นางเลียนแบบน้ำเสียงของผู้มีอำนาจ ท่าทางดูคล้ายจะจริงจัง“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำให้ตระกูลเกาเถียน กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองอูถ่าน”เงื่อนไขนี้เย้ายวนใจมาก แต่แม่ทัพเกาเถียนกลับไม่ยอมไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อน“องค์หญิงเก้า ท่านไม่ต้องพูดให้มากความ ต่อให้ท่านฆ่าข้า ข้าก็ไม่มีทางยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านผลประโยชน์อันใด? ข้าเกาเถียนก็ไม่เคยสนใจ”หากเขาเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์จริง ๆ ก็คงไม่ช่วยเหลือกษัตริย์ทูเจวี๋ย ขณะที่ถูกเหยลวี่เจิงยึดอำนาจ ทั้งที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากตระกูลเหยลวี่พูดให้ถูกก็คือ สิ่งที่เขาจงรักภักดีไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง แต่เป็นบัลลังก์นั้นต่างหากท่าทางของแม่ทัพเกาเถียนที่ไม่ยอมไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อน ทำให้เสี่ยวถ่านรู้สึกปวดหัวมาก นางจึงหันไปมองกู้หว่านเยว่ด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ“ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรดี?”กู้หว่านเยว่กลับรู้สึกชื่นชมแม่ทัพเกาเถียน แม่ทัพแบบเขาหาได้ยากยิ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นผู้มีความจงรักภักดี จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยภายนอก“พาเขาออกไปก่อนเถิด”คนเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จะไม่ฆ่าเขาหากใช้ให้เป็นประโยชน์ แม่ทัพเกาเถียนจะเป็นขุ
เมื่อเห็นแม่ทัพเกาเถียนถูกพาตัวไปแล้ว สายตาของกู้หว่านเยว่ก็จับจ้องไปที่แม่ทัพน้อยสองคนที่เหลืออยู่“ยะ อย่าฆ่าพวกเรา”ทั้งสองคนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยพวกเขาถูกซูจิ่งสิงมัดเอาไว้แน่น ตอนนี้ไม่สามารถขยับได้“วางใจเถอะ ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า”กู้หว่านเยว่เดินไปตรงหน้าของทั้งสองคน จากการสังเกตเมื่อครู่ นางคิดว่าสองคนนี้ไม่น่าจะหัวแข็งเท่าแม่ทัพเกาเถียนเพียงแค่ข่มขู่และล่อใจด้วยผลประโยชน์เล็กน้อย พวกเขาก็น่าจะยอมสวามิภักดิ์เมื่อได้ยินกู้หว่านเยว่พูดว่าจะไม่ฆ่าพวกเขาสองคน ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่ข้าก็ไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์ คำพูดที่ข้ากล่าวกับแม่ทัพเกาเถียนเมื่อครู่ พวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว”กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็พอจะเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่“พวกเรา...”ทั้งสองคนแสดงสีหน้าลังเล การทรยศเจ้านายเดิมเพื่อไปเข้าข้างเจ้านายใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่าย ๆ กู้หว่านเยว่ก็ไม่รีบร้อน กล่าวเตือนด้วยความหวังดี“พวกเจ้าสองคนต้องคิดให้ดี ๆ ที่จริงแล้วมีพวกเจ้าช่วยหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน กษัตริย์ทูเจวี๋ยอยู่ในมือของพวกเราแล้ว แต่หากพว
“เจ้า!”“อย่าขยับ”เสี่ยวถ่านกล่าวเตือน ทำให้สายตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมืดมนลง“ลูกอกตัญญู เจ้าเอามีดจ่อคอข้าเช่นนี้ เจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?“หากเจ้ากล้า ก็ลงมือฆ่าเลยสิ!”เสี่ยวถ่านหันกลับมา “ข้าจะไม่ฆ่าท่าน ตราบใดที่ท่านสงบเสงี่ยมเจียมตัว ท่านก็จะเป็นเสด็จพ่อของข้าตลอดไป”นางคิดไว้แล้วว่า หลังจากที่นางขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะยกย่องกษัตริย์ทูเจวี๋ยเป็นพระราชบิดา เมื่อถึงเวลานั้นก็ยังคงให้เขาอยู่ในวัง รับรองว่าเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องใด ๆ “ข้าไม่ต้องการ!”