เพิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยม นางก็กระโดดขึ้นหลังคา ตรวจสอบแต่ละห้องได้ยินเสียงทะเลาะกันระลอกหนึ่งที่ห้องท้ายสุดอย่างว่องไว“บังอาจ”เสียงนั้นแฝงความน่าครั่นคร้าม ทำเสียจนสีหน้ากู้หว่านเยว่นิ่งค้างไป ค่อยๆ เปิดกระเบื้องหนึ่งแผ่น“รีบปล่อยข้า”“องค์หญิงอย่าตำหนิเลย รอถึงเจดีย์หนิงกู่แล้ว ท่านย่อมเป็นอิสระ”ฝ่ายชายคลี่ยิ้มเอาใจกู้หว่านเยว่มองลงเบื้องล่างจากบนหลังคา ก็ได้เห็นสตรีวัยกลางคนท่าทางอ่อนโยนคนหนึ่งกำลังพิงหัวเตียง ชายชุดดำหลายคนยืนอยู่ตรงหน้าเพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าชายชุดดำเหล่านั้นเป็นวิชายุทธ มิหนำซ้ำคนพูดยังเป็นชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าสายตากู้หว่านเยว่ตกลงบนสตรีวัยกลางคน“พวกเจ้าพาข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่ ตกลงต้องการทำอันใดกันแน่?”ฝ่ายหญิงไอออกมา“หากอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ได้รู้ว่าพวกเจ้าขวัญกล้าถึงเพียงนี้ จะต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”“กระหม่อมเพียงทำตามคำสั่ง”คนเหล่านั้นได้ยินชื่ออดีตฮ่องเต้ สีหน้าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆนับตั้งแต่องครักษ์หลวงตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่หรงถิง ก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน องครักษ์หลวงในเวลานี้ล้วนเป็นคนสนิทของมู่หรงถ
สีหน้าองครักษ์หลวงเหล่านั้นเปลี่ยนไป“เจ้าเป็นใคร เจ้าเอาองค์หญิงใหญ่ไปไว้ที่ใด?”“ไม่บอกพวกเจ้าหรอก”ที่นี่อยู่นานไม่ได้ กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ชอบต่อสู้หยิบระเบิดควันออกจากใต้วงแขนอันหนึ่ง หลังโยนออกไปแล้วก็หนีออกจากหน้าต่าง“ตามไป!”องครักษ์หลวงวิชายุทธ์ยอดเยี่ยม รีบไล่ตามไปอย่างว่องไวปานเหินบินกู้หว่านเยว่เองก็ไม่กลัวพวกเขา เดินทางออกจากศาลาพักม้า“หากไม่ใช่เพราะกลัวคนบริสุทธิ์เดือดร้อนไปด้วย ข้าจะต้องทำลายศาลาพักม้านี้ให้ราบเป็นหน้ากลองแน่”กู้หว่านเยว่หันหน้ากลับไปมองอย่างพูดไม่ออกแวบหนึ่ง แล้วรีบจากไปหลังนางออกจากศาลาพักม้า ก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมอย่างว่องไว เพิ่งเปิดประตู ก็มีมือข้างหนึ่งคว้าบ่าของนางไว้“อือ!”กู้หว่านเยว่เบิกตากว้าง เหตุใดภายในห้องนางถึงมีคนอยู่อีกหนึ่งคนกันเล่า?ขณะต้องการโจมตี คนผู้นั้นก็รีบเปล่งเสียงออกมา“ท่านพี่ เหตุใดท่านใจร้ายตีข้าได้ลง?”เป็นเสียงของเฟิ่งเจาซีมือของกู้หว่านเยว่ชะงักค้างกลางอากาศ อาศัยแสงจันทร์มองคนตรงหน้าอย่างชัดเจน เป็นเฟิ่งเจาซีที่ได้พบเมื่อช่วงกลางวันไม่ผิดไปดังคาด“เจ้ามาที่ห้องของข้าตอนค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ทำอันใด?”
กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง โชคดีที่นางหาองค์หญิงใหญ่พบทันเวลาหาไม่แล้วรอผ่านไปอีกสองวัน ด้วยร่างกายขององค์หญิงใหญ่ในตอนนี้ องครักษ์หลวงยังไม่ทันลงมือสังหารองค์หญิงใหญ่ที่เจดีย์หนิงกู่ อีกฝ่ายก็อาจตายไประหว่างทางเสียก่อนแล้วกู้หว่านเยว่ตรวจอาการทั้งหมดขององค์หญิงใหญ่อย่างละเอียดพบว่านางเองก็ไม่ได้ป่วยหนัก แต่เพราะชี่และเลือดเสียหายพร่องไปนานหลายปี ทำให้ร่างกายอ่อนแออาการเช่นนี้ ขอเพียงบำรุงด้วยสมุนไพรดีๆ อีกไม่นานก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้แล้วกู้หว่านเยว่กดจุดหลับให้องค์หญิงใหญ่ เวลาในการรักษาไม่นาน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องค์หญิงใหญ่ตื่นขึ้นมาในมิติ นางหยิบยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดออกมาป้อนองค์หญิงใหญ่ฉวยโอกาสตอนองค์หญิงใหญ่กำลังหลับสนิท กู้หว่านเยว่ไปขุดสมุนไพรที่แปลงสมุนไพร ต้มกลายเป็นน้ำแกงให้องค์หญิงใหญ่กินสุดท้ายไปดูบ่าวสูงวัยสกุลซ่ง มั่นใจว่าบ่าวสูงวัยสกุลซ่งยังนอนหมดสติ นี่ถึงวางใจจากไปไปกลับหนึ่งรอบนี้เสียเวลาไปหลายชั่วยามกู้หว่านเยว่มองเวลาภายในมิติแวบหนึ่ง เห็นว่าอีกสองชั่วยามฟ้าจะสว่างแล้ว นางรีบเอนกายบนเตียงเพื่อพักผ่อนวันต่อมา เสียงเคาะประตูดังขึ้นระลอกหนึ่ง“
“ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อท่านนะ ท่านใส่ใจงานเทศกาลหินหยกถึงเพียงนี้ หากไปสายขึ้นมาไม่แย่หรือ?”เฟิ่งเจาซีมีท่าทางจริงจังกู้หว่านเยว่ ‘...นี่ก็เหมือนที่คำโบราณพูดว่ าเจ้าจะขึ้นรถไฟสิบโมง ตีสี่ก็ต้องปลุกพ่อแม่เจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ!’ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังเมืองทิศตะวันออก ระหว่างเดินทางเฟิ่งเจาซีฉวยโอกาสแนะนำเทศกาลหินหยกครั้งนี้ให้กู้หว่านเยว่ฟัง“งานเทศกาลหินหยกนี้หอเจิ้นไห่เป็นผู้จัดขึ้น หอเจิ้นไห่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเมืองเจิ้นไห่เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ย่อมไม่เคยได้ยินเรื่องหอเจิ้นไห่ จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“อำนาจอะไร?”“ได้ยินมาว่าสร้างขึ้นโดยแปดตระกูลใหญ่”เฟิ่งเจาซีพูดตามปากพาไป“ทุกปีแปดตระกูลใหญ่นี้จะจัดงานเทศกาลหินหยกขึ้น ก็เพราะด้านหลังเมืองเจิ้นไห่มีภูเขาเหมืองหินหยกอยู่หนึ่งผืนทุกครั้งที่จัดงานเทศกาลหินหยก จะมีคนต่างถิ่นมาเยือนไม่น้อย ต้องการอาศัยงานเทศกาลหินหยกนี้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน”กู้หว่านเยว่สามารถเข้าใจได้ ตอนนางอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันก็เคยเข้าร่วมงานงานประมูลหินหยกเสี่ยงโชคมาก่อน การเสี่ยงโชคหินหยกนี้ก็คือหินหยกดิบเหล่านี้ถูกห่อหุ
“คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”เฟิ่งเจาซีดีดนิ้วต่อหน้ากู้หว่านเยว่“ตามข้าเข้าไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ดึงสติกลับมา ได้เห็นเฟิ่งเจาซีหยิบเทียบเชิญสองแผ่นออกมา ส่งให้ผู้ดูแลหน้าประตูหน้าประตูมีองครักษ์มากมาย แต่ละคนล้วนพกดาบไว้ที่เอวกู้หว่านเยว่มองแวบหนึ่ง เฟิ่งเจาซีกระซิบอธิบายข้างโสตนาง“องครักษ์เหล่านี้ล้วนปกป้องดูแลงานเทศกาลหินหยก ป้องกันไม่ให้ฆ่าคนชิงสมบัติและปล้นหินหยก”กู้หว่านเยว่พยักหน้า มองสองหนแล้วเลื่อนสายตาออกสิ่งปลูกสร้างของหอเจิ้นไห่สูงตระหง่าน เพราะอยู่ริมทะเลของเมืองเจิ้นไห่ ตำนานเล่าว่าใต้หอเจิ้นไห่นี้มีอสูรทะเลตัวหนึ่งถูกผนึกไว้ ดังนั้นสิ่งปลูกสร้างของหอเจิ้นไห่จึงเน้นธาตุน้ำเป็นหลักผู้ดูแลตรวจสอบเทียบเชิญเล็กน้อยพบว่าไม่มีปัญหาจึงให้ทั้งคู่เข้าไป“เจ้าพูดว่าใต้หอเจิ้นไห่ผนึกอสูรทะเลไว้ตัวหนึ่ง อยู่ที่ใดกันเล่า?”ภายในสายตากู้หว่านเยว่เผยแววประหลาดใจเฟิ่งเจาซีมองนางอย่างขำขัน“นี่เป็นเพียงตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณเท่านั้น เหตุใดท่านเห็นเป็นเรื่องจริงกันเล่า?”“ในเมื่อมีหอเจิ้นไห่ นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่ตำนานไร้เลื่อนลอย”กู้หว่านเยว่ห
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”กู้หว่านเยว่เข้าใจในทันใดมิน่าเล่าเมื่อครู่สองคนนั้นถึงขวัญกล้าลงมือกับเฟิ่งเจาซีอย่างเปิดเผย ที่แท้ก็มั่นใจในเรื่องนี้นี่เองเฟิ่งเจาซีรูปร่างสูงโปร่งหน้าตางดงาม ตอนเข้ามาย่อมดึงดูดสายตาคนไม่น้อยแต่เพราะเมื่อครู่อีกฝ่ายต่อยตีคนอย่างไม่ไว้หน้า บัดนี้พวกบุรุษชมชอบสตรีงามเหล่านั้นทำได้เพียงชื่นชมอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาพูดจาเกี้ยวพาเฟิ่งเจาซีชินชากับสายตาเช่นนี้ตั้งนานแล้ว จูงกู้หว่านเยว่มานั่งบริเวณพื้นที่พักผ่อนนั่งลงไปแล้ว สาวใช้แต่งกายวาบหวามยกถาดผลไม้เข้ามากู้หว่านเยว่เบิกตากว้าง “นี่”เฟิ่งเจาซีกระซิบข้างโสตนางเสียงแผ่วเบา“เดิมทีงานเทศกาลหินหยกก็คือโรงบ่อนแห่งหนึ่ง ในเมื่อเป็นโรงบ่อน ก็ย่อมต้องสร้างบรรยากาศหรูหราฟุ่มเฟือยสักหน่อย ถึงจะสามารถทำให้คนเพลิดเพลินได้”“หรูหราฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว”กู้หว่านเยว่มองสาวใช้สองคนนั้นหลบเข้าไปภายในห้องหนึ่งและทำเรื่องไม่อาจเปิดเผยได้“อย่าดู”เฟิ่งเจาซีใช้มือบังสายตาของนาง“ประเดี๋ยวทำตาท่านสกปรก”กู้หว่านเยว่ประหม่าอยู่บ้าง ดันมือของเฟิ่งเจาซีออก“ข้าไม่ได้ดู”ขณะเดียวกัน จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหล
“แต่งกายชุดสตรีไม่สะดวกเท่าใดนัก อีกทั้งยังกลัวฐานะที่แท้จริงถูกเปิดเผย ดังนั้นข้าจึงปลอมตัวเป็นบุรุษ”กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือน เจียงฉือดึงสติกลับมาได้“กู้ คุณชายวางใจได้ ข้ารู้หนักเบา”กู้หว่านเยว่พยักหน้า สามารถได้พบคนรู้จักในสถานที่ที่ไม่รู้จักได้ นางดีใจอย่างมาก“ใช่แล้ว อาการของอาจารย์จิ่งสิงเป็นเช่นไร?”พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเจียงฉือเผยรอยยิ้ม“ต้องขอบคุณดอกน้ำแข็งนิลของคุณชายกู้ อาการป่วยของท่านอาจารย์หายดีแล้ว”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งหลังซูจิ่งสิงกลับไปแล้วกังวลอาการของอาจารย์เขาอยู่ตลอด แต่สองคนไม่ได้รับจดหมายจากสำนักชิงเฟิง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าสถาณการณ์ของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรบัดนี้ได้ยินจากปากเจียงฉือ ร่างกายของผู้อาวุโสไม่เป็นไรแล้วหลังนางกลับไปแล้ว ก็สามารถทำให้ซูจิ่งสิงสงบใจลงได้กู้หว่านเยว่เอ่ยว่า “สำนักชิงเฟิงไกลจากหอเจิ้นไห่มาก พวกเจ้ามาที่นี่ทำอันใด?”เจียงฉือเอ่ยตอบ “สำนักชิงเฟิงของพวกเรามีศิลาหยกชิ้นหนึ่ง อยู่ที่หน้าประตูภูเขา ปรากฏว่าถูกคนทำลายไปแล้วครั้งนี้ข้ามาก็เพราะอยากดูว่าภายในงานเทศกาลหินหยกมีหินหยกที่เหมาะสม สามารถนำกลับไปแกะสลักเป็นศิลาหย
คนเหล่านั้นพูดคุยกันแล้วจากไป เจียงฉือส่งยิ้มให้กู้หว่านเยว่อย่างเกรงใจ“ให้ท่านต้องเห็นเรื่องตลกแล้ว”“ไม่เป็นไร ยามออกจากบ้านมักเผชิญหน้ากับหมาบ้าหลายตัว”เดิมทีกู้หว่านเยว่ก็ไม่มีภาพประทับใจต่อคนของสำนักวั่นจงอยู่แล้ว ระหว่างทั้งคู่กำลังสนทนา งานเทศกาลหินหยกก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในเวลาเดียวกันทุกคนต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาผู้จัดงานอย่างหอเจิ้นไห่เองก็ลากรถขนหินหยกออกจากคลังเก็บของคันแล้วคันเล่า“ท่านพี่”เฟิ่งเจาซีเดินเข้ามาจากที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ชั่วขณะสายตาตกลงบนตัวเจียงฉือ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเจียงฉือเองก็ตกตะลึงพรึงเพริด“เหตุใดคนผู้นี้เรียกท่านว่าท่านพี่?”เหงื่อผุดพราวบนใบหน้ากู้หว่านเยว่ กระซิบอธิบายเสียงค่อย“นี่คือข้าบังเอิญพบที่หน้าประตูเมือง ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงตามตอแยข้า หนำซ้ำยังเรียกข้าว่าท่านพี่อีกด้วย”เจียงฉืองุนงง แต่พระชายาเป็นสตรีนะ ถึงขั้นมีหนี้ดอกท้อกระนั้น?เขาไม่อาจจินตนาการออกเลยว่าหากท่านอ๋องอยู่ที่นี่และได้เห็นภาพนี้ สีหน้าจะดำมากเพียงใด“ท่านพี่ พวกท่านกำลังซุบซิบอันใดหรือเจ้าคะ?”เฟิ่งเจาซีเบ้ปาก เดินไปหยุดข้างกายกู้หว่า
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้