม่เพียงแต่การหลอมยาลูกกลอน แต่ยังมีการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย แต่โรคที่บันทึกไว้ในนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย นางไม่เคยได้ยินโรคพวกนี้เลยสักครั้ง ถ้านางจำไม่ผิด กล่าวกันว่าคัมภีร์โอสถสวรรค์คือตำรับโอสถของปฐมาจารย์แพทย์โอสถเมื่อพันปีก่อนได้บันทึกไว้
สิ่งนี้เป็นของที่นักแพทย์โอสถทุกท่านใฝ่ฝันถึง ใครเลยจะคิดว่าคัมภีร์ที่ทุกคนทั่วหล้าตามหาแทบพลิกแผ่นดินจะอยู่เพียงใต้จมูกตัวไร้ค่าอย่างนาง
หลี่หลิงเฟิ่งเก็บคัมภีร์โอสถสวรรค์ไว้ที่เดิม และหันมาสนใจตำราควบคุมพลังธาตุที่อยู่อีกมือหนึ่งแทน
เป็นแพทย์โอสถก็สำคัญ แต่ตอนนี้ควบคุมพลังธาตุให้ได้ก่อนนั้นสำคัญกว่า เมื่อจัดระเบียบความคิดของตัวเองได้แล้วนางก็ตั้งใจศึกษามันจนลืมวันลืมคืน
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอีกหลายวัน หลี่หลิงเฟิ่งเก็บตำราไว้ที่เดิม นวดคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า หลี่หลิงเฟิ่งทบทวนสิ่งที่อ่านเจอนอกเหนือจากการฝึกควบคุมพลังธาตุ
“จากที่ข้าเข้าใจ ผู้ครอบครองธาตุมิติทั่วไปจะมีมิติมายาอยู่ด้วยเท่านั้น ไม่มีอันใดพิเศษ แต่ผู้ครอบครองธาตุมิติมายาที่มีพรสวรรค์รับรู้ถึงสรรพสัตว์ สัมผัสกับธรรมชาติได้ ยังไม่เคยมีมาก่อนหรืออาจพูดได้ว่าหมื่นปีมานี้จะมีสักคนหนึ่ง เมื่อผู้ฝึกพลังยุทธ์มีพลังจิตขั้นสูงจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้อีกด้วย และธาตุทั้งสองสามารถแยกหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างอิสระ”
“อืม...แต่วิธีฝึกพลังจิตไม่ได้มีบอกไว้ในตำรา อาจเพราะผู้เขียนไม่ได้มีพรสวรรค์ในส่วนนี้ก็เป็นได้ การมีพรสวรรค์แบบนี้นับเป็นเรื่องดี แต่ก็ถือเป็นเรื่องร้ายเหมือนกัน”
“จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าข้าครอบครองสิ่งเหล่านี้อยู่ ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า มีหวังข้าคงถูกฆ่าตายก่อนที่จะแกร่งขึ้นแน่ๆ” นางทั้งตระหนกตกใจทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน แต่ก่อนที่นางจะแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถปกป้องตนเองได้ นางจะให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด หลี่หลิงเฟิ่งตัดสินใจเก็บซ่อนความสามารถของตนไว้
นางคงต้องใช้แต่พลังธาตุไฟเท่านั้นแล้ว
“ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะตื่นตระหนกแค่ไหนที่ข้าหายไปหลายวัน” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองในมิติอีกหน เมื่อพบว่าไม่มีอะไรที่ผ่านสายตานางไปได้แล้ว ก็ออกจากมิติเตรียมกลับทันที
“คงไม่ได้จัดงานศพให้ข้าไปแล้วหรอกนะ เด็กพวกนั้นยิ่งขี้ตกใจง่ายซะด้วย ถ้าเป็นในชาติก่อน คนหายเกิน 24 ชั่วโมงก็แจ้งความได้แล้ว เห้อ...ข้าอยากกลับไปจังเลย” พอคิดถึงชีวิตในชาติที่ผ่านมาก็ให้เศร้าใจ การใช้ชีวิตที่นั่นง่ายดายกว่าที่นี่มาก แตกต่างจากกันโดยสิ้นเชิง อิทธิพลอันยิ่งใหญ่คือเงินตรา ทุกคนมีความเท่าเทียม คุณภาพของชีวิตไขว่คว้าได้ง่าย
นางแค่อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งที่นางไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสเลยทั้งสองชาติคือคำว่าครอบครัว ชาติก่อนของนาง คนในครอบครัวก็ขายนางให้กับองค์กรอัจริยะในประเทศ ทุกคืนวันของนางไร้สีสัน ไร้ความรู้สึก ในหัวมีแต่คำว่าฝึก...ฝึก...และก็ฝึก ทุกวินาทีคืออันตรายของชีวิต นางต้องเอาตัวรอดจากอันตรายต่างๆ ระแวดระวังจากการลอบสังหารของเพื่อนร่วมรุ่น
จนในที่สุดนางได้เป็นยอดอัจริยะหนึ่งในสิบคนขององค์กร นักเรียนที่ได้รับฝึกฝนทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะออกจากขุมนรกนั่น ออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก ได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ สัมผัสชีวิตที่เรียบง่าย แต่ก่อนที่นางจะทำสำเร็จนั้น ก็ดันมาตายซะก่อน แล้วไฉนนางถึงมาอยู่ที่ดินแดนอันตรายรอบด้านแห่งนี้ด้วย มันน่าแค้นเคืองยิ่งนัก
นางแค่อยากมีชีวิตรอด มันยากขนาดนั้นเลยหรือ
เวลาที่หลี่หลิงเฟิ่งได้เห็นบ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่อีกครั้ง นางถึงกลับอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปนาน ผ้าขาวที่ผูกอยู่ตามรั้วตามเสานั่นมันยังไงกัน ยิ่งนางเดินเข้าไปข้างในยิ่งให้รู้สึกถึงความเศร้าโศกยิ่งนัก
“เสี่ยวเซียง...” หลี่หลิงเฟิ่งขบกรามแน่นระงับความโกรธที่กำลังปะทุขึ้นมา เสียงร้องไห้สะอื้นสองเสียงจากด้านในดังออกมาไม่ยอมหยุด ภาพที่เห็นคือมีโถงศพตั้งอยู่กลางบ้าน เด็กสาวกับเด็กผู้ชายสองคนในชุดผ้าฝ้ายสีขาวกำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าโลงศพ
หลี่หลิงเฟิ่งโกรธจนอยากจะหัวเราะออกมา
“ฮึก คุณหนูเจ้าคะ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะที่วันนั้นบ่าวไม่ได้ตามคุณหนูไปด้วย ฮึก บ่าวไม่น่าทิ้งให้คุณหนูอยู่ตามลำพังเลย” เสี่ยวเซียง สาวใช้ส่วนตัวของนางที่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลเช่นเดียวกัน กำลังร้องไห้ตัวโยนอย่างน่าสาร
“อาเซียง เจ้าอย่าโทษตัวเองอีกเลย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ถ้าคุณหนูรู้เข้าคงต้องห่วงเป็นแน่ แล้วนางจะไปสบายได้อย่างไร” เด็กหนุ่มข้างกายพูดปลอบใจ ขณะที่เจ้าตัวก็สะอื้นไห้ไม่ต่างกัน
เหลียงเฉิน คือคนที่นางช่วยชีวิตไว้เมื่อสองปีก่อน ปีนั้นเสี่ยวเฉินอายุราวสิบสามปีถูกเด็กในหมู่บ้านรุมทำร้าย เนื่องจากเขาตัวเล็กที่สุดและผอมแห้ง พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่กับครอบครัวของลุง แต่ตาลุงนั่นโหดร้ายเป็นอย่างมาก ให้เด็กอายุสิบสามไปหาเงิน ใช้แรงงานยังไม่พอแถมยังไม่ให้ข้าวกินอีกต่างหาก เด็กน้อยจึงอดมื้อกินมื้อมาตลอด
ยามที่นางมองเสี่ยวเฉินมันทำให้สะท้อนเห็นตัวเองตอนที่อยู่ในค่ายฝึก ยามที่นางถูกคนอื่นรังแก ต่อมความสงสารของนางจึงบังเกิด ตัดสินใจซื้อชีวิตของเด็กคนนั้นมา
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร หลายปีมานี้คุณหนูคงเศร้าเสียใจที่ถูกขับออกจากตระกูล ไม่งั้นคุณหนูของข้าคง ฮึก ไม่คิดสั้นแบบนี้หรอก”