กษัตริย์ทูเจวี๋ยหน้าแดงก่ำเสี่ยวถ่านขี้เกียจจะโต้เถียงกับเขา จึงหยิบเชือกป่านขึ้นมามัดกษัตริย์ทูเจวี๋ยไว้ จากนั้นก็หยิบผ้ามายัดเข้าไปในปากของเขา โลกจึงสงบสุขอย่างทันที“ท่านอาจารย์ ต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรดี?”“เหยลวี่เจิงตายแล้วมิใช่หรือ สิ่งแรกที่เราต้องทำคือรวบรวมกำลังพลของตระกูลเหยลวี่จากนั้น ก็ปราบปรามตระกูลอื่น ๆ ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินมาที่ด้านข้าง ปรึกษากันโดยดูแผนที่ของพระราชวัง ทั้งสองคนไม่ได้หลบเลี่ยงเสี่ยวถ่าน แต่กลับดึงนางเข้ามาร่วมรับฟังด้วย“หากเจ้ามีความคิดเห็นใด
กู้หว่านเยว่หัวเราะออกมาทันที“เป็นอย่างไรบ้าง แม่ทัพเกาเถียน คนผู้นี้หน้าตาเหมือนเจ้าหรือไม่?”นางยิ้มจนตาหยี ส่วนเกาเถียนหยวนนั้นโกรธจนแทบคลั่ง“อื้อ ๆ ๆ !”“เกือบลืมไปแล้วว่าปากของเจ้ายังถูกอุดไว้อยู่ พูดออกมาไม่ได้”กู้หว่านเยว่เพิ่งรู้สึกตัว จึงดึงผ้าที่ยัดปากเขาออกในที่สุดเกาเถียนหยวนก็สามารถพูดได้ เขาจ้องมองซูจิ่งสิงด้วยความตกตะลึง แล้วเอ่ยขึ้น“จะ เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงหน้าตาเหมือนข้าราวกับแกะ?”ไม่แปลกที่เขาจะตกใจ แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดของเขาก็ยังหน้าตาไม่เหมือนกันขนาดนี้คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้เหมือนเขาราวกับแกะสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกันเกาเถียนหยวนรู้สึกหวาดกลัว กู้หว่านเยว่หัวเราะเสียงดังลั่นซูจิ่งสิงส่ายหัวอย่างจนใจ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู“น้องหญิง อย่าหัวเราะมากนัก ระวังจะสำลัก”ทันทีที่เขากล่าวออกมา เกาเถียนหยวนก็จำเขาได้ทันที นี่มิใช่บุรุษที่วรยุทธ์สูงส่งผู้นั้นที่อยู่ในท้องพระโรงเมื่อครู่นี้หรอกหรือ?”ไม่สิ เมื่อครู่เขาไม่ได้หน้าตาแบบนี้ตอนนี้เหตุใดจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนหน้าตาไปได้?“วิชาแปลงโฉม?”ทันใดนั้น เกาเถียนหยวนก็นึก
“พะ พวกเจ้า...พวกเจ้าจงใจ”เกาเถียนหยวนโมโหจนแทบแย่ เขาไม่คิดจะยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์หญิงเก้าแต่หากกู้หว่านเยว่ใช้คำสั่งของเขาไประดมพลตระกูลเกาเถียน เช่นนั้นก็เท่ากับว่าตระกูลเกาเถียนได้ลงเรือลำเดียวกันกับพวกเขาแล้ว ต่อไปหากอยากจะออกจากเรือก็คงยากแล้ว ต้องรู้ว่า หากตระกูลเกาเถียนเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ในเมืองอูถ่านครั้งนี้ ตระกูลอื่น ๆ ที่ถูกกดขี่จะต้องผูกใจเจ็บกับตระกูลเกาเถียนอย่างแน่นอนถึงจะไม่ถึงขั้นผูกใจเจ็บ แต่ก็ต้องหวาดระแวงอย่างแน่นอนดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลเกาเถียนจึงต้องการให้ราชวงศ์คุ้มครองเพราะฉะนั้น ตระกูลเกาเถียนต้องกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองอูถ่าน ไม่เช่นนั้นก็จะถูกตระกูลอื่น ๆ ร่วมมือกันกำจัด“ข้ายังไม่ได้ตกลงว่าจะช่วยพวกเจ้า พวกเจ้าจะเอาตราบัญชาการของข้าไปโดยพลการได้อย่างไร?”เกาเถียนหยวนรีบร้อนอธิบายเหตุผลข้อสุดท้ายกับพวกเขา“รีบเอาตราบัญชาการคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”“ไม่มีทาง”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็นแถว ทำให้เกาเถียนหยวนโมโหจนกัดฟันกรอด“แม่ทัพเกาเถียน ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลเกาเถียนของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าผูกคอตายไม่ได้ พระสนมลี่จึงพุ่งชนเสาเมื่อกู้หว่านเยว่มาถึงก็เห็นฉากนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พระสนมลี่จะตาย หากนางตายไป ก็จะสร้างปัญหาไม่น้อย เป็นไปได้มากว่ากษัตริย์ทูเจวี๋ยจะไม่ยอมร่วมมือกับพวกเขาอีกในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กู้หว่านเยว่ก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของพระสนมลี่ไว้ แล้วใช้ผ้าแพรสีขาวในมือของนางมัดมือทั้งสองข้างของนางไว้พระสนมลี่ดิ้นรน “องค์หญิงเก้า เหตุใดท่านถึงช่วยข้า?”“ข้าก็ไม่ได้อยากช่วยท่าน ข้าแค่ไม่อยากเห็นท่านตายไปง่าย ๆ เท่านั้น!”เสี่ยวถ่านหันกลับมา พูดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึก“อีกอย่าง เสด็จแม่ของข้าอยากมีชีวิตอยู่ แต่ก็อยู่ไม่ได้อีกแล้ว”น้ำเสียงของนางสะอื้น ร่างกายที่เล็กบางสั่นเทา นางไม่มีวันลืมว่าเสด็จแม่ถูกเผาทั้งเป็นอย่างไรคนผู้นี้ช่างสำออยนัก มีชีวิตอยู่ได้แท้ ๆ ยังจะหาเรื่องตายอีก!พระสนมลี่ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ดูเหมือนว่านางจะยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง“องค์หญิงเก้า ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ข้าไม่เคยทำร้ายพวกท่านแม่ลูกเลย”“หึ ๆ ใครจะไปเชื่อ?” เสี่ยวถ่านกล่าวอย่างเย้ยหยันก่อนหน้านี้พระสนมลี่ก็
พระสนมลี่สามารถตั้งสติได้เร็วเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง“อย่าเรียกข้าว่าพระสนมลี่อีกเลย เรียกข้าว่าเกอซูลี่เถิด”เกอซูลี่เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา นางไม่ได้ใช้ชื่อนี้มาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่ที่เข้าวังมา“ที่แท้ท่านก็เป็นคนของตระกูลเกอซู”ตระกูลเกอซูในทูเจวี๋ยก็ไม่ถือว่าเป็นตระกูลเล็ก ๆ เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขายังเคยเป็นตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรือง แต่ร้อยกว่าปีมานี้ เนื่องจากทายาทลดน้อยลง ทั้งตระกูลจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง จนในที่สุดก็หายไปจากสายตาผู้คนมิน่าเล่าเกอซูลี่ถึงบอกว่านิสัยของนางหยิ่งยโส ก็เพราะมาจากตระกูลเก่าแก่เช่นนี้ จึงสามารถหยิ่งยโสได้“ถูกต้อง”เกอซูลี่พยักหน้า นางไม่ต้องการเสียเวลาพูดคุยเรื่องของตระกูลมากนัก“ข้ารู้ว่าท่านอยากทำอะไร และข้าก็ยินดีร่วมมือกับท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะบังคับให้เสด็จพ่อของท่านเขียนราชโองการแต่งตั้งรัชทายาท แต่หากไม่มีใครเป็นพยานให้ท่าน ขุนนางในราชสำนักก็ยังคงจะสงสัยอยู่ดี”เสี่ยวถ่านนึกขึ้นได้ “ท่านเต็มใจจะเป็นพยานให้ข้าหรือ?”“ใช่”เกอซูลี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้ายินดีจะเป็นพยานให้ท่านต่อหน้าขุนนางทั้งหลายว่า ราชโองการฉบับนี้เป็นของจริง”“ท่าน
ใช้เวลาไปอีกสองวันในการปัดกวาดเศษซากของครอบครัวอื่นเกอซูลี่ช่วยงานในวัง ควบคุมมารดาสนมขององค์ชายทั้งสามให้อยู่ในกำมือสามวันต่อมา เสี่ยวถ่านขึ้นนั่งตำแหน่งองค์หญิงรัชทายาทได้สำเร็จ โดยถือเอาอาการป่วยร้ายแรงของกษัตริย์ทูเจวี๋ยเป็นเหตุผล ในการเริ่มใช้อำนาจที่แท้จริงของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสิ่งแรกที่นางทำ ก็คือการล้างมลทินให้ราชินีทูเจวี๋ยและตระกูลกู่ลี่กองกำลังที่เหลือของสกุลเหยลวี่ทั้งหมดอยู่ในกำมือของเสี่ยวถ่าน นางทำตามความต้องการของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง สนับสนุนหุ่นเชิดผู้นำตระกูลในสกุลเหยลวี่อำนาจของเมืองอูถ่านผ่านการปฏิรูปครั้งใหญ่ ในที่สุดตระกูลกู่ลี่ก็ได้เห็นแสงอรุณแห่งความหวังในพื้นที่เนรเทศ ทุกคนในครอบครัวกำลังร่วมเฉลิมฉลองทว่าในขณะนี้ ณ ประตูเมืองอันห่างไกลแห่งหนึ่งของเมืองอูถ่าน เสี่ยวถ่านกำลังบอกลากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง “อาจารย์ พวกท่านอยู่ต่ออีกสักพักไม่ได้หรือ?”ดวงตาของเสี่ยวถ่านแดงก่ำตอนนี้กู้หว่านเยว่เป็นญาติคนสุดท้ายของนางแล้ว แม้ว่าตระกูลกู่ลี่จะเป็นสกุลมารดาของนางด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน และนางก็ต้องระวังว่าตระกูลกู่ลี่จะเข้มแข็งเกรียงไกร
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป