“ที่พี่หญิงหว่านเยว่ให้พวกเราอยู่ที่นี่ นางมีเหตุผลของนาง”นางโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล“ทักษะการต่อสู้ของพวกเราสู้พวกเขาไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้น มีแต่จะเป็นตัวถ่วงของพวกเขา”ซูจิ่งสิงมองลั่วยางอย่างชื่นชม นางก็มีความเฉลียวฉลาดที่เกาเจี้ยนเสนอตัวที่จะติดตามไป ก็เพราะคิดว่าเมื่อมีคนเพิ่มอีกคนก็จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น แต่หลังจากฟังการวิเคราะห์ของลั่วยางแล้ว ก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผล“ตกลง เช่นนั้นข้าจะเชื่อฟังพวกท่าน”เกาเจี้ยนเอ่ยอย่างตรึกตรอง“ข้ารู้ว่าพวกท่านสองคนสนใจพระราชวังใต้ดินที่เป็นที่กล่าวขาน แต่ทะเลทรายแห่งนี้เมื่อตกกลางคืนจะมีความอันตราย”เขาตัดสินใจเชื่อฟังคำพูดของซูจิ่งสิง“หลังจากที่พวกข้าสองคนเก็บผลพุทราทรายเสร็จแล้ว ก็จะไปรวมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน รอพวกท่านอยู่ข้างนอก”เขาตบบ่าซูจิ่งสิง“พวกท่านรีบกลับมา”“ตกลง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากปรึกษากับเกาเจี้ยนเสร็จแล้ว ก็กลับไปหากู้หว่านเยว่อีกครั้งทางด้านนี้ เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นกู้หว่านเยว่ยินดีที่จะตามพวกเขาไปตรวจดูก็แนะนำตัวอย่างตื่นเต้นในทันที“ข้าชื่อกัวเสี่ยวม่าน ท่านนี้คือเพื่อนสนิทของสามีของข้า
“ใกล้จะถึงแล้ว”กัวเสี่ยวม่านเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง แล้วหันกลับไปดูการแต่งหน้าแปลก ๆ ของ กู้หว่านเยว่“นี่คืออะไรหรือ?”“เป็นของที่ตกทอดมาจากฝั่งตะวันตก สามารถต้านทานทรายสีเหลืองได้”กู้หว่านเยว่พูดออกไปอย่างนั้นเอง ดวงตาของกัวเสี่ยวม่านกะพริบเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจมากนักเช่นกันอันที่จริงภารกิจหลักของนาง ก็คือพาทั้งสองคนมาที่นี่“แม่นางกู้ พวกท่านสองคนต้องตามติดข้าอย่างใกล้ชิด”กัวเสี่ยวม่านทำท่าทางเป็นห่วง“ทรายสีเหลืองที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเป็นห่วงว่าพวกท่านอาจจะหลงทิศ”กู้หว่านเยว่ไม่สนใจความเป็นห่วงของนาง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้ำอยู่ข้างหน้าแล้วใช่ไหม?”“ถูกต้อง”กัวเสี่ยวม่านและเถียนหมั่งกำอาวุธลับที่อยู่ในแขนเสื้อไว้แน่นอย่างเงียบ ๆ เห็นกู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มที่ไม่เป็นภัยออกมา“เช่นนั้นก็เร่งนำทางไปเถอะ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ”“ตกลง”กัวเสี่ยวม่านถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาจะไม่ได้สังเกตเห็นอะไรนางรีบเร่งฝีเท้า ในที่สุดหลังจากผ่านไปสักพัก ก็พาทั้งสองมาถึงด้านหน้าถ้ำแห่งหนึ่งถ้ำทั่วไปมักจะเดินเข้าไปเป็นทางเรียบ แต่ถ้ำที่ปรากฏตรงหน้ากู้หว่านเย