เสี่ยวเฉินเกาหัว ยิ้มแหยส่งให้เสี่ยวเซียง “คุณหนูอาจจะไม่อยากตายก็ได้ แค่อาจจะออกมาไม่ได้”
“เจ้าจะพูดตอกย้ำให้ได้อะไร ทำไมข้าจะไม่รู้ ใครเข้าไปในนั้นก็ไม่รอดออกมาซักคน ฮึก” เสี่ยวเซียงโกรธขึ้ง หันไปตะโกนใส่หน้าเสี่ยวเฉินอย่างเหลืออด
“ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น บางที...บางทีคุณหนูอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
“หมายความว่าอย่างไร เจ้าเห็นใครเข้าไปแล้วออกมาได้บ้างมั้ย ขนาดนั้นพวกคนที่มีพลังยุทธ์ยังไม่รอด แล้วคุณหนูของข้าที่ไม่มีอะไรเลย ฮือ จะออกมาได้ยังไง” หลี่หลิงเฟิ่งมุมปากกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ตัวน้อย
“แล้วที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผีงั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกรอกตามองทั้งสองคนอย่างเหนื่อยหน่าย พลางเดินเข้าไปใกล้จ้องมองอย่างขุ่นเคือง
“เสี่ยวเซียง นิสัยตื่มตูมของเจ้าเมื่อไหร่จะหายสักที และเจ้าก็อีกคน แทนที่จะห้ามปรามกลับช่วยนางจัดงานศพให้ข้าอย่างนั้นหรือ เสี่ยวเฉิน” นางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จนใจกับนิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชา
“คะ...คุณหนู ท่าน...” ทั้งสองเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “อาเฉิน หรือข้าคิดถึงคุณหนูมากไป ที่ข้าเห็นเป็นแค่ภาพลวงตาใช่หรือไม่”
“นี่พวกเจ้ามองจนโง่งมไปแล้วหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งพูดอย่างขบขัน “ไปรื้อออกเดี๋ยวนี้ เจ้าจัดงานศพให้ใครกัน ข้ายังไม่ตายนะ” เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของสองคนนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของนางก็หายไปสิ้น ไม่รอให้ทั้งสองได้สติกลับมา นางเดินเข้าไปในห้องนอน เอนตัวนอนพักผ่อนบนเตียง
“นี่ นี่คุณหนูจริงๆ หรือ” มือทั้งสองของเสี่ยวเซียงเขย่าเสี่ยวเฉินไม่หยุด นางหันมองตามทางที่หลี่หลิงเฟิ่งเดินผ่าน
“ถ้าไม่ใช่คุณหนูแล้วจะเป็นใคร เป็นเจ้าที่ตื่นตระหนกไปเอง ฮึ่ม มาช่วยกันเก็บโลงนี่ไปทิ้งเสีย อัปมงคลยิ่งนัก” เสี่ยวเฉินทนไม่ไหว พูดอย่างโมโห กระนั้นก็ไม่ได้สะบัดแขนจากมือที่จับแน่นของเสี่ยวเซียงออก
“ฮึก ฮืออ คุณหนูของข้ายังไม่ตาย! ยังมีชีวิตอยู่! ขอบคุณสวรรค์” หลังจากเด็กสาวได้สติ พลันเปล่งเสียงร้องไห้อย่างยินดีออกมาดังลั่น ทำให้คนบางคนที่กำลังพักผ่อนหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“เงียบ!”
สาวน้อยหุบปากฉับลงทันที
หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่
ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ
ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน
สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น
*ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ
ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้