LOGINผลจากการปลดผนึกและเลื่อนระดับขั้นพลังยุทธ์ ทำให้ร่างกายของนางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ความรู้สึกเมื่อยล้าอ่อนแรงง่ายจากการขาดสารอาหารมานานปี กลับไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ตลอดทั้งร่างเต็มแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ผิวพรรณจากที่เคยซีดหมองกลับมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตา
แต่เดิมใบหน้าของเด็กน้อยมีความคล้ายคลึงกับใบหน้าของนางในชาติก่อนอยู่ประมาณเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้นางค้นพบว่าใบหน้านี้ไม่เพียงคล้ายนางเต็มสิบส่วนแต่ยังอ่อนเยาว์เปร่งปรั่งนวลเนียนกว่าเดิมหลายเท่า
หลี่หลิงเฟิ่งกลับเข้าไปสำรวจในมิติอีกครั้ง นางสัมผัสได้ว่ามิติของนางมีการเปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้นมุมปากของนางยกยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ เป็นดังคาด มิติมายาสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของผู้ครอบครอง พื้นที่จากเดิมที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายค่อยๆ ฟื้นฟู ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ก็เพียงพอให้นางกู่ร้องในใจได้แล้ว
ไหนจะพื้นที่ที่ขยายใหญ่ขึ้นอีกล่ะ
การค้นพบครั้งนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งแทบคลั่ง
“เพราะมันดีแบบนี้สินะ ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุมิติมายาถึงได้มีน้อยยิ่งกว่าขนนก ไม่รู้ว่าเพราะว่าหายากอยู่แล้ว หรือถูกตามไล่ล่าสังหารเพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นกันแน่” หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างน่าเวทนา
“ยังดีที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้” นางอดที่จะตัวสั่นไม่ได้เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานอย่างหลัง
“หืม” เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งสงบอาการหวาดหวั่นในใจลงได้ ขณะที่เตรียมตัวออกไปนั้น นางเหลือบสายตาไปเห็นตำราสองเล่มวางอยู่มุมห้องพอดี
หลี่หลิงเฟิ่งหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว “หืม ตำราควบคุมพลังธาตุไฟและธาตุมิติมายาอย่างนั้นหรือ โอ้!” นางหยิบอีกเล่มขึ้นมาทันที “ยังมีนี่อีก คัมภีร์โอสถสวรรค์ นี่มัน...” แต่ที่น่าแปลก ตำราทั้งสองเล่มไม่มีชื่อเจ้าของระบุเอาไว้
คัมภีร์โอสถสวรรค์ เป็นตำราที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ด้านในเป็นบันทึกตำรับโอสถโบราณหายาก ไม่เพียงแต่การหลอมยาลูกกลอน แต่ยังมีการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย แต่โรคที่บันทึกไว้ในนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย นางไม่เคยได้ยินโรคพวกนี้เลยสักครั้ง ถ้านางจำไม่ผิด กล่าวกันว่าคัมภีร์โอสถสวรรค์คือตำรับโอสถของปฐมาจารย์แพทย์โอสถเมื่อพันปีก่อนได้บันทึกไว้
สิ่งนี้เป็นของที่นักแพทย์โอสถทุกท่านใฝ่ฝันถึง ใครเลยจะคิดว่าคัมภีร์ที่ทุกคนทั่วหล้าตามหาแทบพลิกแผ่นดินจะอยู่เพียงใต้จมูกตัวไร้ค่าอย่างนาง
หลี่หลิงเฟิ่งเก็บคัมภีร์โอสถสวรรค์ไว้ที่เดิม และหันมาสนใจตำราควบคุมพลังธาตุที่อยู่อีกมือหนึ่งแทน
เป็นแพทย์โอสถก็สำคัญ แต่ตอนนี้ควบคุมพลังธาตุให้ได้ก่อนนั้นสำคัญกว่า เมื่อจัดระเบียบความคิดของตัวเองได้แล้วนางก็ตั้งใจศึกษามันจนลืมวันลืมคืน
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอีกหลายวัน หลี่หลิงเฟิ่งเก็บตำราไว้ที่เดิม นวดคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า หลี่หลิงเฟิ่งทบทวนสิ่งที่อ่านเจอนอกเหนือจากการฝึกควบคุมพลังธาตุ
“จากที่ข้าเข้าใจ ผู้ครอบครองธาตุมิติทั่วไปจะมีมิติมายาอยู่ด้วยเท่านั้น ไม่มีอันใดพิเศษ แต่ผู้ครอบครองธาตุมิติมายาที่มีพรสวรรค์รับรู้ถึงสรรพสัตว์ สัมผัสกับธรรมชาติได้ ยังไม่เคยมีมาก่อนหรืออาจพูดได้ว่าหมื่นปีมานี้จะมีสักคนหนึ่ง เมื่อผู้ฝึกพลังยุทธ์มีพลังจิตขั้นสูงจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้อีกด้วย และธาตุทั้งสองสามารถแยกหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างอิสระ”
“อืม...แต่วิธีฝึกพลังจิตไม่ได้มีบอกไว้ในตำรา อาจเพราะผู้เขียนไม่ได้มีพรสวรรค์ในส่วนนี้ก็เป็นได้ การมีพรสวรรค์แบบนี้นับเป็นเรื่องดี แต่ก็ถือเป็นเรื่องร้ายเหมือนกัน”
“จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าข้าครอบครองสิ่งเหล่านี้อยู่ ถ้าเกิดมีใครรู้เข้า มีหวังข้าคงถูกฆ่าตายก่อนที่จะแกร่งขึ้นแน่ๆ” นางทั้งตระหนกตกใจทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน แต่ก่อนที่นางจะแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถปกป้องตนเองได้ นางจะให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด หลี่หลิงเฟิ่งตัดสินใจเก็บซ่อนความสามารถของตนไว้
นางคงต้องใช้แต่พลังธาตุไฟเท่านั้นแล้ว
“ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะตื่นตระหนกแค่ไหนที่ข้าหายไปหลายวัน” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองในมิติอีกหน เมื่อพบว่าไม่มีอะไรที่ผ่านสายตานางไปได้แล้ว ก็ออกจากมิติเตรียมกลับทันที
“คงไม่ได้จัดงานศพให้ข้าไปแล้วหรอกนะ เด็กพวกนั้นยิ่งขี้ตกใจง่ายซะด้วย ถ้าเป็นในชาติก่อน คนหายเกิน 24 ชั่วโมงก็แจ้งความได้แล้ว เห้อ...ข้าอยากกลับไปจังเลย” พอคิดถึงชีวิตในชาติที่ผ่านมาก็ให้เศร้าใจ การใช้ชีวิตที่นั่นง่ายดายกว่าที่นี่มาก แตกต่างจากกันโดยสิ้นเชิง อิทธิพลอันยิ่งใหญ่คือเงินตรา ทุกคนมีความเท่าเทียม คุณภาพของชีวิตไขว่คว้าได้ง่าย
นางแค่อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งที่นางไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสเลยทั้งสองชาติคือคำว่าครอบครัว ชาติก่อนของนาง คนในครอบครัวก็ขายนางให้กับองค์กรอัจริยะในประเทศ ทุกคืนวันของนางไร้สีสัน ไร้ความรู้สึก ในหัวมีแต่คำว่าฝึก...ฝึก...และก็ฝึก ทุกวินาทีคืออันตรายของชีวิต นางต้องเอาตัวรอดจากอันตรายต่างๆ ระแวดระวังจากการลอบสังหารของเพื่อนร่วมรุ่น
จนในที่สุดนางได้เป็นยอดอัจริยะหนึ่งในสิบคนขององค์กร นักเรียนที่ได้รับฝึกฝนทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะออกจากขุมนรกนั่น ออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก ได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ สัมผัสชีวิตที่เรียบง่าย แต่ก่อนที่นางจะทำสำเร็จนั้น ก็ดันมาตายซะก่อน แล้วไฉนนางถึงมาอยู่ที่ดินแดนอันตรายรอบด้านแห่งนี้ด้วย มันน่าแค้นเคืองยิ่งนัก
นางแค่อยากมีชีวิตรอด มันยากขนาดนั้นเลยหรือ
เวลาที่หลี่หลิงเฟิ่งได้เห็นบ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่อีกครั้ง นางถึงกลับอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปนาน ผ้าขาวที่ผูกอยู่ตามรั้วตามเสานั่นมันยังไงกัน ยิ่งนางเดินเข้าไปข้างในยิ่งให้รู้สึกถึงความเศร้าโศกยิ่งนัก
“เสี่ยวเซียง...” หลี่หลิงเฟิ่งขบกรามแน่นระงับความโกรธที่กำลังปะทุขึ้นมา เสียงร้องไห้สะอื้นสองเสียงจากด้านในดังออกมาไม่ยอมหยุด ภาพที่เห็นคือมีโถงศพตั้งอยู่กลางบ้าน เด็กสาวกับเด็กผู้ชายสองคนในชุดผ้าฝ้ายสีขาวกำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าโลงศพ
หลี่หลิงเฟิ่งโกรธจนอยากจะหัวเราะออกมา
“ฮึก คุณหนูเจ้าคะ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะที่วันนั้นบ่าวไม่ได้ตามคุณหนูไปด้วย ฮึก บ่าวไม่น่าทิ้งให้คุณหนูอยู่ตามลำพังเลย” เสี่ยวเซียง สาวใช้ส่วนตัวของนางที่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลเช่นเดียวกัน กำลังร้องไห้ตัวโยนอย่างน่าสาร