“รบกวนพวกท่านช่วยลงไปสำรวจเส้นทางก่อน”กัวเสี่ยวม่านตะโกนเสียงดัง ที่แท้การขอให้พวกเขาช่วยนั้นเป็นการหลอกลวง ต้องการให้พวกเขาลงไปสำรวจเส้นทางก่อนต่างหากที่เป็นเรื่องจริงเถียนหมั่งที่นิ่งเงียบอยู่ทางด้านหนึ่งมาโดยตลอด ก็ยื่นมือทั้งสองออกมาผลักซูจิ่งสิงลงไปชั่วพริบตาที่ทั้งสองเคลื่อนไหว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ออกจากตำแหน่งเดิมอย่างฉับพลันทั้งสองมีความระมัดระวังอยู่ก่อนหน้า ย่อมไม่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้พวกเขาถีบทั้งสองลงไปในถ้ำอยู่แล้ว“ติดตามพวกเจ้ามาช่วยคนด้วยความหวังดี สุดท้ายพวกเจ้ากลับคิดร้าย”กู้หว่านเยว่เดินเข้ามาทางด้านหลังกัวเสี่ยวม่านด้วยรอยยิ้มอันคลุมเครือ“เคยมีใครเตือนเจ้าบ้างไหม การหลอกใช้ความเห็นอกเห็นใจของคนอื่น จะต้องได้รับผลกรรม?”“ท่าน?”กัวเสี่ยวม่านเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวยังไม่ทันตอบสนอง ก็เห็นกู้หว่านเยว่ยกเท้าขวาขึ้นมาอย่างสง่างาม ก่อนจะถีบเข้าที่ท้องของนางอย่างแรง“โอ๊ย!”กัวเสี่ยวม่านกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว “ท่านพี่รีบเข้ามาช่วยข้าที รีบเข้ามาช่วยข้าที”วิธีการเช่นนี้ได้รับการทดลองหลายครั้งแล้วว่าไม่พลาด ทำร้ายผู้คนจิตใจดีมามากมายไม่ร
เขาอ้อนวอนน้ำมูกน้ำตาไหล “จอมยุทธทั้งสองท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกเราไม่ได้ตั้งใจพวกท่านอยากได้อะไรข้าล้วนมอบให้ท่านขอร้องพวกท่านปล่อยพวกเราไปเถอะ”ยามอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ไม่มีความคิดต่อต้านเถียนจี้คนนี้เองก็คร่ำหวอดอยู่ในยุทธภพมานาน ยามเพิ่งเริ่มต่อสู้ก็มองออก ความสามารถของสามีภรรยาคู่นี้อยู่เหนือเขาหากยังสู้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องถูกถีบลงถ้ำแน่“ภรรยาของเจ้ายังอยู่ข้างล่างนะ”กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม“สามีใจร้ายยิ่งนัก ถึงขั้นไม่ลงไปอยู่เป็นเพื่อนนาง?”สีหน้าถังจี้เผือดซีด กู้หว่านเยว่ไม่มอบโอกาสให้เขาตอบสนองได้ทันท่วงที สะบัดแส้ออกไป พันรอบตัวเขา โยนลงถ้ำไปแล้วซูจิ่งสิงเองก็ทำแบบเดียวกัน ถีบคนเหล่านั้นลงถ้ำขณะทั้งสองคนกำลังต่อสู้อยู่ข้างบน ระบบเองก็สำรวจถ้ำเรียบร้อยแล้ว“นายหญิง ข้างล่างมีสุสานใต้ดิน มีสุสานใต้ดินจริงๆ”เสียงของระบบตื่นเต้นอย่างมาก“ภายในสุสานใต้ดินยังมีสมบัติไม่น้อยซ่อนอยู่ หากนายหญิงสามารถเก็บสมบัติเหล่านี้ได้ มิติก็จะอัปเกรดสูงขึ้น”กู้หว่านเยว่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ของระบบ ภายในดวงตาทั้งสองข้างเร่าร้อนขึ้นมาในทันใดนางไ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเถอะ”กัวเสี่ยวม่านกลับวาสนาดี แม้ว่านางเป็นคนแรกที่ถูกถีบลงมา แต่ตอนนี้นางถึงขั้นยังไม่ตาย“ท่านพี่ ขอร้องท่านช่วยข้าด้วย”กัวเสี่ยวม่านเดินโซเซ หันมองทางเถียนจี้พลางร้องขอความช่วยเหลือ คิดว่าดีร้ายอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน ภายใต้สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ น่าจะเพียงพอให้ช่วยนางสักครั้งแต่ใครคิดเล่าว่าเถียนจี้กลับหันหน้า ถีบนางแรงๆ หนึ่งทีกัวเสี่ยวม่านถูกถีบจนล้มลงกับพื้น“ทำไม?”