เข้าสู่ระบบ“ห้องของชายารอง ทำไมถึงไม่มีแสงไฟเล็ดลอด”
“นายหญิงให้ข้าออกมาแล้วดับไฟตั้งแต่หัววัน พวกเจ้าจะสงสัยอะไรกัน”
“มีคนร้าย ข้าสงสัยว่า จะซ่อนตัวในห้องของชายารอง”
“เป็นไปไม่ได้ห้องด้านซ้ายมีมากมายอีกทั้งยังมีห้องติดๆ กันหลายห้องคนร้ายจะจงใจเข้าไปในห้องนายหญิงได้อย่างไร ชายารองเพิ่งจะแต่งเข้ามานางคนเมื่อยล้าไม่น้อยพวกเจ้าไปเสียอย่ามารบกวนเวลาพักผ่อน อีกอย่างถ้ามีคนร้ายนายหญิงจะต้องตื่นตกใจร้องขอความช่วยเหลือ”
องครักษ์ส่ายหน้า
“แต่หากข้าละเลย”เจียวหยูทำสีหน้าเบื่อระอา
“นายหญิงเจ้าขา มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
หวางปาหยางส่งเสียงลอดไรฟันเบาๆ
“บอกนางไปว่าเจ้ากำลังนอนไม่มีอะไร ผิดปกติ”
“ข้ากำลังหลับสบายพวกเจ้าส่งเสียงดังรบกวนข้า”
หวางปาหยางอ้าปากค้างกับเสียงใสราวกับระฆังแก้ว ชายารองอ๋องไร้พ่ายผู้นั้น ไหนใครบอกว่าอัปลักษณ์ยิ่งแล้ว เขาเลือกเอาวันแต่งเพราะทุกคนมัวยุ่งๆ จึงอาศัยโอกาสนี้แต่ที่เห็นห้องหับของนางล้วนไม่น่าดู เก่าคร่ำคร่านี่หรือห้องของชายารอง
“เจ้าค่ะ พวกเจ้าได้ยินไหม”
องครักษ์ประสานมือจากไป เจิ้งอ้ายฉิงผลักอกกว้างดิ้นรน ให้หลุดพ้นจากอ้อมกอด แต่กับถูกรัดไว้แน่น
“ชายารอง 555เหมาะสมยิ่งแล้ว”
สะบัดมือเพียงนิด แสงสว่างจากเปลวเทียนสว่างขึ้นที่ข้างแท่นนอน หวางปาหยางอ้าปากค้างใบหน้านวลใยงดงามใต้ร่างของเขา แสงเทียนส่องกระทบมองเห็นชัดเจน อ้ายฉิงรีบยกมือปิดบังใบหน้าซีกขวาด้วยความตกใจลืมไปว่าจะต้องปิดบังใบหน้าซีกซ้าย
“เทพีสวรรค์หรือไร”
เอาแต่ตกตะลึงอ้ายฉิงสะบัดตัวลุกขึ้น คว้ากระบี่ข้างกายมากำไปข้างหนึ่งมืออีกข้างปิดบังใบหน้าไว้
“ไปเสีย ท่านไปเสียไม่ว่าจะเป็นใครท่านจะโชคร้ายเมื่อพบหน้าข้าอาจจะไม่อาจรักษาชีวิตไว้ด้วยซ้ำ”
ไม่ได้กลัวแค่เพียงมือสั่นที่กำกระบี่ แต่ด้วยเหมือนมีมนตร์ขลังกับใบหน้างามที่เขาจ้องมองในครั้งแรกอีกทั้งร่างอ้อนแอ้นของอ้ายฉิงที่ทำเอาเขากลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งสิ่งไหนกันเวทมนตร์หรือว่าใบหน้ากับร่างอรชรนั้น ที่ทำให้เขายอมทำตามคำพูดของนางง่ายดาย ค่อยๆถอยออกจากห้องไปแต่สายตายังจับจ้องใบหน้างามไม่ลดละ อ้ายฉิงตวัดกระบี่ตัดไส้เทียน ความมืดปกคลุมอีกครั้งโยนกระบี่ไปตรงหน้า หวางปาหยางคว้ามันไว้ในมือแล้วรีบทะยานออกจากห้องไปทั้งๆ ที่ ไม่อยากจากไปแม้เพียงน้อยนางงดงามดังเทพีสวรรค์ หญิงงามอันดับหนึ่งยังน้อยไปหากจะเปรียบกับนาง
“ค้น ค้นให้ทั่ว”
เสียงดังโวยวายด้านนอกอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นเสียงของ หวงเฉิงอู๋ ที่นำคนกลับมาอีกครั้ง
“เจียวหยูเปิดห้องของชายารอง”
ด้านในเงียบงันเจียวหยูลังเล
“เปิดประตู”
บานประตูเปิดออกช้าๆ ใบหน้าอัปลักษณ์ต้องแสงเทียนในมือ องครักษ์ต่างก้มหน้าไม่มีใครกล้ามอง ดวงหน้าอัปลักษณ์เกินทน ก่อนหน้านั้นเจิ้งอ้ายฉิง รีบลนลานคว้าแผ่นหนังใต้หมอนมาปิดบังใบหน้าไว้ดึงผ้าห่มมาคลุม ร่างกายที่มีเพียงอาภรณ์บางเบา เผยให้เห็นเรือนร่างชัดเจน
“เจ้าอาจซุกซ่อนคนร้ายไว้ด้านใน ข้าจะให้คนค้นห้องเจ้า”
อ้ายฉิงยิ้ม
“เชิญท่านอ๋อง”
ผายมือเชิญ หวงเฉิงอู๋ก้าวเท้าเข้าไปรื้อค้น สิ่งของในห้องไม่เว้นแม้กระทั่งบนแท่นนอน
“พวกเจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่ใจ ขอรับ”
“บัดซบ วิ่งมาทางนี้ แต่กลับหายตัวไปง่ายดาย”
หันมาเผชิญหน้ากับอ้ายฉิงสายตา จ้องจับผิด
“ข้า เอาผิดเจ้าไม่ได้ แต่อย่าคิดว่าข้าจะวางใจ”
อ้ายฉิงย่อกายลงอ่อนหวาน
“ท่านอ๋องค้นดูอีกรอบจึงดี หากยังไม่วางใจ”
น้ำเสียงอ่อนหวาน จนคนฟังใจอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อป้ายหยกเนื้อดีบ่งบอกฐานะใช้สำหรับของใครบางคนที่ร่วงบนพื้น
หวงเฉิงอู๋ก้มลงเก็บ ป้ายหยกมาขึ้นมายื่นไปตรงหน้า อ้ายฉิง
“สิ่งนี้เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”
มือบางคว้าป้ายหยกอย่างรวดเร็วแต่ ร่างสูงกลับไวกว่าคว้ามือดึงตัวของอ้ายฉิงกระแทกมาที่อกของเขา
“นอกจากใบหน้าอัปลักษณ์แล้ว เจ้ายังทำเรื่องปิดบังชั่วช้า เจ้ารวมหัวกับใคร”
อ้ายฉิงยิ้มหวาน
“ท่านอ๋องกลัว หรือกลัวว่าสิ่งที่ทำไว้จะเปิดเผยออกมาใช่หรือไม่”
ผลักร่างบางให้ลงไปกองกับพื้น
“กลับ”
อ้ายฉิงกำป้ายหยกไว้ในมือแน่น ไม่ยอมปล่อย ดีที่หวงเฉิงอู่คิดว่าป้ายหยกนี่เป็นของคนร้าย
“เราจะไม่เสียเวลาไปกับการตีพวกทหารของเป่ยเอียนทีละส่วน หากเราจะเข้าไปยึด วังหลวง ของพวกมัน เราต้องใช้กลยุทธ์ที่เด็ดขาดและรวดเร็ว” เฉิงอู๋อ๋องพูดขึ้น “ท่านอ๋อง ทัพของเราแข็งแกร่งพอสมควร แต่ปัญหาคือการเข้าไปยึดครอง วังหลวงเป่ยเอียน นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขุนนางในวังจะต่อสู้เพื่อปกป้องบัลลังก์ และไม่มีทางยอมแพ้โดยง่าย” ตงเกาพุโขึ้นด้วยน้ำเสียงทที่กังวลไม่น้อย“ถ้าพวกเขาจะต้านทานพวกเรา เราก็จะต้องหาจุดอ่อนที่สามารถโจมตีได้ รบเร็วและใช้แผนที่คำนวณไว้อย่างรอบคอบ หากข้าสามารถเข้าไปใกล้ตัว เป่ยซวี ได้ก่อน จะสามารถทำให้เขาตกใจได้ แต่ข้าว่าปลิดชีพเขาเสียดีไหมจะได้ไม่ต้องรบยืดเยื้อ” ไป๋ฮวี้พูดขึ้นอย่างคนเลือดร้อน“การที่จะเข้าไปได้ ต้องใช้การขัดขวางทัพของพวกเขาจากด้านหลัง หรือทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเราจะโจมตีทางด้าหน้าอย่างเดียวจึงไม่ทันที่ไม่คาดคิด ข้าซางหลางจะเข้าไปในวังกับไป๋อวี้จากจุดนี้” ซางหลางกล่าวพลางชี้ไปที่แผนที่ทางประตูหลัง“หากเราจัดการตัดเส้นทางส่งเสบียง และโจมตีที่ทิศทางที่พวกมันคิดว่าไม่สำคัญ พวกมันจะสูญเสียสมาธิและเปิดโอกาสให้เราผ่านไปได้ ท่านอ๋องอนุญาตเราสองคนเถอะ” เฉิงอู๋อ๋อง
ที่ชายแดนของ แคว้นเป่ยเอียน เสียงเกราะและฝีเท้าทหารดังระงมไปทั่วทั้งพื้นที่ เมื่อทัพของ เฉิงอู๋อ๋อง เข้ามาใกล้ชายแดนแคว้นเป่ยเอียน แดดร้อนแผดจ้า แต่การเคลื่อนไหวของทัพกลับรวดเร็วและแข็งแกร่ง ทหารที่อยู่หน้าด่านของแคว้นเป่ยเอียนที่เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวมานาน ได้รับข่าวและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการปะทะเฉิงอู๋อ๋อง นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาที่มองไปข้างหน้าไม่ว่อกแว่ก ทัพของเขาเต็มไปด้วยความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะบุกฝ่าเข้าไปยังแคว้นเป่ยเอียนเพื่อทวงแค้นให้กับ โตวโฮฉิน บิดาของ เว่ยจิน ที่ถูกสังหารอย่างโหดร้ายเว่ยจิน ยืนเคียงข้าง ไท่จือซางหลาง พวกเขาทั้งสองจับสายตากัน สายตาของ เว่ยจิน เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขากำมือแน่นจนกระดูกคดเคี้ยว แต่เขาก็ยังไม่ยอมอ่อนแอ"เจ้าพร้อมหรือไม่" ซางหลางถามเสียงเบา ยิ้มให้เว่ยจินอย่างเต็มใจที่จะร่วมมือกันในครั้งนี้"พร้อมแล้ว" เว่ยจินตอบเสียงหนักแน่น กำกระบี่ไว้แน่น มือไม่สั่นไป๋อวี้ ยืนเคียงข้าง เฉิงอู๋อ๋อง มือจับกระบี่เอาไว้แน่น ดวงตาเยือกเย็น ไม่น้อยหน้ากว่าผู้ใหญ่ แม้จะยังเยาว์วัย เขาก็เชื่อมั่นใ
“พี่สาวบอกว่าไม่สามารถทนเห็นพวกเขาต้องไปเผชิญเรื่องทุกข์เข็ญแล้วตัวเองทำอะไรไม่ได้ได้แต่นั่งรอที่นี่ และท่านแม่...พี่สาวพาพี่ไป๋ฮวาไปด้วยค่ะ”เจียวหยูยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง คำตอบนี้ทำให้เจียวหยูรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า ไม่อยากจะเชื่อว่า อี้หลิน บุตรีคนโตที่รักจะตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้“ช่วยรบ ไป๋ฮวาด้วย ทำไมไม่บอกข้า...ทำไมไม่พูดอะไรก่อนนั้น” เจียวหยูเกือบจะหลุดคำถามออกมาด้วยเสียงที่แตกพร่า น้ำตาของเธอเริ่มรื้นขึ้นมาที่ตาอี้เหยาเดินเข้ามาใกล้มารดาด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ...พี่สาวบอกว่าไม่อยากให้ท่านแม่รู้เพราะท่านแม่ห่วงใยพี่อี้หลินมากเกินไป...และพี่สาวเขาบอกว่าเขาเข้มแข็งพอ”เจียวหยูล้มตัวนั่งลงที่เก้าอี้ มองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด “จริงสิ...ทั้งสองคนคงไม่คิดให้ข้าห่วงเลยใช่ไหม พวกเขาเหมือนจะเห็นชีวิตนี้เป็นแค่ของพวกเขาที่จะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจตัวเอง”“ท่านแม่...พี่สาวไม่ได้คิดร้าย...” อี้เหยาพูดเสียงเบาและหันไปมองมารดาเจียวหยูด้วยสายตาอ้อนวอนเจียวหยูนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปหาประตูห้อง “ข้าจะไปหาพระชายา...ต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว ปล่อยไว้แบบนี้ไมไ่ด้จะต้องส่งคนไปตามหาทั้งส
“เจ้าดูดีแล้วไป๋ฮวา แบบน้ไม่มีใครจำจเ้าได้นแ่ถ้าปิดบังใบหน้าเสีย”“แล้วเจ้าเล่าอี้หลินสวมหน้ากากแบบนี้เจ้ากบน้อยจะต้องจำเจ้าได้แน่ๆ”“ช่างเขาสิข้าก็แค่ไม่ไปใกล้เขาก็เท่านั้น” ไป๋ฮวาถอนหายใจยาว“อี้หลิน...เราสองคนจะไปจริงๆ ใช่ไหม” ไป๋ฮวาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเล็กน้อยอี้หลินหันมามองไปที่ไป๋ฮวา ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ารู้ดีว่าข้าทำเช่นนี้เพราะอะไร...ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้แผนการของเราเดินหน้า เราสองคนคุยกันแล้วนี่ข้าไมไ่ด้บังคับเจ้าข้าอยากไปคนเดียวด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องห่วงเจ้า”ไป๋ฮวา พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเข้าใจ... แต่ข้าก็รู้ดีว่าเสี่ยงมาก ถ้าเราถูกจับได้ เราจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก”อี้หลิน หันกลับไปมองกระจกอีกครั้ง ยกมือขึ้นจับกระบี่ที่อยู่ข้างเอว ทำให้เงาของอี้หลินที่สวมหน้ากากอัปลักษณ์ในกระจกสะท้อนออกมาในท่าทางที่น่าเกรงขาม “หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อให้เรารออีกสักร้อยปีเราก็คงไม่ได้มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วครั้งนี้เราไปช่วยพวกเขา ยามเพลี่ยงพล้ำถือว่าเราทำตัวมีประโยชน์ดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่” ไป๋ฮวา หันไปมองอีกครั้ง ที่ซึ่งทั้งสองคนต่างประคองกระบี่เล่มยาวที่เหน็บข้
เป่ยซวี ยืดตัวขึ้นจากบัลลังก์ มองไปยังทหารคนนั้นด้วยสายตาที่เด็ดขาด"เตรียมการรับมือไว้... ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงอำนาจของข้าเด็ดขาด บัญชาออกไปเตรียมพร้อมและเกณฑ์คนเพิ่มพร้อมเบี้ยหวัดที่สูงเพี่อล่อใจ"ทหารคนนั้น ขยับตัวตรง ขยับมือที่จับไว้ที่คมดาบของตนอย่างมั่นคง "รับบัญชาฝ่าบาท ข้าจะจัดทัพทันที"เป่ยซวี มองไปยังภาพสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกอย่างต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาบัลลังก์และอำนาจที่เขาเคยมีไว้ในมือ เขายืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ข้าจะกวาดล้างทัพของพวกเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง แล้วจะได้รู้ว่าคนอย่างเป่ยซวีไม่แน่จริงไม่มาถึงจุดนี้หรอก"เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินออกไปจากห้องแสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบที่จะทำงานให้เสร็จตามคำสั่งของ เป่ยซวีแผนการเริ่มในหัวของเขาแล้ว การปกป้องบัลลังก์และความยิ่งใหญ่ของตระกูลเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ในมือของเว่ยจิน หรือใครก็ตามที่ต้องการแย่งชิงมันไปจากเขาในห้องโถงใหญ่ของปราสาท เป่ยซวียืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความมืดของค่ำคืน เหมือนกับทำนายถึงความไม่สงบที่กำลังจะมาถึง บรรยากาศรอบตัวเขาเงียบสงัด เสียงของทหารที่เดินไปมาดังแว่วจา
ไป๋ฮวา ยิ้มให้กับอี้เหยา แต่แววตายังคงมีความเศร้าอยู่ "ข้าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าจะเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมา"ซางหลางยิ้มเศร้าๆ ให้กับไป๋ฮวา เว่ยจินดึงชายเสื้อให้อี้เหยามองถุงหอมของเขา เพื่อรอยยิ้มของอี้เหยายามที่เขาต้องจากไป ไป๋อวี้ยื่นปิ่นปักผมพร้อมกับหยกคู่ไว้ในมือของอี้หลิน“ปิ่นนี่ท่านให้ข้าหรือ แล้วหยกชิ้นนี้เล่าท่านไม่พกมันติดตัวอีกแล้วหรือ”“ข้ามีแค่เจ้าก็ต้องให้เจ้าเจ้าอยากได้มันไม่ใช่หรือ ส่วนหยกนั่นจะกลับมารับเอาหยกคู่กับเจ้าในวันที่ข้ากลับมา …. อี้หลินรอข้า” อี้หลินยิ้มเศร้าๆเจียวหยูวางกระบี่ของตงเกาบนมือของสามีพร้อมกับรอยยิ้ม“ท่านจะต้องปกป้องท่านอ๋องด้วยชีวิตและรักษาตัวเองให้รอดกลับมาพบข้า” ตงเกาพยักหน้า โอบรอบไหล่บางของเจียวหยูเสียงเท้าของทหารที่เดินผ่านไปมา ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ขบวนทัพทั้งหมดจะเริ่มยกทัพเดินทางในไม่ช้า ท่ามกลางความเงียบสงัด มีแต่เสียงการสั่งการจาก เฉิงอู๋อ๋อง ที่ดังชัดเจนในสนาม"เริ่มเคลื่อนทัพ" เสียงคำสั่งของเขาดังก้องไปทั่วลาน หันมองอ้ายฉิงที่ยิ้มเศร้าๆ โบกมือลาตงเกา หันไปมอง เว่ยจิน ก่อนจะพยักหน้ากล่าว "ไท่จือ ไปก







