หลังจากกินยาแรง ๆ ไปหลายขนาน อาการของมู่หรงถิงก็ดีขึ้นเล็กน้อยจริง ๆหลังจากดีขึ้นแล้ว เขาก็อยากจะเปิดศึกกับซูจิ่งสิงอย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหว“ข้าต้องการล้างแค้นให้กับการหยามเกียรติคราวก่อน”เขาต้องการโจมตีซูจิ่งสิงให้พ่ายแพ้ยับเยินที่ด่านหานกู่แห่งนี้“รีบระดมพลแม่ทัพทั้งหมดมาที่นี่ ข้าต้องการหารือกับพวกเขาว่าจะโจมตีอย่างไร”มู่หรงถิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย พลางลุกขึ้นพูดฮองเฮาเห็นดังนั้น ก็วางถ้วยยาลง ทำความเคารพพลางเอ่ยว่า “เรื่องสำคัญของแว่นแคว้นหม่อมฉันไม่อาจก้าวก่าย หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”“เจ้าไม่ต้องไป”มู่หรงถิงเรียกนางไว้ “เจ้าคอยฟังอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ เดินไปเดินมา จะได้ไมทำให้ตัวเองเหนื่อย”“เพคะ”ฮองเฮานั่งลงข้าง ๆ ด้วยแววตาระยิบระยับขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่ติดตามมาด้วย รวมถึงนายทหารชั้นสูงที่เคยปกป้องเมืองในด่านหานกู่ก็รีบเข้ามาในห้อง“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ด่านหานกู่ป้องกันง่ายแต่โจมตีได้ยาก หม่อมฉันได้วางแผนโดยละเอียดไว้แล้ว”แม่ทัพโจวก้าวออกมาพูดข้างหน้ามู่หรงถิงพยักหน้า “แผนอะไร? พูดให้ข้าฟังหน่อยซิ”“ฝ่าบาท ด้านนอกด่านหานกู่มีหุบเขาแคบ ๆ อยู่เส้นหนึ่ง หากซูจ
การปล่อยข่าวเช่นนี้ มันออกจะกะทันหันเกินไปผู้สอดแนมรีบบอกว่า “จากข้อมูลที่เชื่อถือได้ เมื่อฮ่องเต้มาถึงด่านหานกู่ ก็เกิดล้มป่วยอย่างกะทันหัน และได้ตามหมอมามากมาย”เกาเจี้ยนมองไปทางซูจิ่งสิง “ท่านอ๋อง”ซูจิ่งสิงกำลังจมอยู่กับความคิด ขณะที่กู้หว่านเยว่จู่ ๆ ก็เข้ามาจากข้างนอกพร้อมกับชิงเหลียน“น้องหญิง?”สายตาของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปหากู้หว่านเยว่“เหตุใดเจ้าถึงมาในเวลานี้?”“ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน”กู้หว่านเยว่มองไปรอบ ๆ แล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอก มอบให้กับมือซูจิ่งสิง“อะไรหรือ?”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเผยความงุนงงออกมา“ท่านดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”กู้หว่านเยว่ส่งสายตาบอกเขา หลังจากที่ซูจิ่งสิงอ่านจบแล้ว ความรู้สึกประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจดหมายนี้ถูกส่งมาจากค่ายของศัตรู ในจดหมายบอกว่า มู่หรงถิงป่วยจริง แต่กำลังจะหายดีแล้ว ข่าวที่ส่งมาตอนนี้ล้วนเป็นข่าวปลอม จงใจก่อกวนวิสัยทัศน์ของพวกเขา ดึงดูดให้พวกเขาบุ่มบ่ามกระหายชัยชนะ“จดหมายฉบับนี้ใครเป็นคนส่งมา?”ซูจิ่งสิงสอบถามกู้หว่านเยว่ ฝ่ายหลังส่ายหน้า“มีคนจงใจใช้ธนูยิงเข้ามา ส่วนคนผู้นั้นคือใคร ข้าก็ไม่รู้เช
เขากำลังจะไป นางกำนัลส่วนพระองค์ของฮองเฮาก็เข้ามารายงานอย่างเร่งรีบ“ฝ่าบาท ไม่ได้การแล้วฝ่าบาท ฮองเฮาเป็นลมไปแล้วเพคะ”“อะไรนะ?”สีหน้าของมู่หรงถิงเปลี่ยนไปทันใดร่างกายของหนานหลี่ม่านอ่อนแอมาโดยตลอด การสู้รบครั้งนี้เขาไม่อนุญาตให้นางไปด้วยอยู่แล้ว“รีบพาข้าไปดูหน่อย ตามหมอหลวงแล้วหรือยัง?”“หมอหลวงไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”มู่หรงถิงเดินต่อไปหยุด รีบรุดไปพบฮองเฮาทันทีที่เข้ามาในห้อง ฮองเฮายังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียง หมอหลวงชิงคุกเข่าให้มู่หรงถิงก่อน“ถวายบังคมฝ่าบาท ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”หมอหลวงยิ้มจนหุบไม่ลง ความสงสัยเกิดขึ้นในใจของมู่หรงถิง“ฮองเฮาเป็นอะไรไปแล้วหรือ?”“ยินดีด้วยฝ่าบาท ฮองเฮาตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“จริงหรือ?”มู่หรงถิงตกตะลึงอยู่ตรงนั้นสุขภาพของฮองเฮาไม่ดีมาโดยตลอด เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมีทายาทสืบสกุลได้ข่าวดีนี้มาอย่างกะทันหันเกินไปหลังจากลังเลอยู่สักครู่ ในที่สุดเขาก็ตั้งสติได้ หัวเราะลั่นด้วยความดีใจ“แน่ใจหรือว่าเป็นชีพจรตั้งครรภ์ ไม่ได้วินิจฉัยผิดใช่ไหม?”มู่หรงถิงไม่กล้าเ
“เจิ้นเป่ยอ๋องเป็นลูกกำพร้าของอดีตรัชทายาท สายเลือดเชื้อพระวงศ์โดยแท้จริงของต้าฉีพวกข้าน้อมรับพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ ขอเชิญเจิ้นเป่ยอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ขอให้ฝ่าบาทสละบัลลังก์ ส่งมอบแคว้นไว้ในมือของเจิ้นเป่ยอ๋อง”เกาเจี้ยนตะโกนเสียงดัง ทรงพลังดุจฟ้าคำรามเพียงสิ้นเสียง เหล่าทหารทางด้านหลังต่างพากันยกทวนยาวขึ้นสูงอย่างเป็นระเบียบ“สละบัลลังก์ สละบัลลังก์!”“มอบแคว้น มอบแคว้น”มู่หรงถิงเห็นเจดีย์หนิงกู่เป็นหนึ่งเดียวกัน เกือบกระอักโลหิตออกมาแม้ว่าเขานั่งบนหลังม้า แต่กลับกำเชือกเอาไว้ในมือแน่น อยากบุกเข้าไปฆ่าซูจิ่งสิงให้ตายขณะเดียวกันยามได้พบซูจิ่งสิงอีกครั้ง กลับไม่เหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้วคนเบื้องหน้าเขาไม่ใช่ขุนนางซื่อสัตย์ใต้ฝ่าเท้าของเขาอีกต่อไปใบหน้าเปี่ยมความหยิ่งทระนง“เราเสียดายเหลือเกินที่ไม่ได้ฆ่าเจ้า”เขากัดฟันพูดทีละคำแววตาเยียบเย็นของซูจิ่งสิงสบมองเขา เป็นไปได้มากว่าคนตรงหน้านี้คือศัตรูฆ่าบิดามารดาของเขา“ข้าต่างหากคือทายาทสายตรงของต้าฉีฉีอ๋องโปรดสละบัลลังก์ด้วย”“เจ้า!”มู่หรงถิงเจ็บแน่นหน้าอกขึ้นมาคนผู้นี้รู้ดีว่าจะใช้มีดแทงใจคนเยี่ยงไร!ฉี
หลิวชวี่มาหยุดข้างกายซูจิ่งสิง “ท่านอ๋อง พวกเขาคิดหนี”บัดนี้เขานับว่าเชื่อแล้ว การกระทำของคนกลุ่มนี้เหมือนในจดหมายฉบับนั้นทุกกระเบียดนิ้ว เตรียมล่อพวกเขาไปยังหุบเขา“พวกเขาหนีไปทางหุบเขาฝั่งโน้น”“ทำตามแผนเดิมที่วางไว้”ซูจิ่งสิงมองทิศทางที่กองทัพหลวงหนีไป ออกคำสั่งเสียงเย็นชาหนึ่งประโยค“ขอรับ”หลิวชวี่และเกาเจี้ยนรีบนำกำลังพลไล่ตามไป“ฝ่าบาท พวกเขาไล่ตามมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”แม่ทัพโจวพูดอย่างดีใจ คนกลุ่มนี้ติดกับไม่ผิดไปดังคาด ขอเพียงเข้าหุบเขา ก็คือวันตายของพวกเขา“ดี รีบหนีเร็วเข้า”มู่หรงถิงเปล่งเสียงเครียด จับเชือกเอาไว้แน่น นำกองทัพใหญ่เข้าหุบเขาขณะเดียวกันดวงตะวันกำลังลับฟ้า สีท้องฟ้าใกล้มืดเต็มทีสองฟากฝั่งของหุบเขาล้วนเป็นหน้าผาสูงชัน แสงสว่างแย่มากหลังกองทัพใหญ่เข้าไปแล้ว แม้ว่าไม่ถึงขั้นยื่นมือออกมามองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แต่ในขณะเดียวกันก็ยากจะแยกแยะรูปร่างของคนได้“ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติให้จุดคบเพลิง อย่าปล่อยให้พวกเขาพลัดหายไป”มู่หรงถิงออกคำสั่งหนึ่งประโยคลูกกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้วอย่างไรเล่า?ปีนั้นแม้แต่ตัวอดีตรัชทายาทเองก็ตายในเงื้อมมือของเขา วันนี
“เร็ว คบเพลิง!” ลางสังหรณ์ภายในใจของเขาทำให้รู้สึกไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรงแม่ทัพโจวรีบยื่นคบเพลิงให้ “ฝ่าบาท”มู่หรงถิงส่องคบเพลิงลงใต้หุบเขา“พวกเจ้าจงโยนคบเพลิงลงไปข้างล่าง”เขาแทบจะร้องตะโกนออกมา ทหารแถวหน้าที่ถือคบเพลิงได้ยินแล้ว ต่างก็โยนคบเพลิงลงไปในหุบเขายังไม่ได้ยินเสียงของคน แต่เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นใต้หุบเขาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงไฟ มู่หรงถิงชะเง้อคอมอง เขาเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ใต้หน้าผากำลังเผาไหม้หุ่นไล่กาหุ่นไล่กาแต่ละตัวล้วนถูกมัดไว้บนหลังม้า ไม่ใช่คนจริงๆ พวกเขาถูกหลอกแล้ว!เช่นนั้นคนจริงๆ ไปอยู่ที่ใดแล้ว?แผ่นหลังมู่หรงถิงมีเหงื่อเย็นผุด จู่ๆ ทหารสายตาแหลมคมก็ร้องตะโกนทีหนึ่ง“ที่ตีนเขามีทหารขี่ม้าบุกมาแล้ว!”“สวรรค์ พวกเราถูกล้อมไว้แล้ว!”เสียงกีบเท้าม้าดังสนั่นไปทั่วทุกหนแห่งได้ยินเสียงน่ารำคาญของเจ้าคนตัวโตเกาเจี้ยนดังขึ้น “ยอมจำนนไม่ฆ่า ยอมจำนนไม่ฆ่า!”“ฝ่าบาท” แม่ทัพโจวใจสั่น “พวกเราถูกล้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เห็นได้ชัดว่าพวกเขาติดกับแล้วเดิมทีพวกเขาอยากวางกับดักฝังซูจิ่งสิงที่นี่ แต่สถานการณ์ในตอนนี้คือซูจิ่งสิงมองแผนการของพวกเขาออกตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขั
“อืออือ!” แม่ทัพโจวถูกทำให้โมโหจนหมดสติไปแล้วเกาเจี้ยนตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพโจวถูกจับแล้ว ทุกคนจงวางดาบกระบี่ในมือลง ผู้ยอมจำนนไม่ถูกฆ่าหากยังมีผู้ขัดขืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”“ผู้ยอมจำนนไม่ถูกฆ่า ผู้ยอมจำนนไม่ถูกฆ่า!”ทหารที่อยู่ข้างหน้าร้องตะโกนกองทัพหลวงต่างหันหน้ามองกัน พวกเขาไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์ในคืนนี้ชัดเจนแล้วหากยังดึงดันต่อไป พวกเขามีแต่ต้องตายสถานเดียวราชสำนัก พ่ายแพ้แล้วยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ยังทอดทิ้งพวกเขาและหนีไป“ยอมจำนนเถอะ” มีคนตะโกนเสียงแผ่วเบาหนึ่งประโยค ก้าวขึ้นมาวางอาวุธในมือลงก่อนมีคนนำ คนที่เหลือย่อมวางอาวุธลงตามกัน“อย่าฆ่าพวกเราเลย พวกเรายอมจำนนแล้ว”กองทัพหลวงต่างวางอาวุธในมือลงแล้ว กอดศีรษะหมอบลงบนพื้นคนยอมจำนนมีมากกว่าคนต่อต้านพวกคนที่ต่อต้านล้วนถูกกำจัดไปแล้ว“เก็บอาวุธทหารในมือทหารเหล่านี้ ให้พวกเขากอดหัวไว้ หมอบอยู่รวมกัน รอฟังคำสั่ง”เกาเจี้ยนออกคำสั่งหนึ่งประโยค“ขอรับ” กองทัพเจดีย์หนิงกู่รีบสั่งให้คนเข้าไปล้อมไว้แล้ว“ท่านอ๋อง” เกาเจี้ยนและพวกหลิวชวี่ขี่ม้ามาหยุดข้างกายซูจิ่งสิง “ฮ่องเต้ชั่วหนีไปแล้วขอรับ”พูดถึงเรื่องนี้ สายตาท
กู้หว่านเยว่หัวเราะ เสียงเสนาะใสดังกังวาน “ชายาเจิ้นเป่ยอ๋อง”“อะไรนะ?”สีหน้าคนตรงหน้าเปลี่ยนไป“เจ้าคือชายาเจิ้นเป่ยอ๋อง”โจวเสี้ยนลอบตกตะลึงภายในใจมองผ่านท่าทางของกู้หว่านเยว่แล้ว คล้ายรู้ว่าพวกเขาจะหนีมาทางนี้จึงพาคนมาขวางไว้ที่นี่ตั้งแต่แรก“กู้หว่านเยว่”สีหน้ามู่หรงถิงเองก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก“ที่แท้เจ้าก็คือกู้หว่านเยว่!”แม้พูดว่างานแต่งของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเป็นเขาที่ประทานเองกับมือ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพบกู้หว่านเยว่ตัวจริงมาก่อน นี่เป็นการพบกันครั้งแรกครั้งนี้พบหน้าถึงรู้ว่าเป็นสตรียอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เขานึกเสียใจภายหลังแล้ว“ใช่แล้ว ข้าก็คือกู้หว่านเยว่ยังต้องขอบคุณฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ในตอนนั้นหาไม่แล้ว ข้าคงหาสามีหล่อเหลาเก่งกาจถึงเพียงนี้ไม่พบ”กู้หว่านเยว่พูดยั่วโมโหแทงใจดำคนมู่หรงถิงถูกทำให้โมโหไม่ผิดไปดังคาด ถึงขั้นไอออกมาสองครั้ง ชี้นิ้วไปทางนาง“เจ้า เจ้าถึงขั้นขวัญกล้าช่วยซูจิ่งสิงก่อกบฏ เจ้ารู้หรือไม่ ชีวิตของจวนกู้โหวอยู่ในมือของเราหากเจ้ายังหลงผิด เราสามารถฆ่าพวกเขาได้ทุกเมื่อ ภายในนั้นรวมถึงพ่อของเจ้าด้วย”กู้หว่านเยว่หัวเร
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้