นางเบิกตาทั้งสองข้างอย่างเหลือจะเชื่อ“ล้วนมาถึงตอนนี้แล้ว หากสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็ย่อมต้องเอาชีวิตรอด”เถียนจี้ตะโกนอย่างไม่ลังเล“เดิมทีสามีภรรยาก็เป็นนกในป่าเดียวกัน ยามภัยมาต่างพากันบินหนี หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินกระนั้น?”เขาคล้ายไม่ใส่ใจความเป็นตายของกัวเสี่ยวม่าน คิดใช้นางเติมกระเพาะของอสรพิษมีเขาทะเลทรายให้เต็มก่อน ไม่แน่ว่าเขายังสามารถหนีรอดออกไปได้“ท่าน ท่านไม่รู้สึกผิดต่อข้าหรือ?”สายตากัวเสี่ยวม่านสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงเลยว่าเถียนจี้ถึงขั้นทำกับนางเช่นนี้“ข้าทำเพื่อท่านมากถึงเพียงนั้น ทุกครั้งล้วนไปหลอกทำร้ายคนแทนท่าน”กัวเสี่ยวม่านโมโหกระอักเลือด“หากไม่ใช่ข้า เดิ
กัวเสี่ยวม่านตะโกนเสียงดัง ดีใจน้ำตาไหล “ทางฝั่งนั้นมีประตูหิน พวกเรารอดแล้ว!”“มีประตูหินๆ พวกเรารีบหนีเข้าไปเถอะ”เถียนหมั่งอุ้มกัวเสี่ยวม่าน หลบเข้าไปภายในประตูหินอย่างทุลักทุเล“ช่วยพวกเราด้วย”“ให้พวกเราเข้าไปด้วยเถอะ”ผู้อยู่ใต้อาณัติยังมีชีวิตรอดอีกสองคนร้องตะโกน กัวเสี่ยวม่านเห็นอสรพิษมีเขาทะเลทรายเลื้อยมาทางนี้แล้ว ร้องตะโกนด้วยความตกใจ“เร็วเข้า ปิดประตูหิน”เถียนหมั่งไม่ใส่ใจความเป็นตายของผู้อื่นอยู่แล้ว เขายังจงใจดันหินหลายก้อนไว้ข้างหลังประตูหิน“ซือซือ”เสียงของอสรพิษขนาดมหึมาดังขึ้นนอกประตู ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงร้องโอดครวญของผู้อยู่ใต้อาณัติก็ดังขึ้นเถียนหมั่งจับจ้องร่างอรชรของกัวเสี่ยวม่าน ทันใดนั้นกอดนางไว้“ไม่เป็นไรแล้ว พี่สะใภ้”เขาฉวยโอกาสนี้จุมพิตบนใบหูของกัวเสี่ยวม่าน“พวกเราปลอดภัยแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้” กัวเสี่ยวม่านผลักออกอย่างอึดอัด “ข้าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของท่าน”“พี่ใหญ่ตายไปแล้ว”เถียนหมั่งจับจ้องเรือนร่างของกัวเสี่ยวม่าน สวรรค์รู้ดี เขารอวันนี้มานานมากเพียงใด“เสี่ยวม่าน พี่ใหญ่ไม่มีค่าพอให้ท่านรักษาตัวดุจหยกเพื่อเขา ภายภาคหน้าให้ข้าดูแลท่านดี
เถียนหมั่งพูดขู่เสียงเรียบ กัวเสี่ยวม่านเห็นจิตสังหารภายในก้นบึ้งของสายตาเขา หัวใจก็สั่นสะท้านสมเป็นพี่น้องกัน ล้วนพึ่งพาอาศัยไม่ได้นางคลี่ยิ้มออกมา“ข้าย่อมต้องไปกับท่าน”ฉวยโอกาสตอนที่เถียนหมั่งไม่สนใจ กัวเสี่ยวม่านดึงปิ่นปักผมลงมา แทงเข้าทางหลังศีรษะของเขาเมื่อครู่ทั้งสองคนเพิ่งโอบกอดกัน ครั้นได้เห็นสมบัติกองนี้ จากแสดงละครกลับกลายเป็นต่อสู้แล้วกู้หว่านเยว่รับชมสถานการณ์ภายนอกผ่านหน้าจอภายในมิติ จูงซูจิ่งสิงมารับชมละครฉากสนุกด้วยกัน“ท่านพี่ ท่านว่าใครจะชนะ?”กู้หว่านเยว่กัดแตงโม ดูอย่างสนอกสนใจซูจิ่งสิงมองอยู่สองหน นิ้วชี้ไปที่กัวเสี่ยวม่าน“นาง บนตัวนางมีความอำมหิตแฝงอยู่”เพิ่งพูดถ้อยคำนี้จบ ปิ่นปักผมในมือกัวเสี่ยวม่านก็แทงเข้าที่อกของเถียนหมั่ง“ท่าน...”เถียนหมั่งคิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าลงมือ“สมบัติเหล่านี้เป็นของข้าแล้ว” กัวเสี่ยวม่านลำพองใจมาก ดึงปิ่นปักผมออกอย่างไร้เยื่อใยเถียนหมั่งเจ็บปวดล้มลงกับพื้น “ท่าน อำมหิตยิ่งนัก ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น”“ข้ามิได้ล้อเจ้าเล่น”กัวเสี่ยวม่านเลื่อนสายตา เดิมทีนางก็ไม่ชอบเถียนหมั่งอยู่แล้ว ย่อมลงมือโดยไร้แรงกด
กัวเสี่ยวม่านล้มลงบนพื้น ตายตาไม่หลับกู้หว่านเยว่หมุนตัวไปทางขวาหันปากกระบอกปืนดำมืด เล็งเข้าที่เถียนหมั่ง ยิงเขาทีหนึ่งมั่นใจว่าทั้งคู่ตายแล้ว นางจึงเลื่อนสายตามองกองสมบัติเบื้องหน้า“นี่คล้ายสมบัติที่หญิงคนหนึ่งนำมาวางไว้ที่นี่”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด มองเครื่องประดับเต็มตู้ ก็รู้ได้ว่าเจ้าของถ้ำนี้รักความงามมากเพียงใด“หีบและตู้ล้วนเต็มไปด้วยฝุ่น มองออกว่าไม่มีคนมาอย่างน้อยหลายสิบปีแล้ว”ซูจิ่งสิงวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน“ดังนั้น สมบัติเหล่านี้น่าจะไม่มีเจ้าของน้องหญิงสามารถเอาไปอย่างสบายใจได้”“พรืด!”กู้หว่านเยว่หัวเราะเบาๆ ค้นพบอย่างกะทันหัน“ท่านพี่ ข้าพบว่าทุกครั้งยามท่านพบสมบัติ ล้วนไม่เกิดความคิดอยากได้”ดวงตานางใกล้จะเปล่งประกายอยู่รอมร่อดีหรือไม่ ชายคนนี้กลับสุขุมถึงเพียงนี้ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ “เงินเป็นของนอกกาย”ดีดีดีหากคนอื่นพูดถ้อยคำนี้ กู้หว่านเยว่ย่อมไม่เชื่อ แต่นี่กลับหลุดออกจากปากซูจิ่งสิงทันใดนั้นนางเชื่อแล้วสามีของนางไม่ชอบทั้งเงินทั้งอำนาจ เป็นสุภาพบุรุษผู้เที่ยงธรรมคนหนึ่ง“เอ๋ ที่นี่มีหนังสือหนึ่งเล่มด้วยล่ะ”กู้หว่านเยว่พบบันทึกหนึ่ง
“ท่านพี่หญิง เพื่อช่วยพวกท่าน เกือบจะต้องแต่งงานกับวูเหมิงแล้ว ตอนนี้นางยังรอพวกท่านอยู่ที่บ้าน หากพวกท่านไม่อยากให้นางเป็นห่วง ก็ตามข้ามาดี ๆ เถิด”“เจ้า!”นายท่านชวีหมดหนทางแล้ว นายหญิงชวีจึงเกลี้ยกล่อม “ลูกพูดถูกแล้ว รีบกลับบ้านกันเถิด”“ที่เขาทำไปก็เพื่อช่วยพวกเราเช่นกัน”“กว่าพวกเราจะหนีออกมาจากสถานที่บ้า ๆ นั่นได้ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือกลับบ้านก่อน”“ก็ได้” นายท่านชวีพยักหน้าอย่างจนใจ“ตามข้ามา”ชวีเฟิงพาทั้งสองคนกลับไปยังสถานที่ที่เขากับกู้หว่านเยว่ผูกม้าไว้ก่อนหน้านี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ กู้หว่านเยว่กลับมารออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว“พระมเหสี?”ชวีเฟิงวิ่งเข้าไปข้างหน้าด้วยความตกตะลึง“เหตุใดท่านจึงมาถึงเร็วกว่าพวกเราเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ?”กู้หว่านเยว่อารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย เมื่อครู่นี้ นางเก็บผลึกสีน้ำเงินข้างล่างไปจนหมดเกลี้ยงแล้วคราวนี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยเลยทีเดียวอีกทั้งยังได้ศาสตร์ศพพิษนั่นมาอีก สามารถนำไปศึกษาค้นคว้าให้ดีได้“ข้าใช้ทางลัดออกมา ก็เลยเร็วกว่าพวกเจ้าหน่อย ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน พวกเรารีบไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่พลิกตัวขึ้นม้า“พวกคนงานเหมื
“ใต้เท้า ไฟรุนแรงขนาดนี้ ดับไม่ทันแล้วขอรับ อีกอย่างห้องปรุงพิษก็ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว”“อะไรนะ ห้องปรุงพิษถูกเผาแล้วหรือ?”สีหน้าของวูเหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะกระโดดขึ้นมาในทันทีใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่สนใจจะพูดคุยกับหน่วยลาดตระเวนอีกต่อไป รีบเดินโซซัดโซเซไปยังทิศทางของห้องปรุงพิษพอเขาได้เห็นห้องปรุงพิษที่กลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน เขาก็ตกตะลึงจนตาค้าง“ของล่ะ ของที่อยู่ข้างในล่ะ?”ข้างในยังมีไฟลุกไหม้อยู่ วูเหมิงก็พุ่งเข้าไปโดยตรง โชคดีที่คนที่ตามมาขวางไว้ได้ทัน“ไม่ ของที่ข้าศึกษาค้นคว้ามานานขนาดนี้ หยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของข้าสูญเปล่าหมดแล้ว!”วูเหมิงแสดงสีหน้าราวกับแตกสลายเขาได้รับคำสั่งจากราชินี ให้มาทำการศึกษาค้นคว้าที่นี่ เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วภายในห้องปรุงพิษแห่งนี้ มีหลายสิ่งที่เป็นผลงานจากการศึกษาค้นคว้าทั้งวันทั้งคืนของเขา แต่ตอนนี้กลับมอดไหม้ไปในกองเพลิงจนไม่เหลือซากเขาไม่เพียงแต่กังวลว่าราชินีหนานเจียงจะตำหนิเขา แต่ยังเจ็บปวดใจยิ่งกว่าที่ความพยายามทั้งหมดของเขาสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง“ใต้เท้า ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ ข้างในไฟรุนแรงเกินไป ถ้าท่านเข้าไป ก็จะออกม
คนของหน่วยลาดตระเวนก็ไม่ได้สงสัยอะไร พอเดินมาถึงตรงหัวมุม กู้หว่านเยว่ถึงได้เดินแยกไปอีกทาง นางต้องการจะเก็บผลึกสีน้ำเงินในบริเวณนี้ไป“ระบบ เตรียมคลังสำหรับเก็บผลึก”กู้หว่านเยว่แจ้งระบบเสียงหนึ่ง ตามด้วยเสียง “ติ๊ด ๆ ๆ ” ดังขึ้นในหัว นางก็เคลื่อนไหวด้วยจิต ผลึกที่เห็นในทุกที่ที่นางผ่านไปก็ถูกเก็บเข้าไปในคลังจากนั้นก็ถือโอกาสวางเพลิงอีกครั้ง เพื่อสร้างความโกลาหลไม่นานนัก ทั่วทั้งถ้ำเหมืองเบื้องล่างก็ตกอยู่ในสภาพจลาจล ควันไฟหนาทึบลอยคลุ้งไปทั่ว“แย่แล้ว ไฟไหม้ ไฟไหม้แล้ว!”เมื่อเห็นสถานการณ์ไฟลุกลามข้างใน แม้แต่คนของหน่วยลาดตระเวนก็กังวลว่าจะต้องมาทิ้งชีวิตน้อย ๆ ไว้ที่นี่ ต่างก็พยายามวิ่งหนีออกไปข้างนอกกู้หว่านเยว่เห็นว่าสถานการณ์ความวุ่นวายถูกสร้างขึ้นมาพอสมควรแล้ว จึงเข้าไปในมิติเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นชุดของตนเอง พร้อมกับโยนวูเหมิงทิ้งไปจากนั้น นางก็เทเลพอร์ตไปยังปากถ้ำ แล้วหยิบปืนพ่นไฟกระบอกหนึ่งออกมาจากในมิติทุกที่ที่ปืนพ่นไฟผ่านไป แมงมุมที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นเหล่านั้นก็ล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านนางบุกนำหน้าไปเพื่อเปิดทาง จัดการเผาแมงมุมในอุโมงค์ใต้ดินจนหมดสิ้นทุกครั
หลังจากเปิดห้องขังที่อยู่โดยรอบทุกห้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็อาศัยช่วงชุลมุน หายวับเข้าไปในมิติทันทีเมื่อนางออกมาจากมิติอีกครั้ง ก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว“วูเหมิง?!”ชวีเฟิงร้องเสียงหลง เขาเพิ่งจะพาท่านผู้เฒ่าทั้งสองของสกุลชวีออกมาจากคุกใต้ดิน ก็เหลือบไปเห็นวูเหมิงยืนอยู่ตรงหน้าท่ามกลางความตื่นตระหนก ก็รีบชักอาวุธออกมาทันที“เสี่ยวเฟิง ระวังนะ” นายท่านชวีกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง ส่วนนายหญิงชวีก็แสดงสีหน้าวิตกกังวลเต็มเปี่ยม“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวพวกท่านวิ่งหนีไปเลยนะขอรับ”ชวีเฟิงกล่าวเสียงเบา ๆ “วูเหมิง” หันศีรษะกลับมา เลิกคิ้วเล็กน้อย “เจอพ่อแม่เจ้าแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”น้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้...“พระมเหสี?” ชวีเฟิงเอ่ยถามอย่างลองเชิงจนปัญญาจริง ๆ “วูเหมิง” ที่อยู่ตรงหน้าช่างเหมือนจริงเหลือเกิน แม้กระทั่งแววตาดูแคลนและความหยิ่งผยองบนใบหน้าก็เหมือนจริงอย่างยิ่ง“อืม ข้าเอง”กู้หว่านเยว่พยักหน้าเล็กน้อยชวีเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เป็นท่านก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยยังคิดว่าเจ้าวูเหมิงนั่นตื่นแล้ว ตกใจหมดเลย”วูเหมิงเป็
แม้แต่หน่วยลาดตระเวน ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ถ้ำมากเกินไปได้ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นในทันทีว่าถ้ำเกิดไฟไหม้กว่าจะมองเห็นควันดำลอยออกมาจากในถ้ำ ก็สายเกินไปเสียแล้ว“แย่แล้ว ยังมีท่านผู้ใหญ่อีกสองท่านอยู่ในถ้ำนี้ ยังไม่ได้ออกมา!”“สองคนนั่นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่ตอนนี้ห้องปรุงพิษถูกไฟไหม้ การศึกษาค้นคว้าและข้อมูลข้างในถูกทำลายจนหมดสิ้น พวกเราจะไปรายงานราชินีได้อย่างไร?”หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแสดงสีหน้าย่ำแย่พวกเขาล้วนเป็นทหารส่วนพระองค์ของราชินี ย่อมรู้ดีว่าสิ่งของในห้องปรุงพิษนี้มีความสำคัญเพียงใด“ห้องปรุงพิษไม่มีทางลุกไหม้ขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุ ต้องมีคนบุกรุกเข้ามาแน่ ๆ !”หัวหน้าหน่วยหรี่ตาลง ในใจพลันปรากฏลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาแวบหนึ่ง“ท่านวูเหมิงเล่า?”“วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านวูเหมิง เขาลาหยุดไปแล้ว จึงยังไม่ได้กลับมาขอรับ”“คราวนี้เรื่องแย่แล้ว” หัวหน้าจึงตัดสินใจทันที “พวกเจ้ารีบไปปิดทางออกทุกทาง ห้ามใครออกไปเด็ดขาด ส่วนคนที่เหลือไปดับไฟกับข้า ช่วยอะไรได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น”“ขอรับ”หัวหน้านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงสั่งต่อว่า“ไปสั่งหน่วยลาดตระเวนอื่น ๆ ให
“เจ้า...” เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี่คือผู้หญิงคนหนึ่งภายในห้องปรุงพิษไม่มีคนงานเหมืองที่เป็นผู้หญิง“ใครก็ได้!”เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวังทันที ทั้งสามคนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก กู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงข้ามก็มาถึงตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา แล้วหักคอของเขาโดยตรง“อึก...” เขาทำได้เพียงส่งเสียงลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรงเสียงนั้นทำให้อีกคนตกใจ ทว่าเขาตายเร็วกว่าคนก่อนหน้าด้วยซ้ำ แม้แต่ใบหน้าของกู้หว่านเยว่ก็ยังไม่ได้เห็น ก็ถูกปลิดชีพไปแล้วกู้หว่านเยว่เช็ดมือ สายตาเลื่อนผ่านร่างไร้วิญญาณทั้งสองไปโดยปราศจากความใจอ่อนระหว่างทางที่นางมา ก็เห็นโครงกระดูกจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นของคนงานเหมืองผู้บริสุทธิ์คนของห้องปรุงพิษแห่งนี้ ไม่ควรค่าแก่ความเห็นใจเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนถูกจัดการแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปมองเอกสารและขวดยาที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือนางเดินเข้าไปหยิบออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นเปิดดูคร่าว ๆ สิ่งที่เขียนอยู่ข้างในนั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแมลงพิษสังหารคนอย่างราชาแมงป่องพิษ ก็เป็นยาต้องห้ามชนิดต่าง ๆ เช่
กู้หว่านเยว่พยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้เขาใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามตอนนี้นางต้องสืบความลับของห้องปรุงพิษนี้ให้กระจ่างเสียก่อน“ท่านผู้กล้าทั้งสอง คำถามที่พวกท่านต้องการถาม ข้าน้อยได้ตอบไปหมดแล้ว จะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง?”ชายคนนั้นคุกเข่าลง อ้อนวอนทั้งสองคน“พวกเราล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เดิมทีพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านที่ขุดเหมืองอยู่ข้างนอก แต่กลับถูกจับมาโดยไร้เหตุผลไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้วขอรับ”พวกเขาไม่อยากตายอยู่ที่นี่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพ่อแม่ลูกเมียที่บ้านยังรอพวกเขาอยู่หรือไม่ แต่พวกเขาก็ยังอยากกลับไปดูสักหน่อย“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก”กู้หว่านเยว่เป็นคนรักษาสัญญา นางเคยบอกไว้ว่าขอเพียงคนเหล่านี้ตอบคำถามดี ๆ นางก็จะไม่ฆ่าพวกเขาในเวลานี้ ย่อมไม่มีทางผิดคำพูดของตนเอง“หากพวกเจ้าเชื่อใจข้า ข้าก็จะพาพวกเจ้าออกไปด้วยกัน”การถูกคุมขังอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้ ช่างน่าสงสารจริง ๆ หากกู้หว่านเยว่ไม่พบเจอพวกเขาก็แล้วไป แต่เมื่อได้พบแล้ว ก็ตั้งใจจะยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านี้“จริงหรือ ท่านยินดีช่วยพวกเราออกไปจริง ๆ หรือขอรับ?”คนเหล่าน
