ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ก็คือมู่หรงฉางเล่อที่พวกเขาเจอที่เขาอินซานก่อนหน้านี้ คนทั้งสองไม่นึกฝันเลยว่า จะมาพบกับนางที่เมืองจี้หนิง “เจ้า เจ้าคือ” มู่หรงฉางเล่อตะลึงไป ทอดสายตาลงบนใบหน้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาร่างของกู้หว่านเยว่อย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้! เป็นท่าน ที่แท้ก็เป็นท่าน โชคดีที่ได้ท่านช่วยข้าไว้” กู้หว่านเยว่ไม่ทันตอบสนองต่อการพุ่งเข้าหาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวของนาง รอจนได้สติกลับมา มู่หรงฉางเล่อก็กอดเอวของนางไว้อย่างแนบแน่นแล้ว ถูไถหัวเข้ามาในอ้อมกอดของนาง ราวกับสุนัขสีเหลืองตัวน้อยที่ได้รับความไม่เป็นธรรม “เจ้าออกมาจากอ้อมแขนของข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน” กู้หว่านเยว่จนใจ คนผู้นี้จะกอดก็ช่างเถิด เหตุใดจึงยังถูไถเข้าหาหน้าอกนางอีกเล่า? “ดีเหลือเกิน พี่สะใภ้ ลูกผู้พี่ ในที่สุดข้าก็ได้พบกับพวกท่านแล้ว” ใบหน้าของมู่หรงฉางเล่อเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หลังร้องไห้ไปสักพักจึงได้ปล่อยกู้หว่านเยว่ แล้วมองคนทั้งสองอย่างน่าสงสาร กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงเห็นนางทุลักทุเลไปทั้งตัว สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ที่จะพูดคุย จึงตัดสินใจพามู่หรงฉางเล่อจากไป ในเวลานั
กู้หว่านเยว่มองมู่หรงฉางเล่อ นางจึงพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ “พวกท่านไม่ได้มอบจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่งหรือ? ข้ามอบให้ท่านแม่แล้ว” “ท่านแม่อ่านจบ ก็พูดอย่างตื่นเต้นว่าพวกท่านคือญาติผู้พี่กับพี่สะใภ้ของข้า” มู่หรงฉางเล่อมองซูจิ่งสิงครั้งหนึ่ง สาวน้อยผู้นี้นับว่าฉลาดไม่เบา ลูกตาดวงน้อยกลอกครั้งหนึ่ง “แต่พวกท่านวางใจ เมื่ออยู่ข้างนอกข้าจะยังคงเรียกพวกท่านว่า ท่านอ๋องกับพระชายา” “เสด็จแม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูจิ่งสิงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มู่หรงฉางเล่อตอบกลับอย่างว่าง่าย “เสด็จแม่สบายดีมาก หลังกินยาฟื้นคืนจิตวิญญาณลงไปนางก็ฟื้นแล้ว หมอหลวงบอกให้บำรุงร่างกายให้ดี ขอเพียงผ่านฤดูหนาวไปได้ ก็ไม่เป็นไรแล้ว” ยาฟื้นคืนจิตวิญญาณสามารถรักษาผู้ป่วยในภาวะวิกฤติได้ ยากจะหาได้ในโลกหล้า ที่กู้หว่านเยว่มอบยาฟื้นคืนจิตวิญญาณเม็ดนั้นให้นาง มู่หรงฉางเล่อซาบซึ้งอย่างที่สุด เมื่อกล่าวจบจึงหมอบต่ำคารวะกู้หว่านเยว่คราหนึ่ง “ขอบคุณพี่สะใภ้ ในอนาคตฉางเล่อจะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน” สาวน้อยผู้นี้น่ารักไร้เดียงสา กู้หว่านเยว่อดบีบแก้มยุ้ยๆ ของนางไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าหนีออกมาจากจวนองค์หญิง เสด็จแม่ของ
อย่าพูดถึงว่าตีเขาสักหน แม้แต่ตีเขาครั้งเดียว หวงฮูหยินก็ทำใจไม่ลง บัดนี้เห็นบุตรชายถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ หวงฮูหยินจึงร้องไห้จนแทบขาดใจ “ยังเหม่ออะไรอยู่อีก? รีบให้คนไปเชิญท่านหมอ แล้วไปตามนายท่านกลับมา” หวงฮูหยินด้านหนึ่งกอดบุตรชายร้องไห้อย่างเจ็บปวด อีกด้านก็สั่งการด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เด็กรับใช้ชายรีบวิ่งออกไปทันที “รีบพูดมา ลูกชายของข้าออกไปเล่นสนุกกับพวกเจ้าดีๆ ตอนกลับมาเหตุใดจึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้?” หวงฮูหยินมองคุณชายพวกนั้นอย่างแค้นใจยิ่ง เหล่าคุณชายต่างก็ตกใจแทบตาย แม้ครอบครัวของพวกเขาจะมีชื่อเสียงในเมืองจี้หนิง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับสกุลหวงเลย “ท่านน้าหวงโปรดระงับโทสะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลยขอรับ” “มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทำร้ายคุณชายหวง พวกเราแต่ละคนก็ล้วนถูกทุบตีเช่นกันขอรับ” หนึ่งในคุณชายพวกนั้นก้าวออกมา นับได้ว่าครอบครัวเขายังสนิทสนมกับสกุลหวงอยู่บ้าง “สามีภรรยาคู่หนึ่ง?” หวงฮูหยินโกรธอย่างยิ่ง “ช่างกล้านัก ถึงกับกล้าทำร้ายจื่อหานของพวกเราในเมืองจี้หนิง” นางก็ไม่รอให้ใต้เท้าหวงกลับมา รีบสั่งให้คนไปสืบหาเบาะแสของกู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงในเม
กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด มู่หรงฉางเล่อก็รีบอธิบายว่า “ไม่โทษท่านอ๋องกับพระชายา พวกเขาสองคนทำเพื่อช่วยข้า วันนี้ข้าเจอพวกอันธพาลคนหนึ่งบนถนนเข้า เจ้าอันธพาลคนนั้นเป็นคุณชายของสกุลหลิว” มู่หรงฉางเล่อรีบอธิบายเรื่องราวออกมารอบหนึ่ง เกาเจี้ยนจึงได้เข้าใจ “ไอ้พวกชั่วช้าแบบนั้นสมควรโดนสั่งสอนแล้วจริงๆ ยังดีที่ข้าไม่อยู่ หากข้าอยู่ต้องทุบมันจนฟันร่วงเต็มพื้นแน่” “แล้วค่อยหิ้วมันไปหาพ่อแม่ของมันที่จวนสกุลหวง ถกกันดีๆ สักรอบ” เมื่อเทียบกับซูจิ่งสิงแล้ว นิสัยของเกาเจี้ยนยังแย่กว่าอีก ทนเห็นพวกขยะสังคมแบบนี้ไม่ได้ที่สุด “พวกมันยังกล้าตามมาหาเรื่องอีก ช่างไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว” “เรื่องนี้ไม่รีบ รอดูก่อนว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด” ซูจิ่งสิงกับกู้หว่านเยว่ทั้งสองกลับสงบนัก เวลานี้ หวงฮูหยินได้นำบ่าวรับใช้ของสกุลหวงมากปิดกั้นประตูโรงเตี๊ยมไว้แล้ว หลังไต่ถามจนได้ความเรื่องห้องพักของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจากปากผู้ดูแล ก็วางแผนจะนำคนบุกขึ้นมาโดยตรง “ฮูหยิน มีเรื่องอะไรได้โปรดพูดคุยกันดีๆ เถิดขอรับ ร้านเล็กๆ ของเราทำกิจการได้ไม่ง่ายเลย” เมื่อผู้ดูแลร้า
“ใครเข้ามา จับพวกมันมัดไว้” หวงฮูหยินโบกมือ วางจะแผนนำตัวพวกเขากลับจวนไปก่อน แล้วค่อยๆ ลงมือสั่งสอน “ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้า” ผลคือบ่าวรับใช้สองคนเพิ่งก้าวเข้าไป ก็ถูกเกาเจี้ยนถีบลอยออกไปในเท้าเดียว เกาเจี้ยนเรี่ยวแรงมหาศาล ลูกถีบนี้ ถึงกับถีบกระเด็นออกไปนอกโรงเตี๊ยม เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างน่าอนาถดังมาจากหน้าประตูโรงเตี๊ยม เปลือกตาของหวงฮูหยินก็กระตุกขึ้นมา “ช่างบังอาจนัก พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด? ถึงกลับกล้าสามหาวต่อหน้าข้า ฮูหยินผู้นี้” เกาเจี้ยนดูแคลนพวกอาศัยอำนาจรังแกคนเป็นที่สุด หันหัวไปพูดกับซูจิ่งสิงคำหนึ่งว่า “จิ่งสิง เจ้าอย่าขยับ ข้าไม่ได้ขยับเขยื้อนกระดูกเส้นเอ็นมานานแล้ว วันนี้ ก็ให้ข้ามาสั่งสอนคนพวกนี้เถอะ” “ได้” ซูจิ่งสิงยิ้มพลางพยักหน้า จูงมือภรรยาของตนไปยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างไม่รีบเร่ง “คิดจะจับพวกเราไปสั่งสอนใช่ไหม? เข้ามาได้เต็มที่เลย” เกาเจี้ยนกำหมัดทั้งสองข้างจนเสียงดังกรอบแกรบ เมื่อเห็นบรรดาบ่าวรับใช้บุกเข้ามา ก็ก้าวเข้าไปใช้หมัดสอยล้มลงหนึ่งคนในเสี้ยววินาที พลังการต่อสู้ของเขา ทำให้หวงฮูหยินและหวงจื่อหานตกใจไม่น้อย “ท่านแม่ พวกมัน ท
“ท่านแม่!” หวงจื่อหานกรีดร้องเสียงหลง เขาถูกตบจนเลือดกบปาก มุดเข้าไปในอ้อมกอดของหวงฮูหยินด้วยความหวาดหวั่นจนฉี่ราด หวงฮูหยินก็ตกใจจนกอดบุตรชายไว้แน่น เมื่อเห็นเขามีเลือดเต็มปาก ก็สงสารจนใจสลาย “จื่อหาน? ลูกชายของแม่!” “ท่านแม่ พวกมันตีข้า ข้าเจ็บเหลือเกิน ฮือ ๆ ๆ” “พวกเจ้ากล้าตีจื่อหานของข้า?” หวงฮูหยินโมโหจนหน้าอกกระเพื่อม อันธพาลชั่วช้าพวกนี้ช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าทำร้ายลูกชายของนางต่อหน้านาง น่าเสียดายที่ บ่าวรับใช้ที่นางนำมาล้วนถูกเกาเจี้ยนจัดการไปหมดแล้ว แม้หวงฮูหยินจะโมโห แต่ยามนี้ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี ในตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา “พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน?" “ท่านพี่?” เมื่อหวงฮูหยินหันไปเห็นใต้เท้าหวง ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายขึ้นมา พุ่งเข้าไปทันที “ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเรานะ คนพวกนี้ คนพวกนี้ทำร้ายจื่อหานจนเลือดออกแล้ว” นางดึงหวงจื่อหานเข้าไป หวงจื่อหานถูกตีจนร้องไห้สะอึกสะอื้น ดูไปแล้วยังตลกอยู่บ้าง เมื่อเห็นใต้เท้าหวงก็กอดต้นขาเขาเริ่มร้องไห้ยกใหญ่ทันที “เจ็บเหลือเกิน ท่านพ่อต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะขอรั
ซูจิ่งสิงเดินไปถึงเบื้องหน้าของใต้เท้าหวง “ข้าเดินทางผ่านเมืองจี้หนิง เดิมต้องการเข้ามาดูความเป็นอยู่ของราษฎรในเมืองจี้หนิง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าหวงจะปกครองเมืองจี้หนิงเช่นนี้” แววตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย แต่ทำให้ใต้เท้าหวงตกใจจนคุกเข่าลงดังตึงทันที “ท่านอ๋อง โปรดระงับโทสะ ข้าน้อยไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริงๆ ขอรับ” “เจ้าไม่รู้?” เกาเจี้ยนอดไม่อยู่ ส่งเสียงถามออกมาอย่างไม่พอใจ “เรื่องที่ลูกชายเจ้าลวนลามหญิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องวันสองวันแล้วกระมัง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ ใครมันจะไปเชื่อ!” เขาด่าทอต่อไปว่า “เจ้ามีฐานะเป็นนายอำเภอเมืองจี้หนิง แต่กลับให้ท้ายลูกชายของเจ้าไปฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน เจ้ายังมีหน้ามาเป็นขุนนางท้องที่ที่ควรดูแลราษฎรดุจบุตรในอุทรได้อย่างไร?” ใต้เท้าหวงหลั่งเหงื่อเต็มศีรษะ “ข้าน้อย ข้าน้อย…” เขาย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่เป็นเพราะฮูหยินลำเอียงเข้าข้างจื่อหานมากเกินไป ส่วนเขาก็คิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องราวถึงชีวิต จึงปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ “พูดมาสิ…” เกาเจี้ยนโมโหจนถีบเขาพลิกคว่ำในเท้าเดียว “ท่านพ่อ!” หวงจื่อหานหลบอยู่ด้านหลังหวงฮูห
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านจะทิ้งข้าแล้วใช่หรือไม่? ท่านจะทิ้งข้าไม่ได้นะ!” หวงจื่อหานกอดขาของนายท่านหวงไว้แน่นนายท่านหวงฝืนความเจ็บปวดแกะมือของเขา “ทหาร พาคุณชายไปขัง”หวงฮูหยินร้องไห้สะอื้น ครั้นเห็นสามีของตัวเองตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง“จิ่งสิง เจ้าจะปล่อยสกุลหวงไปเช่นนี้หรือ?”เกาเจี้ยนไม่ยอม สำหรับเขาแล้ว การกระทำของหวงจื่อหานร้ายแรงพอที่ส่งสกุลหวงเข้าคุกได้ทั้งตระกูล“เมืองจี้หนิงไม่ได้อยู่ในการปกครองของข้า ผู้ว่าการอำเภอปฏิบัติหน้าที่ได้เพียงเท่านี้”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเรียบนายท่านหวงจำได้ขึ้นใจ จะช้าหรือจะเร็วก็ต้องจัดการเขาพวกเขากลับมากินข้าวในหอต่อ เวลานี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงแล้วมู่หรงถิงเพิ่งจะได้รับรายงาน “มู่หรงฉางเล่อหนีไปแล้ว?”สีหน้าของเขาฉุนโกรธ แทบจะฉีกจดหมายลับตรงหน้าให้กลายเป็นเศษกระดาษเสีย“หนีไปไหน?”เขาตอบตกลงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับซินเจียงแล้ว หากมู่หรงฉางเล่อหนี แล้วเขาจะแต่งงานกับใครเล่า?“ข้าได้ซักถามผู้ใต้บัญชาของจวนองค์หญิงมาแล้ว ว่ากันว่าหนีออกไปทางเจดีย์หนิงกู่ขอรับ”องครักษ์มีเหงื่อเย็นผุดพราย “ยังมีอีกเรื่อง ข้าน้อยมิ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป