ส่วนเยียนอวิ๋นชูที่พบในแคว้นทูเจวี๋ยเมื่อตอนนั้น มีความเย็นชาและเย่อหยิ่งความหล่อเหลาสองแบบนั้นแตกต่างจากองค์ชายหนานเจียงตรงหน้าผู้นี้ ความหล่อเหลาของเขาใกล้เคียงกับปีศาจ ท่าทางรอยยิ้ม ช่างเย้ายวนใจยิ่งกว่าสตรีเสียอีกกู้หว่านเยว่ไม่รีบร้อนออกไป ตั้งใจจะฟังว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันอยู่ในมิติ เผื่อว่าจะได้ยินเรื่องที่อยู่ขององค์หญิงใหญ่“ไม่ทราบว่าองค์ชายเสด็จมาเมืองอู้ตูครั้งนี้ จะประทับที่เมืองอู้ตูนานเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ?”แม่ทัพซ่งพูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพ เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวองค์ชายหนานเจียงเป็นอย่างมาก“รีบร้อนอะไร ข้าอยากจะเที่ยวเล่นในเมืองอู้ตูสักพัก”เฟิ่งอู๋ชียิ้มอย่างคลุมเครือ “อีกอย่าง ยังหาตัวคู่หมั้นไม่เจอ ข้าย่อมไม่จากไปแน่นอน”“ท่านหญิงฉางเล่อถูกคนของเจดีย์หนิงกู่ลักพาตัวไป ฮ่องเต้จะต้องช่วยท่านหญิงฉางเล่อกลับมาอย่างแน่นอน” แม่ทัพซ่งฝืนยิ้ม อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค“ว่าแต่ บุตรสาวของข้ากับองค์ชาย...”“บุตรสาวของท่านกับข้าเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”เฟิ่งอู๋ชียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พูดจาไร้ยางอาย“หรือว่าแม่ทัพต้องการให้ข้าไม่สนใจการแต่งงาน แล้วอยู่กับบุตรสาวของท
“เจ้าเป็นใคร?”นี่คือสตรีอย่างนั้นหรือ! แม่ทัพซ่งมั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอกู้หว่านเยว่มาก่อน“เจ้าต้องการทำอะไร?”สกุลซ่งมีองครักษ์มากมาย สตรีผู้นี้ยังสามารถบุกเข้ามาได้ วรยุทธ์คงไม่ธรรมดาแม่ทัพซ่งกำลังประเมินความสามารถของกู้หว่านเยว่ในใจ“คำพูดนี้ ดูเหมือนว่าแม่ทัพซ่งจะไม่มีสิทธิ์ถาม”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง แล้วจ่อกริชเข้าไปที่คอของเขารอยเลือดปรากฏขึ้น แม่ทัพซ่งสูดลมหายใจด้วยความเจ็บปวด“ข้าขอถามท่าน องค์หญิงใหญ่อยู่ที่ไหน?”เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคนพบเห็น กู้หว่านเยว่ก็ขี้เกียจพูดจาไร้สาระ เอ่ยถามขึ้นมาตรง ๆ “ข้าไม่รู้”ดวงตาของแม่ทัพซ่งสั่นไหวเล็กน้อย กู้หว่านเยว่ต่อยเข้าที่สันจมูกของเขา“โกหก!”นางกล่าวเตือน “ข้าไม่ชอบคนโกหก ให้โอกาสท่านอีกครั้งหนึ่ง ตอบมาตามตรง มิเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าท่านมีชายบำเรอคนโปรด”แม้ว่านางจะพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ แต่กลับทำให้สีหน้าของแม่ทัพซ่งบิดเบี้ยว“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”ดูเหมือนเขาจะกลัวเรื่องนี้ถูกเปิดเผยเป็นอย่างมากกู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยี “ข้ารู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย แม่ทัพซ่ง ท่านไม่เพียงแต่ชอบผู้ชาย แถมยังชอบแอบใส่ชุดสตรีตอนกลางดึกอีกด้วย
เหลือเพียงองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสี่“ส่วนองค์หญิงใหญ่ในฐานะที่เป็นพระธิดาองค์โตของอดีตฮ่องเต้ ย่อมได้รับความรักมากมาย มิเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้คงจะไม่พระราชทานเมืองอู้ตูให้องค์หญิงใหญ่เป็นดินแดนในปกครอง และคงจะไม่สร้างจวนองค์หญิงที่ใหญ่โตเทียบเท่าพระราชวังเช่นนี้”“หลังจากที่องค์หญิงใหญ่อภิเษกสมรส อดีตฮ่องเต้ทรงกังวลว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมอบแผนที่ขุมทรัพย์ให้องค์หญิงใหญ่หนึ่งแผ่น”“แผนที่ขุมทรัพย์อะไร?”“ได้ยินมาว่าเป็นภาพวาดที่ใช้สร้างนักรบสวรรค์”เดิมทีอดีตฮ่องเต้เคยได้รับภาพวาดหนึ่งแผ่นจากยอดฝีมือ ภาพวาดนี้สามารถใช้สร้างนักรบสวรรค์ได้ นักรบสวรรค์ที่สร้างขึ้นมามีพลังมหาศาล สามารถโจมตีได้เองโดยอัตโนมัติ ถือเป็นอาวุธสงครามกู้หว่านเยว่รู้สึกตกตะลึง“อดีตฮ่องเต้มอบแผนที่เช่นนี้ให้องค์หญิงใหญ่หรือ?”แสดงให้เห็นว่าเขารักพระธิดาองค์นี้มากจริง ๆ แม่ทัพซ่งพยักหน้า“สาเหตุที่ล้อมจวนองค์หญิงไว้ ก็เพราะกำลังศึกษานักรบสวรรค์อยู่ข้างใน”“นักรบสวรรค์อย่างนั้นหรือ ข้าชักจะสงสัยแล้วว่า นี่มันคืออะไรกันแน่?”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย กริชที่อยู่ในมือเปลี่ยนทิศทาง กระแทกแม่