“อาเซียง เจ้าอย่าโทษตัวเองอีกเลย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ถ้าคุณหนูรู้เข้าคงต้องห่วงเป็นแน่ แล้วนางจะไปสบายได้อย่างไร” เด็กหนุ่มข้างกายพูดปลอบใจ ขณะที่เจ้าตัวก็สะอื้นไห้ไม่ต่างกัน
เหลียงเฉิน คือคนที่นางช่วยชีวิตไว้เมื่อสองปีก่อน ปีนั้นเสี่ยวเฉินอายุราวสิบสามปีถูกเด็กในหมู่บ้านรุมทำร้าย เนื่องจากเขาตัวเล็กที่สุดและผอมแห้ง พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่กับครอบครัวของลุง แต่ตาลุงนั่นโหดร้ายเป็นอย่างมาก ให้เด็กอายุสิบสามไปหาเงิน ใช้แรงงานยังไม่พอแถมยังไม่ให้ข้าวกินอีกต่างหาก เด็กน้อยจึงอดมื้อกินมื้อมาตลอด
ยามที่นางมองเสี่ยวเฉินมันทำให้สะท้อนเห็นตัวเองตอนที่อยู่ในค่ายฝึก ยามที่นางถูกคนอื่นรังแก ต่อมความสงสารของนางจึงบังเกิด ตัดสินใจซื้อชีวิตของเด็กคนนั้นมา
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร หลายปีมานี้คุณหนูคงเศร้าเสียใจที่ถูกขับออกจากตระกูล ไม่งั้นคุณหนูของข้าคง ฮึก ไม่คิดสั้นแบบนี้หรอก”
เสี่ยวเฉินเกาหัว ยิ้มแหยส่งให้เสี่ยวเซียง “คุณหนูอาจจะไม่อยากตายก็ได้ แค่อาจจะออกมาไม่ได้”
“เจ้าจะพูดตอกย้ำให้ได้อะไร ทำไมข้าจะไม่รู้ ใครเข้าไปในนั้นก็ไม่รอดออกมาซักคน ฮึก” เสี่ยวเซียงโกรธขึ้ง หันไปตะโกนใส่หน้าเสี่ยวเฉินอย่างเหลืออด
“ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น บางที...บางทีคุณหนูอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
“หมายความว่าอย่างไร เจ้าเห็นใครเข้าไปแล้วออกมาได้บ้างมั้ย ขนาดนั้นพวกคนที่มีพลังยุทธ์ยังไม่รอด แล้วคุณหนูของข้าที่ไม่มีอะไรเลย ฮือ จะออกมาได้ยังไง” หลี่หลิงเฟิ่งมุมปากกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ตัวน้อย
“แล้วที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผีงั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกรอกตามองทั้งสองคนอย่างเหนื่อยหน่าย พลางเดินเข้าไปใกล้จ้องมองอย่างขุ่นเคือง
“เสี่ยวเซียง นิสัยตื่มตูมของเจ้าเมื่อไหร่จะหายสักที และเจ้าก็อีกคน แทนที่จะห้ามปรามกลับช่วยนางจัดงานศพให้ข้าอย่างนั้นหรือ เสี่ยวเฉิน” นางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จนใจกับนิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชา
“คะ...คุณหนู ท่าน...” ทั้งสองเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “อาเฉิน หรือข้าคิดถึงคุณหนูมากไป ที่ข้าเห็นเป็นแค่ภาพลวงตาใช่หรือไม่”
“นี่พวกเจ้ามองจนโง่งมไปแล้วหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งพูดอย่างขบขัน “ไปรื้อออกเดี๋ยวนี้ เจ้าจัดงานศพให้ใครกัน ข้ายังไม่ตายนะ” เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของสองคนนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของนางก็หายไปสิ้น ไม่รอให้ทั้งสองได้สติกลับมา นางเดินเข้าไปในห้องนอน เอนตัวนอนพักผ่อนบนเตียง
“นี่ นี่คุณหนูจริงๆ หรือ” มือทั้งสองของเสี่ยวเซียงเขย่าเสี่ยวเฉินไม่หยุด นางหันมองตามทางที่หลี่หลิงเฟิ่งเดินผ่าน
“ถ้าไม่ใช่คุณหนูแล้วจะเป็นใคร เป็นเจ้าที่ตื่นตระหนกไปเอง ฮึ่ม มาช่วยกันเก็บโลงนี่ไปทิ้งเสีย อัปมงคลยิ่งนัก” เสี่ยวเฉินทนไม่ไหว พูดอย่างโมโห กระนั้นก็ไม่ได้สะบัดแขนจากมือที่จับแน่นของเสี่ยวเซียงออก
“ฮึก ฮืออ คุณหนูของข้ายังไม่ตาย! ยังมีชีวิตอยู่! ขอบคุณสวรรค์” หลังจากเด็กสาวได้สติ พลันเปล่งเสียงร้องไห้อย่างยินดีออกมาดังลั่น ทำให้คนบางคนที่กำลังพักผ่อนหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“เงียบ!”
สาวน้อยหุบปากฉับลงทันที
หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต
เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก
หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น
เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต
รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า
อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส







