ทุกคนรับถุงมือ เร่งเดินทางไปพลางเก็บกระบองเพชรไปพลาง กระบองเพชรมีมากมาย เก็บไม่หมด แม้แต่นักการเองก็หักออกเป็นสองซีกครั้นถึงเวลากินข้าว กู้หว่านเยว่ก่อกองไฟ หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง ปอกเปลือกหนามแหลมคมภายนอกของกระบองเพชรออก จากนั้นวางย่างบนกองไฟ“นี่สามารถกินได้หรือ?”“เรื่องอะไรจะกินไม่ได้?”กู้หว่านเยว่หยิบยี่หร่าเครื่องปรุงสำหรับย่างจากลาเทียมเกวียนและโรยลงไป ย้อนคิดถึงชาติก่อนยามนางไปเที่ยวเม็กซิโก อาหารเลิศรสประจำถิ่นก็คือกระบองเพชรย่างนี่ล่ะ“มา มาชิมดู”กู้หว่านเยว่แบ่งกระบองเพชรหลายแท่งให้คนในครอบครัว จากนั้นเรียกนักการและเหล่านักโทษถูกเนรเทศมากินทีแรกทุกคนยังคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อ แต่กัดเข้าไปหนึ่งคำแล้วรสชาติเย็นสบาย ผสมกับเครื่องปรุงสำหรับย่าง มีรสชาติดีเป็นพิเศษ ทันใดนั้นครองใจของทุกคนแล้ว“กระบองเพชรนี้กินได้จริง! รสชาติแปลกมาก!”“แม้ว่าแปลก กลับกินไม่ยาก ยังรสดีแปลกๆ อีกด้วย”ทุกคนต่างพากันพูด เพราะกระบองเพชรมีน้ำ สามารถชดเชยน้ำได้พอดี ดังนั้นจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย“ดีเหลือเกิน กระบองเพชรนี้สามารถชดเชยน้ำได้ พวกเราไม่ต้องกังวลจะกระหายน้ำตายแล้ว”“แม่นางกู้ เ
เหล่าองครักษ์แต่ละคนเองก็หิว ยังถูกเขาทุบตีไปทั้งตัวอีก“ท่านอ๋องนับวันยิ่งวิปริต ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”“ซวยจริงเชียว ติดตามเจ้านายเช่นนี้...”องครักษ์บ่นตำหนิเบาๆ เป็นการส่วนตัว“ชู่ว์ เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้ว ท่านอ๋องได้ยินต้องฆ่าเจ้าเป็นแน่”องครักษ์อีกคนเอ่ยเตือน คนอื่นอีกสองสามคนหุบปากลงในทันใด กลับรู้สึกอึดอัดคับข้องใจภายในใจรุ่งอรุณวันต่อมา มู่หรงอวี้หิวกระหายมากเกินไป เบ้าตาลึกอิดโรยเป็นพิเศษกอปรกับทั้งตัวล้วนคือทรายเหลืองและฝุ่น พูดว่าเขาเป็นขอทานก็ไม่เกินจริงตรงข้ามกับพวกกู้หว่านเยว่ เพราะกินกระบองเพชรอิ่มไปหนึ่งมือ มีชีวิตชีวาอย่างมาก เปล่งเสียงหัวเราะมีความสุข“ข้าโมโหยิ่งนัก!”มู่หรงอวี้นอนบนลาเทียมเกวียน หิวจนไม่มีแรงด่าแล้วเขาลืมตาขึ้น มองท้องฟ้า “ท่านย่าทวด ข้าคล้ายมองเห็นท่านย่าทวดของข้าแล้ว...”องครักษ์ “....”ทันใดนั้น จางเอ้อร์ร้องตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าดู ข้างหน้ามีป่ามะกอกทะเลทรายผืนหนึ่ง!”ป่ามะกอกทะเลทรายนี้ เพียงมองดูก็รู้ว่ามีคนปลูกไว้ เห็นทีพวกเขาอยู่ห่างจากหมู่บ้านและเมืองไม่ไกลแล้ว“ดียิ่งนัก ในที่สุดพวกเราก็ออกจากทะเลทรายแล้ว” ทุกคนเดินทางมาอย่
“ช้าก่อน พวกเจ้าบ่าวชั่วเหล่านี้ ข้ายังอยู่ข้างหลังนะ!”มู่หรงอวี้บนลาเทียมเกวียนว้าวุ่นลนลานองครักษ์สองสามคนสบตากันแวบหนึ่ง ย้อนคิดถึงวันที่ถูกมู่หรงอวี้ด่าว่าทุบตี ถึงขั้นไม่มีใครกลับไปแม้คนเดียวมู่หรงอวี้ขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่แล้ว เห็นสุนัขเหล่านั้นปรี่ถลามาทางตนเอง ตกใจร้องตะโกน“โอ๊ย ๆ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”สุนัขเหล่านั้นฟังไม่เข้าใจภาษามนุษย์ พวกมันรู้เพียงว่าต้องลงโทษหัวขโมย ต่างพากันกระโดดขึ้นลาเทียมเกวียน กัดตัวมู่หรงอวี้ชนิดที่ว่ากางเกงมู่หรงอวี้ถูกดึงลงมาแล้ว เผยบั้นท้ายขาวๆ สองก้อนพวกกู้หว่านเยว่ที่อยู่ภายนอกป่ามะกอกทะเลทรายเกือบหัวเราะตายไปแล้ว“เห็นหรือไม่จิ่นเอ๋อร์ นี่ก็คือจุดจบของการลักขโมยของ”“เห็นแล้วๆ” ซูจิ่นเอ๋อร์ผลิยิ้ม “มู่หรงอวี้คนนี้แปลกมากจริงๆ ใกล้ถูกสุนัขกัดตายแล้ว”“ท่านอ๋อง!”ตอนนี้เอง ร่างอรชรแบบบางของฟู่เยียนหรานปีนขึ้นเกวียนภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของกู้หว่านเยว่ กลับทำให้นางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจฟู่เยียนหรานเป็นตัวโง่งม แต่กลับมีความเด็ดเดี่ยว นี่ก็ไม่หนีไป“ท่านอ๋อง ข้ามาช่วยท่านแล้ว ข้าไม่มีวันทอดทิ้งท่าน!”ฟู่เยียนหรานมองมู่หรงอวี้อย่า
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย กู้หว่านเยว่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองซ่งเสวี่ยกำลังเปิดม่านรถม้า มองนางด้วยรอยยิ้มเทียบกับเมื่อไม่กี่วันก่อน กำลังกายของนางฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว ดูเหมือนว่าช่วงไม่กี่วันนี้ นางจะดูแลตัวเองอย่างดี ปฏิบัติตามเทียบยาที่นางทิ้งไว้ให้ซุนอู่เหลือบมองมาทางนี้ เมื่อเห็นว่าซ่งเสวี่ยปลอดภัยดีก็รีบหันกลับไป“พี่หญิงซ่ง ฝีเท้าของพวกท่านเร็วดีนะเจ้าคะ” กู้หว่านเยว่ถอนหายใจซ่งเสวี่ยยิ้มและพูดว่า “ต้องรีบกลับบ้าน ระหว่างทางเลยไม่ได้หยุดพัก พวกเจ้าจะเข้าเมืองหรือ?”“อืม” กู้หว่านเยว่พยักหน้า “เสียงที่มีพวกข้ากินหมดระหว่างทางแล้ว จึงคิดจะเข้าเมืองไปซื้อเสบียงมาเติมสักหน่อย ถือโอกาสพักสักคืนแล้วค่อยออกเดินทาง”“เช่นนั้นก็ดียิ่ง”ซ่งเสวี่ยปรบมือแล้วพูดว่า“ครอบครัวแม่สามีของข้าอยู่ที่เมืองปิงโจว ไม่สู้พวกเจ้าไปพักที่บ้านข้า ให้ข้าตอบแทนให้ดีสักหน่อย?”กู้หว่านเยว่ลังเล อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถตัดสินใจได้แต่หากพวกเขาสามารถเข้าไปในตระกูลโจวได้จริง ย่อมต้องได้พบโจวเหล่าแน่ ขอเพียงแค่ได้พบโจวเหล่า ความลับของประสบการณ์ที่ซูจิ่งสิงต้องเผชิญก็จะได้รับการค
“เสวี่ยเอ๋อร์กับหลานสาวข้ากลับมาแล้ว!”เมื่อพูดเช่นนั้น ทั้งสองคนก็วางเรื่องมู่หรงอวี้เอาไว้ รีบเดินมาทักทายคนถึงรถม้าซ่งเสวี่ยสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนโดยมีแม่นมฉินช่วยประคอง เมื่อได้เห็นหน้าโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจว นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ท่านพ่อ ท่านแม่”“เด็กดี เด็กดี” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวรับเด็กในอ้อมแขนของซ่งเสวี่ยมาอุ้ม รู้สึกสงสารอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็จับมือของซ่งเสวี่ย พูดด้วยตาสีแดงก่ำว่า “ได้ยินว่าเจ้าคลอดลูกในทะเลทราย รอดตายมาได้หวุดหวิด ข้าขอบคุณเจ้าแทนทั้งตระกูลโจว ที่มีรุ่นหลังไว้ให้เยี่ยนเอ๋อร์”เมื่อพูดถึงโจวเยี่ยน ซ่งเสวี่ยก็ดูเศร้าเล็กน้อยแต่นางก็รีบปลุกใจ ตอนนี้นางมีเหนี่ยวเหนี่ยวแล้ว จะต้องกลัวอะไรอีก?“ใช่แล้ว ท่านพ่อท่านแม่ นี่คือแม่นางน้อยกู้ เป็นนางที่ทำคลอดให้ข้า ช่วยข้ากับลูกเอาไว้เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม รับความเอ็นดูจากโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวซ่งเสวี่ยไม่ต้องพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็เสนอให้นางพักอาศัยอยู่ในบ้านก่อน รับรองนางอย่างดี ไม่มีท่าทางรังเกียจนางในฐานะนักโทษแต่อย่างใดหลังจากได้พูดคุ
ฉากนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ไม่ทันตั้งตัว ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคหัวใจหรือ?“ฮูหยิน?”โจวเหล่าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เรียกฮูหยินผู้เฒ่าโจวไม่หยุด เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขาจึงรีบสั่งให้คนมาประคอง ย้ายนางไปที่สวนหลังบ้าน“ตามหมอมา!”ทุกคนในตระกูลโจวต่างตกตะลึงมู่หรงอวี้แสดงรอยยิ้มอย่างชอบใจจากด้านหลัง “ดี ดียิ่ง ถึงตาเขาลงมือแล้ว”“ลั่วยางมาหรือยัง?”“หมอเซียนน้อยรออยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”“เรียกนางเข้ามา ตามข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าโจว”มู่หรงอวี้รีบเดินไปในทิศทางที่โจวเหล่าจากไป“ท่านอ๋อง รอข้าด้วยเจ้าค่ะ”ฟู่เยียนหรานยกมือปิดแขน สุดแสนเสียใจ นางถูกสุนัขกัดทั้งยังไม่ได้ทำแผล ทำไมไม่มีใครสนใจนางเลย?