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าบริเวณรอบ ๆ มีไฟลุกโชน ประตูห้องก็ถูกล็อกอย่างแน่นหนา“ช่วยด้วย มีใครอยู่หรือไม่ช่วยข้าที?”โจวหุยสูดดมควันไฟมากเกินไป ทำให้สติเลอะเลือนเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว กำลังจะหมดสติไปเขามันโง่จริง ๆ ถูกญาติผู้น้องหลอกครั้งหนึ่งแล้วแท้ ๆ กลับถูกหลอกเป็นครั้งที่สองอีกความรักในโลกนี้มันคืออะไรกันแน่?เขาหลงรักน้องหญิง แต่สุดท้ายกลับลงเอยเช่นนี้“ถ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้า...”โจวหุยกัดฟันแน่น “ข้าจะไม่ยอมโง่งมเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”“คนคลั่งรัก เตือนท่านให้ระวังแล้ว สุดท้ายก็ยังโดนหลอกอีก”ทันใดนั้น น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู จากนั้นเขาก็ถูกใครบางคนดึงขึ้นจากพื้น“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าท่านยังพอใช้ได้ เคยนำทางให้ข้า ข้าคงไม่ช่วยท่านเป็นครั้งที่สองหรอก”โจวหุยรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายลืมตาขึ้นมา มองกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับด่าทอเขา“เป็นท่าน?”เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกู้หว่านเยว่ที่นี่ ยังอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่เรี่ยวแรงในร่างกายของเขาได้หมดลงไปนานแล้ว ขามึนงงและหมดสติไป“ช่างเป็นคนคลั่งรักมากจริง ๆ เคยถูกคนฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังถูก
“แม่นางกู้ เป็นท่านที่ช่วยข้าจริง ๆ หรือ?”โจวหุยพยายามลืมตาขึ้น หัวเราะอย่างขมขื่นสองครั้ง“ข้านึกว่าข้าเห็นภาพหลอนไปเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง“ข้ายังมีธุระสำคัญที่ต้องทำ คงช่วยท่านได้แค่ครั้งเดียว ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ท่านพักผ่อนที่นี่อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว”ถึงแม้คนผู้นี้จะเป็นคนคลั่งรัก แต่เขาก็ยังคงเป็นคนที่มีใจรักเดียวกู้หว่านเยว่ไม่อยากพูดอะไรให้หนักเกินไป การช่วยเขาก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว“แม่นางกู้ ท่านมาตามหาองค์หญิงใหญ่ใช่หรือไม่?”โจวหุยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หว่านเยว่มองเขาอย่างระแวดระวัง“ท่านถามข้าเรื่ององค์หญิงใหญ่หลายครั้งขนาดนั้น แค่คิดง่าย ๆ ก็รู้แล้วว่า ท่านคงจะตามหาองค์หญิงใหญ่”เขาหัวเราะขมขื่น แล้วกล่าวอธิบาย“ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร ในเมื่อข้าเป็นแบบนี้ไปแล้วญาติผู้น้องทรยศข้า ความเศร้าใดเล่าจะเท่าความสิ้นหวังข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน ท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยท่านได้ ท่านบอกมาได้เลย”“ไม่ต้องหรอก”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางไม
กู้หว่านเยว่เหลือบมองดูคร่าว ๆ ทั้งหมดน่าจะทำมาจากเหล็กสีนิล แต่ละชิ้นกองไว้ตามมุม“ดูเหมือนว่า พวกเขากำลังผลิตนักรบสวรรค์”ความคิดที่หาญกล้าผุดขึ้นมาในหัวของกู้หว่านเยว่นางขับเคลื่อนมิติมาถึงบนโต๊ะ เห็นพิมพ์เขียวขนาดใหญ่มหึมาฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะดังคาดพิมพ์เขียวฉบับนี้เหลืองซีดจนเห็นด้วยตาเปล่า ค่อนข้างนานหลายปีแล้วบนพิมพ์เขียวมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนหลากหลายรูปแบบถูกวาดเอาไว้“ดูเหมือนว่านี่คือพิมพ์เขียวของนักรบสวรรค์”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้รับพิมพ์เขียวนี้อย่างราบรื่นดูผู้คนในคุกใต้ดินนี้สิ โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นช่างฝีมือที่ถูกลักพาตัวมาจากข้างนอกช่างฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ กู้หว่านเยว่ไม่ต้องการทำร้ายพวกเขานางค้นยาห่อหนึ่งออกมาจากมิติ จากนั้นโปรยมันลงในคุกใต้ดินโดยตรงหลังจากนั้นไม่นาน ช่างฝีมือในคุกใต้ดินก็ล้มลงกับพื้นทีละคน ก่อนจะหมดสติไปกู้หว่านเยว่หยิบหน้ากากป้องกันพิษออกมาจากมิติ สวมใส่ไว้บนใบหน้าแล้วค่อยออกจากมิติ“ไม่รู้ว่าคุกใต้ดินแห่งนี้สร้างขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะเริ่มศึกษาค้นคว้านักรบสวรรค์นี้มาตั้งแต่สมัยองค์หญิงใหญ่
ในทันทีที่ถอดหน้ากากออก ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มสว่างสดใสก็เข้าสู่สายตาของเฟิ่งอู๋ชีเขาตกตะลึงมากทีเดียว ในขณะที่กำลังใจลอย หน้ากากก็ถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปอีกครั้ง“เอาคืนมาให้ข้า”เหตุใดยังขโมยของของคนอื่นอีก?สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไปทันทีนางไม่คิดว่าเฟิ่งอู๋ชีจะกระทำเช่นนี้หลังจากถอดหน้ากากป้องกันพิษออก เข็มเงินอีกเล่มก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายเฟิ่งอู๋ชีไม่กลัวยาพิษจริง ๆ แต่เขากลับเกรงกลัวเข็มเงิน รีบเข้าไปหลบอยู่ทางด้านข้างกู้หว่านเยว่ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไป“บัญชีนี้เราค่อยชำระภายหลัง”กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเฟิ่งอู๋ชีแวบหนึ่ง แล้วรีบออกจากคุกใต้ดิน“ช่างเป็นหญิงที่งดงามนัก ช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจนัก”เฟิ่งอู๋ชีแย้มยิ้มมุมปากเล็ก ๆ เขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามและห้าวหาญเช่นนี้มาก่อนเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ออกไป เฟิ่งอู๋ชีก็ไล่ตามไปโดยไม่ลังเลเสียงการต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ใช่เบา ๆ ในไม่ช้าก็ดึงดูดองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามา หลังจากองครักษ์เหล่านั้นเห็นกู้หว่านเยว่ ก็ตระหนักทันทีว่ามีคนเข้ามาในคุกใต้ดิน“ไม่ได้การ คุกใต้ดินมีอันตราย รีบห้ามคนผู้นั้นไว้โดยเร็ว”องครักษ์ที
กู้หว่านเยว่ควบม้าเร่งเต็มฝีเท้าไปตลอดทาง ออกมาจากเมืองอู้ตูด้านนอกร้านน้ำชาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากประตูเมืองออกไปห้าลี้ นางซ่อนตัวอยู่ในมิติเพื่อเกล้าผมยาว และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชายวัยรุ่นเขียนจดหมายอีกฉบับถึงซูจิ่งสิง แล้วค่อยออกมาจากมิติ ก่อนจะปล่อยนกพิราบทองคำออกไปสืบข่าวในร้านน้ำชาจากคำบอกเล่าของแม่ทัพซ่ง องค์หญิงใหญ่ได้รับการคุ้มกันอย่างลับ ๆ จากองครักษ์หลวงไปส่งที่เมืองหลวงต้องใช้เส้นทางหลวงแน่นอนแม้จะบอกว่าเป็นการคุ้มกันอย่างลับ ๆ แต่ด้วยเงินจำนวนที่มาก ก็ยังพอสืบข่าวได้บ้าง“รถม้าภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดนั้นมีอยู่จริง”เจ้าของร้านน้ำชากัดทองคำไว้“แต่ว่ามีสองกลุ่ม ไม่ทราบว่าคุณชายกำลังถามถึงกลุ่มไหน?”“สองกลุ่ม?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง“ใช่แล้ว เมื่อสามวันก่อน ออกจากเมืองอู้ตูติดต่อกันสองกลุ่มกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปทางเขตตงเป่ย อีกกลุ่มมุ่งหน้าไปทางเขตซีเป่ย”เจ้าของร้านอธิบายว่า “คนและม้าทั้งสองกลุ่มไม่ได้หยุดดื่มชาในร้านน้ำชา ดูเร่งรีบ เหมือนมีเรื่องเร่งด่วน”กู้หว่านเยว่ค่อนข้างประหลาดใจ ทำไมถึงมีสองกลุ่มได้นะ?“ขอบคุณมากเถ้าแก่”นางมีการคาดเดาในใจแล้ว หลัง
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้