หลังจากตั้งใจแล้ว สายตาของเขาก็ฉายแววคลั่งไคล้ขึ้นมาแวบหนึ่ง ศาสตร์ความเป็นอมตะ สำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น จะเป็นสิ่งยั่วยวนใจอันยิ่งใหญ่สักเพียงไหนกัน?ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หวั่นไหวรวมทั้งชวีเฟิงก็เช่นกันชายที่ตอบคำถามเมื่อครู่กล่าวว่า “ที่แท้พวกท่านก็ไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องนี้ คงต้องเริ่มเล่าจากงูยักษ์ตัวที่อยู่ตรงหน้าพวกท่านตัวนี้”“เกี่ยวข้องอะไรกับงูยักษ์ตัวนี้หรือ?”กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้วไม่ใช่ว่านางเชื่อเรื่องศาสตร์ความเป็นอมตะ นางรู้ดีว่าเรื่องพรรค์นี้มันช่างเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ เพียงแต่สงสัยว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่“ที่นี่เดิมทีเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อสิบปีก่อนมีคนงานเหมืองคนหนึ่งพบงูยักษ์ที่นี่ ถึงแม้งูยักษ์ตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่ร่างของมันกลับไม่เน่าเปื่อย เรื่องนี้ไม่ทราบว่าไปเข้าถึงหูของราชินีได้อย่างไรราชินีทรงคิดว่า สามารถค้นพบความลับของความเป็นอมตะได้จากร่างของงูยักษ์ตัวนี้”ชวีเฟิงได้สติกลับมา สิบปีก่อน นั่นไม่ใช่ตอนที่ราชินีหนานเจียงสร้างห้องปรุงพิษขึ้นมาหรอกหรือ?“ดังนั
“ชู่ว์ หลบไปข้าง ๆ”คนที่มาค่อนข้างเยอะ ประมาณห้าหกคนได้ โชคดีที่พวกเขาหลบได้เร็วคนทั้งห้าหกคนนี้ สวมสิ่งที่คล้ายหน้ากากป้องกันแก๊สพิษไว้บนใบหน้า และในมือก็ถือเครื่องมืออยู่ด้วยตอนนี้กู้หว่านเยว่ยังคงอยู่ในสภาวะสับสนกับห้องปรุงพิษ อีกทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร จึงตัดสินใจแอบตามพวกเขาไปเงียบ ๆ เผื่อว่าจะได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรบ้าง“ต้องมาเอาของข้างในตัวงูนี่อีกแล้ว น่าขยะแขยงจริง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจบสิ้นสักที”เป็นไปตามคาด ตามไปได้ครู่เดียว พวกเขาก็ได้ยินคนบ่นขึ้นมา“ทน ๆ ไปเถอะน่า ก็อีกไม่เท่าไรแล้ว”“จะทนอย่างไรเล่า สามปีแล้ว สามปีแล้วที่ข้าไม่ได้ออกไปไหนเลย”คนอื่น ๆ ที่เหลือได้ยินดังนั้น ต่างพากันถอนหายใจพวกเขาไม่อยากออกไปหรืออย่างไรเล่าแต่เมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว การจะออกไปนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งแล้ว“พวกเจ้าว่า หากไม่มีงูตัวนี้แล้ว ราชินีจะปล่อยพวกเราออกไปหรือไม่?”“หรือว่า จะฆ่าปิดปาก?”หนึ่งในนั้นทำท่าทางบางอย่าง คนอื่น ๆ ก็หน้าซีดเผือดไปตาม ๆ กัน“เป็นไปไม่ได้หรอก”ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจพวกเขาก็ไม่ม