เหตุใดถึงกลายเป็นกระดาษฟางไปได้?“ต้องเป็นท่านแน่ ๆ ท่านใช้วิชาบังตาอันใดมาขโมยชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ของข้าไป รีบคืนชิ้นส่วนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”หนานฉีกัดฟันกรอดหนานโย่วโยนห่อผ้าคืนให้เขา “เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไร? ข้าไม่ทำเรื่องพรรค์นั้นหรอก”เขาหรี่ตาลง “ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าก็หาชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ไม่พบ เจ้าคงไม่ได้ตั้งใจจะโยนความผิดให้ข้าหรอกนะ?”“หุบปาก!” ขมับของหนานฉีเต้นตุบ ๆ เขารู้สึกสงสัยในชีวิตเลยทีเดียวมันเกิดความผิดพลาดขึ้นที่ใดกันแน่?นี่คือชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ที่เขาต้องถึงกับขายเรือนร่าง นอนกับองค์หญิงข่าหลินทั้งคืนกว่าจะได้มันมาเชียวนะเป็นฝีมือของผู้ใดกัน?หนานฉีรู้สึกหน้ามืด ทั้งโกรธทั้งรู้สึกน้อยใจ เกือบจะเป็นลมไปแล้ว เขากำหมัดทั้งสองข้างแน่น โกรธจนหายใจแทบไม่ทัน“เจ้าหัวขโมยสมควรตายนี่ กล้าดีอย่างไรมาขโมยชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์ของข้าไป หากข้ารู้ว่าเป็นใคร จะไม่ปล่อยมันไว้แน่”หนานโย่วกล่าวเตือนด้วยท่าทีสมน้ำหน้า “เจ้าควรจะคิดก่อนดีกว่าว่าจะไปอธิบายกับเสด็จพ่ออย่างไร”หนานฉีสูดหายใจเข้าลึก ๆ อารมณ์ไม่สู้ดีนัก เมื่อไม่สามารถนำชิ้นส่วนแผนที่ขุม
ตอนนี้เมื่อคลำเจอห่อผ้านั้นแล้ว มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มได้ใจขึ้นมาแวบหนึ่ง พร้อมทั้งดึงห่อผ้านั้นออกมา“ในเมื่อพี่รองอยากจะดู ข้าผู้เป็นน้องย่อมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”หนานฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย“เพียงแต่พี่รองต้องระมัดระวังสักหน่อย ชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์นี้บอบบางนัก พี่รองอย่าได้เผลอทำมันเสียหายไปล่ะ”ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนระดับเสียงให้สูงขึ้น “จริงสิ และอย่าได้เผลอจำเรื่องราวผิดไป คิดว่าชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์นี้ ท่านเป็นคนหาพบ”หนานโย่วถูกเขายั่วโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ด้วยผิวคล้ำ จึงมองไม่ออกว่าสีหน้าเป็นเช่นไร“น้องสาม อย่าคิดว่าเจ้าได้ชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์มาแล้วจะวิเศษนักหนา”“อย่าได้เอาความคิดคนต่ำช้า มาตัดสินใจวิญญูชนหากเจ้าไม่ไว้ใจ ข้าไม่ดูก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาดูถูกกันถึงเพียงนี้”ชิ้นส่วนแผนที่ขุมทรัพย์นี้ แท้จริงแล้วก็คือชิ้นส่วนที่อยู่ในมือของกู้หว่านเยว่ เพียงแต่มันไม่ใช่แผนที่ขุมทรัพย์เฉพาะของตงโจว แต่เป็นของที่ราบแห่งความโกลาหลณ ที่ราบแห่งความโกลาหลมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว ว่ากันว่าก่อนที่แคว้นต่าง ๆ จะถือกำเนิดขึ้น ในยุคเริ่มต้นของที่ราบแห่งค
“ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่ข้าน้อยทราบ องค์ชายของแคว้นโยวหลานมีเพียงสองพระองค์เท่านั้น องค์หนึ่งคือเป่ยหมิงโยวหลาน ส่วนอีกพระองค์หนึ่งอายุยังไม่ถึงสิบขวบพ่ะย่ะค่ะ”แน่นอนว่าเป่ยหมิงโยวหลานย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมาหาข่าหลิน และเมื่อฟังจากคำบรรยายขององค์หญิงน้อย เด็กน้อยที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบคนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมาหาข่าหลินเช่นกัน“ในยามนี้ ผู้ที่พอจะมีกำลังสามารถต่อกรกับตงโจวของเราได้ ก็มีเพียงแคว้นเซียนหลิงและแคว้นโยวหลานเท่านั้นเมื่อตัดแคว้นโยวหลานออกไปแล้ว เช่นนั้นก็จะเหลือแค่แคว้นเซียนหลิง ซึ่งแคว้นนั้นมีองค์ชายอยู่หลายพระองค์เลยทีเดียว”ชิงเยี่ยนครุ่นคิดต่อไป “แต่ผู้ที่สามารถใช้รูปโฉมและเสน่ห์ยั่วยวนผู้คนได้นั้น มีเพียงหนานฉีซึ่งเป็นองค์ชายสามของพวกเขา”กู้หว่านเยว่มองชิงเยี่ยนด้วยแววตาชื่นชม “เด็กดี เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ไม่น้อยเลย”ชิงเยี่ยนยิ้มอย่างเขินอาย เวลาที่เขาเบื่อ ๆ เขาชอบศึกษาเรื่องราวเหล่านี้“ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม เมื่อองค์หญิงข่าหลินสิ้นชีพแล้ว ตอนนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะเข้าบุกเมือง ข้าจะสั่งการเดี๋ยวนี้”ชิงเยี่ยนคารวะครั้งหนึ่ง แล้วรีบออกไปสั่ง
กู้หว่านเยว่ชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหันสถานการณ์ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจ!เรื่องราวภายในนั้นชัดเจนเกินไป นางไม่อยากจะเข้าไปรับชมด้วยตนเอง ตั้งใจว่าจะถือโอกาสแวะไปจัดการกับคลังเก็บของสักสองสามแห่ง แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินชื่อของตนเอง“ฝ่าบาท เพียงแค่ท่านช่วยฆ่ากู้หว่านเยว่ ข่าหลินจะยอมแต่งให้ท่าน...ได้หรือไม่!” ข่าหลินกล่าวตามมาด้วยเสียงของบุรุษผู้หนึ่ง “องค์หญิงข่าหลิน ท่านก็รู้ว่าข้าสนใจสิ่งใด”“ของสิ่งนั้น...หากท่านแต่งงานกับข้า ของสิ่งนั้นย่อมเป็นของท่าน แต่ว่า ท่านต้องช่วยข้าก่อน ข้าถึงจะมอบของสิ่งนั้นให้ท่านได้”“ดูเหมือนว่า ของสิ่งนั้นอยู่ในมือขององค์หญิงจริง ๆ ”“นะ แน่นอน ของสิ่งนั้นเป็นสินเดิมติดตัวของท่านแม่ข้า มิฉะนั้น ท่าน ท่านคิดว่าเสด็จพ่อจะโปรดปรานข้าถึงเพียงนั้นด้วยเหตุใดกันเล่า...ได้หรือไม่!” ข่าหลินกอดรัดบุรุษที่อยู่บนร่างของนางแน่นขึ้นบทสนทนาของทั้งสองคน ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า สิ่งใดกันที่ทำให้ทั้งสองคนทำการต่อรองแลกเปลี่ยนกันที่นี่นางชะโงกศีรษะออกไปมอง ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งผิวขาวผ่องและรูปร่างกำยำ อยู่บนเตียงกลมอันหรูหราที่ประดับด้วยหยกหลานเถียนม่า
“องค์หญิงน้อย ท่านจะไปสำรวจค่ายศัตรูอีกแล้วหรือ? ก็ได้ แล้วท่านจะกลับมาเมื่อใด ต้องการให้ข้าเตรียมของว่างยามดึกไว้ให้หรือไม่?”สู้รบมาได้สองเดือนแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้หว่านเยว่สำรวจค่ายศัตรูในยามค่ำคืน ทุกครั้งนางก็จะเรียกชิงเยี่ยนมาเพื่อให้เฝ้ากระโจมดังนั้น ชิงเยี่ยนจึงพอจะเดาได้ว่าคืนนี้กู้หว่านเยว่จะไปที่ใด“ของว่างยามดึกก็ไม่ต้องแล้ว หากเจ้ารู้สึกหนาวก็เข้ามานอนในกระโจมได้เลย หากมีใครมาก็ให้รีบขวางไว้ให้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่มองชิงเยี่ยนเป็นเหมือนน้องชาย ทั้งสองคนมาจากต้าฉีด้วยกัน ระหว่างเดินทางได้เผชิญความยากลำบากด้วยกัน ดังนั้นจึงไว้วางใจเขาเป็นพิเศษ“พ่ะย่ะค่ะ” ชิงเยี่ยนกระพริบตาปริบ ๆ ก็ไม่ได้คิดว่ามีอะไรน่าแปลกองค์หญิงน้อยทรงไว้วางใจเขา เขาก็ดีใจแทบแย่แล้ว“ไปละ” กู้หว่านเยว่หยิบหน้ากากสีเงินออกมาจากมิติของนางแล้วสวมลงบนใบหน้า จากนั้นร่างของนางก็หายลับไปท่ามกลางราตรีที่เต็มไปด้วยหิมะอันเวิ้งว้างหุบเขาโยวโยวแตกต่างจากที่ดินศักดินาอื่น ๆ ที่กู้หว่านเยว่เคยบุกโจมตีมาก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้ภายนอกมีหิมะปลิวว่อน แต่หลังจากที่เข้าไปในหุบเขาแล้ว กลับรู้สึกได้อย่าง
สำหรับองค์หญิงน้อยผู้นี้ แม้ว่าหลิวหลิงจะมีอายุมากกว่านาง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะดูแคลนถึงกับหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา จดบันทึกทุกถ้อยคำอย่างละเอียดเมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่น เขาจึงค่อยวางใจหลังจากหลิวหลิงเข้ารับช่วงต่อดูแลเมืองหลานซีอย่างสมบูรณ์แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ได้นำทัพไปบุกโจมตีเมืองถัดไปเพียงแค่ครึ่งเดือน กองทัพของนางก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีกำลังพลถึงสามแสนนายมีผู้คนจำนวนมากที่เลื่อมใสในชื่อเสียงของนางและเดินทางมาเข้าร่วมกองทัพใคร ๆ ก็รู้ว่าเบี้ยหวัดในกองทัพตงโจวนั้นดีมาก ทหารทุกคนไม่เพียงแต่จะอิ่มท้องทุกมื้อ แต่ยังได้กินเนื้อวันเว้นวัน หลังจากการฝึกซ้อมในตอนค่ำ ก็ยังมีของว่างให้กินอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถรับเบี้ยหวัดกลับไปให้ครอบครัวได้สำหรับจำนวนเบี้ยหวัดนั้น จะคำนวณตามยศของทหารทหารธรรมดา ในหนึ่งเดือนจะได้รับข้าวชิงเคอสิบจิน มันเทศสองจิน และผ้าป่านครึ่งพับเงื่อนไขนี้ ช่างเย้ายวนใจเสียจริง!ณ ที่ราบแห่งความโกลาหล มีผู้คนมากมายที่อดอยากปากแห้ง ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ แต่มีพละกำลังมหาศาลดังนั้นกองทัพของกู้หว่านเยว่จึงยังคงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่า เพื่อสร้างความสมดุล