กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดในใจ นางคิดว่านางน่าจะรู้แล้วว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงหาชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ไม่เจอ ชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์สองชิ้นอยู่ในทวีปเทียนเสวียน มีเพียงชิ้นเดียวที่อยู่ในที่ราบแห่งความโกลาหล ถ้าพวกเขาหาเจอสิถึงจะแปลก“จริงสิ ครั้งที่แล้วเจ้าลูกชายตัวดีของข้าบอกว่าได้ชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์มาจากองค์หญิงเป่ยตี้ ยังทำให้ข้าดีใจเก้อไปพักหนึ่ง” ฮ่องเต้แคว้นเซียนหลิงทรงนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน บ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกผิดในใจหนานฉีไม่ได้พูดจาเหลวไหล เขาได้ครอบครองชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ในช่วงสั้น ๆ จริง เพียงแต่ว่าไม่นานหลังจากนั้น ชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ชิ้นนั้นก็ตกมาอยู่ในมือของนางเสียแล้ว“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกลับไปก่อนเถอะ” เดิมทีกู้หว่านเยว่คิดจะให้ฮ่องเต้แคว้นเซียนหลิงช่วยตามหาว่าทางเข้าถ้ำสมบัติอยู่ที่ไหน แต่พอได้ยินเขาบอกว่าข้างในมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเช่นนั้น นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคงรู้สึกว่าตนเองไปจัดการเองน่าจะปลอดภัยกว่าหลังจากที่ฮ่องเต้แคว้นเซียนหลิงออกไปแล้ว กู้หว่านเยว่จึงได้ปรึกษากับซูจิ่งสิง ตั้งใจว่าจะไปตามหาถ้ำสมบัตินี้ด้วยกัน“พ
เดิมทีกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะกลับไปที่ตงโจวก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการเรื่องของแคว้นเซียนหลิง แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซียนหลิงทรงทราบว่านางเดินทางผ่านมา ก็รีบนำขุนนางร้อยคนออกไปต้อนรับทันที ทำให้ประชาชนในแคว้นเซียนหลิงแตกตื่นกันไปหมด“นี่ใครกัน เหตุใดถึงได้เอิกเกริกขนาดนี้?” “แม้แต่ฮ่องเต้ยังเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง เกรงว่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา”ชายคนหนึ่งที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังกล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ “คือองค์หญิงน้อยแห่งตงโจว”คนอื่น ๆ “หา ฝ่าบาททรงเสียสติไปแล้วหรือ เหตุใดถึงต้องไปต้อนรับองค์หญิงน้อยของตงโจวด้วยเล่า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป แคว้นเซียนหลิงของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงและวิพากษ์วิจารณ์กัน ขันทีข้างกายของฮ่องเต้ก็เดินออกมา เชิดคางขึ้นแล้วกล่าวอย่างชอบธรรม “สงบปากสงบคำเสีย พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน องค์หญิงน้อยแห่งตงโจวอะไรกัน ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ นั่นคือเทพธิดาแห่งแคว้นเซียนหลิงของเรา เทพธิดาทรงกล้าหาญ จนได้เป็นเยว่อ๋องแห่งตงโจว ในอนาคตตงโจวก็คือแคว้นที่เป็นมิตรของเรา เข้าใจหรือไม่?”ทุกคน ?หนานโย่วที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้แต่เกาหัวอย
กู้หว่านเยว่รู้ว่าเหยาเสวี่ยหวังดีกับนาง พวกนางแม่ลูกพลัดพรากจากกันมาหลายปี เหยาเสวี่ยจึงระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องของนาง และยังกังวลเรื่องความสุขของนางด้วย ดังนั้น นางจึงจับมือของเหยาเสวี่ยไว้ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เสด็จแม่วางใจเถอะ เขาดีกับข้ามาก จะไม่มีวันทำให้ข้าเสียใจเด็ดขาด”นางกับซูจิ่งสิงไม่เพียงแต่เป็นสามีภรรยา แต่ยังเป็นสหายที่ร่วมเดินทาง ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันเหยาเสวี่ยพยักหน้า เงยหน้าขึ้นปัดปอยผมที่หลุดลุ่ยข้างหูของกู้หว่านเยว่อย่างอ่อนโยน “ถ้าเจ้ารู้ดีแก่ใจ แม่ก็วางใจแล้ว”ลูกสาวของนางเก่งกาจและโดดเด่นถึงเพียงนี้ ทำให้นางมีความสุขจริง ๆ หากซูจิ่งสิงดีกับนางไปตลอดชีวิตก็แล้วไป แต่หากเขากล้าทรยศนาง เช่นนั้นทั้งแคว้นตงโจวของพวกเขาจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่ขณะที่เหยาเสวี่ยกำลังครุ่นคิด จงเอ้าที่อยู่ข้าง ๆ ก็โพล่งขึ้นมา “ข้าว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่น่าจะทรยศลูกสาวของเราหรอก”สีหน้าของเขาดูขัดเขินเล็กน้อย ราวกับไม่คุ้นชินกับการพูดเข้าข้างซูจิ่งสิงแต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริง ระหว่างทางที่มาที่นี่เขาได้ลองสืบข่าวมาแล้ว ซูจิ่งสิงถึงกับมอบอำนาจทั้งหมดในทา
กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า ใบหน้ายังคงแสดงความประหลาดใจ “เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้พบท่านพ่อท่านแม่ที่นี่ พวกท่านไม่ได้กำลังท่องเที่ยวอยู่หรือ?”จงเอ้ายิ้มพลางกล่าวอธิบาย “ก็กำลังท่องเที่ยวอยู่จริง ๆ แต่บังเอิญได้ยินข่าวของเจ้า เลยแวะมาดูเจ้าเสียหน่อย”“ใช่แล้ว เราเดินทางมาถึงทางใต้พอดี ก็ได้ยินว่าทางใต้ถูกรวมเป็นหนึ่งแล้ว และคนที่รวมทางใต้ได้ก็คือลูกสาวสุดที่รักของแม่นี่เอง พวกเราจะไม่มาดูได้อย่างไรกัน” เหยาเสวี่ยประคองใบหน้าของกู้หว่านเยว่ ใบหน้าของลูกสาว มองอย่างไรก็ดูงดงามที่แท้ทั้งสองคนก็เดินทางผ่านมาทางใต้พอดี และได้ทราบข่าวของนาง จึงได้แวะมาหานาง กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วทันใดนั้นจงเอ้าก็หันหน้าไป สายตาจับจ้องไปยังซูจิ่งสิงอย่างพินิจพิเคราะห์“เจ้าหนุ่ม เจ้าก็คือสามีของเยว่เอ๋อร์ของพวกเราสินะ?”สายตาของพ่อตาที่จับจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์พุ่งตรงมาปลายคิ้วของซูจิ่งสิงกระตุกเล็กน้อย เขาประสานมือคารวะพลางเอ่ยขึ้น “คารวะท่านพ่อตาท่านแม่ยาย เดิมทีควรจะไปเยี่ยมเยียนท่านทั้งสองด้วยตนเอง การที่ต้องให้ท่านทั้งสองมาหา ถือว่าผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว”“เสียมารยาทจริง ๆ นั่นแหละ” จงเอ้าแค่นเสียงเย็
แต่เมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงแคว้นโยวหลาน พวกเขากลับตกตะลึงอย่างยิ่ง“ทางใต้เป็นสถานการณ์ที่กองกำลังต่าง ๆ เผชิญหน้ากันมาโดยตลอด ไม่มีใครยอมใคร เหตุใดตอนนี้ถึงรวมเป็นหนึ่งแล้ว?”ทุกคนต่างกังวลใจอย่างยิ่ง หากเป็นเช่นนี้จริง แสดงว่าผู้นำของกองทัพซินเยว่ผู้นี้มีความทะเยอทะยานสูง ในอนาคตอาจจะส่งผลกระทบต่อแคว้นโยวหลานของพวกเขาได้ ไม่แน่ว่าหลังจากรวมแผ่นดินทางใต้แล้ว ก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังแคว้นอื่น ๆ ทำให้ที่ราบแห่งความโกลาหลต้องเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนหลังจากที่พูดคุยจอแจอยู่พักใหญ่ ก็พบว่าเป่ยหมิงโยวหลานที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือกลับสงบนิ่งเป็นพิเศษ“ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงกังวลเลยแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ?”เป่ยหมิงโยวหลานทิ้งจดหมายลับลง “จะกังวลไปไย คนที่รวมแดนใต้เป็นหนึ่งคือคนรู้จักเก่า”ขุนนางที่อยู่ใกล้ที่สุดหยิบจดหมายลับขึ้นม เมื่ออ่านเสร็จก็รีบส่งให้คนอื่น ๆ ทุกคนต่างพากันตกตะลึงตาค้างอะไรนะ คนที่รวมแผ่นดินทางใต้เป็นหนึ่งเดียว เหตุใดจึงเป็นองค์หญิงน้อยกู้หว่านเยว่แห่งแคว้นตงโจวไปได้?เป็นคนรู้จักเก่าจริง ๆ “พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ” เป่ยหมิงโยวหลานโบกมือเบา ๆ เหล่าขุนนางอาวุโสอยาก
สีหน้าของกู้หวานเยว่ดูกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ เจ้าเด็กจ้านจ้านคนนี้ซูจิ่งสิงโอบกอดนางไว้ คางเกยเบา ๆ ที่หน้าผากของนาง “มีลูกคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบากเกินไป”ครั้งก่อน ภาพเหตุการณ์ที่กู้หวานเยว่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายตอนคลอดลูกนั้น เขายังคงรู้สึกหวาดผวามาจนถึงทุกวันนี้“เรื่องนี้ ค่อยว่ากันทีหลัง”ตอนนี้กู้หว่านเยว่ยังไม่ได้คิดให้ดี ๆ ว่าจะมีลูกสาวอีกคนหรือไม่ บางทีหลังจากเรื่องราวในตอนนี้คลี่คลายลงแล้ว นางอาจจะอยากมีอีกคนก็ได้ แต่ไม่ว่านางจะอยากมีหรือไม่ นั่นก็เป็นการตัดสินใจส่วนตัวของนาง และต้องให้นางเป็นคนตัดสินใจเอง“ยิ่งจัดการเรื่องตรงหน้าได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งได้กลับไปทวีปเทียนเสวียนเร็วขึ้นเท่านั้น”กู้หว่านเยว่มองดูโต๊ะทรายจำลองศึก ทางใต้เหลือเพียงพรรคฟ้าดินที่ยังคงดื้อรั้นต่อต้านอยู่กองกำลังอื่น ๆ ที่ยอมจำนนก็ยอมจำนนไปแล้ว ส่วนที่ถูกกำจัดก็ถูกกำจัดไปแล้ว เหลือเพียงพรรคฟ้าดินที่ยังคงปักหลักอยู่ในค่ายของพวกเขา ไม่ยอมสวามิภักดิ์อย่างเด็ดขาดกู้หว่านเยว่ไม่คิดจะตามใจพวกเขา และไม่ใช้นโยบาย “โอบล้อมอย่างเป็นมิตร” แต่กลับนำทัพใหญ่เคลื่อนพลพร้อมปืนใหญ่