เดิมทีซ่งเสวี่ยกำลังจะพักผ่อน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไร้กะจิตกะใจจะนอน จึงรีบเดินไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับทุกคนอย่างรวดเร็ว“น้องหญิงกู้ แม่สามีข้าล้มป่วยกะทันหัน ข้าต้องไปดูนางสักหน่อย ประเดี๋ยวจะให้แม่นมฉินพาเจ้าไปที่ห้องรับแขก ต้องขอโทษที่ต้อนรับบกพร่องด้วย”ซูจิ่นเอ๋อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นหมอเทวดา ให้นางลองดูสิเจ้าคะ”“จิ่นเอ๋อร์!”
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคอะไรกันแน่?“แม่นางน้อยกู้ไม่ต้องแปลกใจไปเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเราป่วยเช่นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ก่อนหน้าหน้า ท่านหมอยังรักษาอาการของนางให้ทรงตัวอยู่ได้แต่ครั้งนี้ ท่านหมอที่ตามมา กลับบอกให้พวกเราเตรียมจัดงานไว้ทุกข์”ไม่ต้องพูดถึงว่าแม่นมฉินตื่นตระหนก กู้หว่านเยว่เองก็ตกใจเช่นกันแต่นางก็ประคองสติได้อย่างรวดเร็ว ดูจากอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีอาการหัวใจวายโรคหัวใจก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไม่เป็นก็ไม่เป็นไรกู้หว่านเยว่ไม่ได้ตามนางไปทันที แต่พูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ไป แต่หากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกท่านเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้ข้าไปแล้วก็ไร้ประโยชน์”แม่นมฉินรีบพูดว่า “แม่นางกู้ไม่ต้องกลัวไปเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยเองก็คิดว่าทักษะการแพทย์ของท่านเยี่ยมยอด ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถือเสียว่าไปดูนางสักหน่อย พวกเราย่อมไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาโทษท่านแน่”ซ่งเสวี่ยมีความคิดที่ว่า แมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้ว[footnoteRef:1] [1: เป็นสำนวนที่หมายถึงความบังเอิญ หรือโชคดีขั้นสุด] “เช่นนั้นท่านก็นำทางเถอะ ระหว่างทางก็เล่า
“ท่านอ๋อง?”ลั่วยางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น“อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย เพราะข้าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าแล้ว”มู่หรงอวี้มองนางอย่างเย็นชา ท่าทางเช่นนี้ทำให้ลั่วยางรู้สึกอับอาย“ท่านอ๋อง ข้าพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ...”ในฐานะศิษย์คนเดียวของปรมาจารย์แพทย์ นางมั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองมาก เรียกได้ว่าไม่มีโรคใดในโลกที่จะทำให้นางสะดุดได้แต่นางไม่เข้าใจในชีพจรและอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจริงๆ“บางทีอาจารย์ เขาสามารถ...”“น่าชังนัก! ถ้าข้าหาปรมาจารย์แพทย์เจอ ยังใช้งานเจ้าอยู่อีกหรือ?”มู่หรงอวี้โกรธมาก ถ้าลั่วยางไม่สามารถรักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้ แล้วเขาจะถ่อมาลำบากถึงปิงโจวไปทำไม?ยิ่งไปกว่านั้น เขาอวดดีต่อหน้าโจวเหล่าไปมากแล้ว หากทำไม่ได้ คงได้อับอายกับทั้งโคตร“ท่านอ๋อง ภรรยาข้าเป็นอะไรหรือ?” เห็นทั้งสองพึมพำกัน ทำให้โจวเหล่ารู้สึกใจไม่ดี“โจวเหล่า”มู่หรงอวี้ยังอยากยื้อต่อไปสักพักฟู่เยียนหรานกลับปากมากสอดขึ้นมา “โจวเหล่า ลั่วอีหนี่ว์บอกว่านางไม่สามารถรักษากโรคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าได้เจ้าค่ะ”“ฟู่เยียนหราน!” มู่หรงอวี้โกรธมาก อยากจะบีบคอนางให้ตาย
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป