นางอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่มานานที่สุด ความคิดบางอย่างจึงได้รับอิทธิพลจากกู้หว่านเยว่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงนางหยางได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใดตอนที่นางได้ยินคำพูดของซูจิ่นเอ๋อร์ครั้งแรก ก็รู้สึกว่าบุตรสาวของตนช่างเลอะเลือนเกินไปแล้ว แต่นางก็เข้าใจดีว่าการสืบทอดตระกูลนั้นสำคัญเพียงใด“เรื่องนี้จะโทษจิ่นเอ๋อร์ก็ไม่ได้ หากสกุลฟู่ต้องการจะหย่านาง ก็สามารถใช้เรื่องไร้ทายาทซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดข้ออ้างในการหย่าร้างได้ นางเองก็ไม่มีทางเลือก” นางหยางเอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณในใจของนางยังคงเข้าใจซูจิ่นเอ๋อร์ได้ แต่กู้หว่านเยว่กลับส่ายหน้า “จิ่นเอ๋อร์เป็นคนนิสัยเด็ดเดี่ยว ยอมหักไม่ยอมงอ”มิฉะนั้นแล้ว เมื่อก่อนคงไม่ดึงดันที่จะติดตามฟู่หลานเหิง ยอมตายแต่ไม่ยอมหันหลังกลับ เพียงเพื่อจะแต่งงานกับเขาให้ได้คนที่มีนิสัยเช่นนี้ จะเป็นคนที่บอกว่าจะรับอนุภรรยาให้สามีง่าย ๆ ได้อย่างไร“เช่นนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”นางหยางถอนหายใจ จับมือกู้หว่านเยว่ไว้พลางเอ่ยขึ้น“ช่างเถิด ไม่ว่าเรื่องราวมันจะเป็นมาอย่างไร ทุกอย่างล้วนเกิดจากการที่จิ่นเอ๋อร์ไม่สามารถตั้งครร
ภายในตำหนักเฟิ่งอี๋มีทั้งห้องน้ำชา ห้องหนังสือ ห้องปรุงยา ด้านหลังตำหนักยังมีแปลงสมุนไพรเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนตัวของกู้หว่านเยว่ที่แห่งนี้คือสถานที่สงบจิตใจของนางหากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง ใครก็ห้ามย่างกรายเข้ามาโดยพลการในยามปกติ กู้หว่านเยว่จะปรุงยาและอ่านตำราแพทย์อยู่ที่นี่วันนี้ นางตั้งใจจะนำสมุนไพรที่เก็บมาจากในมิติเมื่อหลายวันก่อนออกมาแปรรูปเสียหน่อยอันที่จริงแล้ว สมุนไพรในมิติสามารถแปรรูปได้โดยอัตโนมัติ แต่ในฐานะแพทย์ กู้หว่านเยว่กลับชอบลงมือทำด้วยตนเองมากกว่า เพื่อที่นางจะได้ไม่ลืมทักษะนี้ไปเพราะไม่ได้ลงมือทำมานาน ทั้งนึ่งต้ม คั่ว บด ไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาช่วงบ่ายได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่นานนัก เสียงของนางกำนัลก็ดังขึ้นจากนอกประตู “ทูลฮองเฮา ฮูหยินกั๋วกงเข้าวังมาแล้วเพคะ”กู้หว่านเยว่รีบวางของในมือลง พลางนวดต้นคอที่ปวดเมื่อย แล้วออกไปต้อนรับนางหยางด้วยตนเอง“ท่านแม่”“ฮองเฮา” สายตาของนางหยางฉายแววสงสัย “เรียกข้าเข้าวังมาเสียเย็นค่ำ มีเรื่องอันใดหรือ?”นางหยางและซูจิ้งอาศัยอยู่ที่จวนกั๋วกง เข้าวังมาเป็นประจำ แต่โดยปกติแล้วจะมาในช่วงเช้าและกลับในช่วงพลบค่ำ
เช้าวันนี้ไม่ตรวจเพราะยุ่งเกินไป เพิ่งจะมาว่างตอนนี้ ตั้งใจว่าจะตรวจให้นางอย่างละเอียด ซูจิ่นเอ๋อร์ยื่นมือออกไปอย่างสั่นเทาเมื่อกู้หว่านเยว่วางปลายนิ้วลงไป ใบหน้านางยิ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และยังประหม่าจนกลั้นหายใจพลันกู้หว่านเยว่ก็ขมวดคิ้วซูจิ่นเอ๋อร์รีบถาม “เป็นอย่างไรพี่สะใภ้ใหญ่ ข้ายังสามารถมีลูกหรือไม่?”กู้หว่านเยว่พบความผิดปกติบางอย่าง “เหตุใดเจ้าประหม่าเช่นนี้? ฟู่หลานเหิงล่ะ เจ้ากลับเมืองหลวงครั้งนี้ เหตุใดเขาไม่มากับเจ้า?”ซูจิ่นเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง “เขามา แต่ แต่อยู่ที่สกุลฟู่ จึงไม่ได้เข้าวังมาด้วยกัน”สีหน้ากู้หว่านเยว่จริงจังขึ้นมาก“เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้ามีเรื่องปิดบังข้าใช่หรือไม่?”ซูจิ่นเอ๋อร์จะร้องไห้แล้ว นางกล่าวอ้อนวอน “พี่สะใภ้ใหญ่ ได้โปรดท่านบอกข้าเถอะ”กู้หว่านเยว่ปล่อยมือ พลางกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ภายในร่างกายมีความเย็นสะสมมากเกินไป น่าจะเป็นเพราะเผชิญความหนาวเหน็บอย่างรุนแรงตอนเดินทางไปเจดีย์หนิงกู่ จึงทิ้งอาการไว้จนถึงตอนนี้”“แต่นี่ไม่ได้ยากเกินกว่าจะรักษา ขอแค่ดูแลตัวเองดีๆ และดื่มยาอีกหน่อย ไม่เกินหนึ่งปีก็จะดีขึ้นเอง”เมื่อพูดถึงตรงนี้
กู้หว่านเยว่ยังได้ถือโอกาสนี้ถามสถานการณ์ของจิ่นเอ๋อร์ด้วย ลั่วยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเขียนจดหมายหาอาจารย์ ใช่ว่าเขาจะกลับมาเสมอไป แต่ถ้าเขารู้ว่าท่านมีสมุนไพรหายาก ไม่เกินสามวันก็จะปรากฏตัวในเมืองหลวงแน่นอน”บนใบหน้าของนางปรากฏแววอิจฉาเสี้ยวหนึ่งที่จริงไม่เพียงแค่อาจารย์ ถ้าหากนางได้ยินว่ามีสมุนไพรหายาก ก็จะรีบมาหาเช่นกันสำหรับคนเป็นหมออย่างพวกเขา ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธเหมือนกู้หว่านเยว่มองความคิดนางออก“อย่าเพิ่งใจร้อน นอกจากให้อาจารย์ของเจ้า ข้ายังมีสมุนไพรอีกไม่น้อยที่จะให้เจ้าสมุนไพรพวกนี้ล้วนเป็นของที่ข้าเอากลับมาจากที่ราบแห่งความโกลาหลบางส่วนก็แปรรูปแล้ว สามารถเอาไปใช้ได้เลยและบางส่วนยังมีดินติดอยู่ เจ้าสามารถลองเอาไปปลูกดูว่าจะรอดหรือไม่”ลั่วยางคิดไม่ถึงว่าจะมีส่วนของตนเองด้วย รอยยิ้มแห่งความดีใจจึงเปล่งประกายทั่วใบหน้าทันที“พระมเหสี ท่านยังเตรียมของไว้ให้ข้าด้วย?”นางรู้สึกเลื่อมใสในตัวกู้หว่านเยว่มากการถูกคนที่ตนเองเลื่อมใสจดจำ ความรู้สึกเช่นนี้มันวิเศษจงอธิบายไม่ถูกจริงๆกู้หว่านเยว่กะพริบตาปริบๆ “เป็นอย่างไร เจ้าอยากได้หรือไม่อยากได้?
หลังจากทั้งสองคุยกันเสร็จ ลั่วยางเห็นจ้านจ้านยืนเฝ้าจี้เยว่ที่ข้างเตียง จึงอดประหลาดใจไม่ได้“ปกติองค์ชายน้อยไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลย วันนี้กลับห่วงใยเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วลูกชายเป็นคนนิสัยเฉยชาจริงนั่นแหละหายากนักที่จะมีใครสักคนเข้าตาเขาแม้กู้หว่านเยว่ไม่สามารถดึงเข็มเงินออกจากท้ายทอยของจี้เยว่ แต่อยากให้นางฟื้นนั้นไม่ใช่ปัญหา เพียง ไม่นานจี้เยว่ก็ค่อยๆ ลืมตานางขยี้ตาก็พบว่าทุกคนมาล้อมอยู่ที่หน้าเตียงจี้เยว่รู้สึกไม่ค่อยชิน รีบมองหาจ้านจ้านทันที“องค์ชาย” นางเรียกเสียงอ่อน “กินข้าว”ความหมายคือ เมื่อครู่ยังกินข้าวอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ก็มานอนบนเตียงแล้ว อีกทั้งทุกคนยังกำลังจ้องนางจ้านจ้านเบะปาก “ไม่เพียงเป็นยัยบ๊อง ยังเป็นแมวตะกละด้วย”ไม่นานนัก ชิงเหลียนก็กลับมาสีหน้าของนางดูเคร่งขรึมกว่าตอนไป“พระมเหสี หม่อมฉันถามคนสกุลซุนแล้ว ซุนฮูหยินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเพคะแต่สาวใช้สองคนที่ดูแลจี้เยว่รู้เรื่องนี้เพียงแต่พวกนางก็รู้แค่ว่าบางครั้งจี้เยว่จะมีอาการปวดหัวและแน่นหน้าอก แต่ไม่รู้สาเหตุ ดูจากท่าทางของพวกนางไม่เหมือนกำลังโกหก
จี้เยว่หมดสติไปแล้ว แต่ยังขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ว่านางทรมานมากชิงเหลียนกล่าวอย่างปวดใจ “พระมเหสี หรือไม่ให้หม่อมฉันออกจากวัง ไปถามจวนซุนเดี๋ยวนี้?”ข้างกายจี้เยว่ไม่มีสาวใช้คนสนิทเมื่อกู้หว่านเยว่ที่ได้ยินก็ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นแล้ว ข้าว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ”นางยื่นมือไปลูบท้ายทอยก่อนจี้เยว่หลังจากลูบอยู่พักใหญ่ มือของกู้หว่านเยว่ไปหยุดอยู่ที่จุดหนึ่ง สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมลง“เหมือนกับที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด”“หมายความว่าอย่างไร?” ซูจิ่งสิงจับมือจ้านจ้านที่สีน่าดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัดยืนรอที่ข้างๆ “ที่ท้ายทอยของจี้เยว่มีเข็มเงินปักอยู่หนึ่งเล่ม เข็มเงินเล่มนี้ปิดกั้นเส้นลมปราณของนาง ไม่แปลกใจเลยที่นางสติไม่สมประกอบ”อาการเจ็บที่หน้าอกก็เป็นผลจากเข็มเงินเล่มนี้เช่นกันซูจิ่งสิงขมวดคิ้วแน่น “เจ้าบอกว่าที่ท้ายทอยของเด็กคนนี้มีเก็บเงินปักอยู่หนึ่งเล่ม?”ใครกันที่ใจดำเช่นนี้ ถึงขั้นลงมือกับเด็กคนหนึ่งได้ลงคอ“สามารถดึงเก็บเงินเล่มนี้ออกมาหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ลองลูบคลำครู่หนึ่งก็ชักมือกลับมาพลางส่ายหัวด้วยความผิดหวัง“เข็มเงินเล่มนี้อยู่ในร่างกายจี้เยว่มาได้สักระยะแ