แต่งงานกับองค์หญิงไม่ต่างจากแต่งเข้าบ้าน หลังทั้งสองคนแต่งงานกันแล้วก็ควรอาศัยอยู่ในจวนองค์หญิง แม้ว่าภายนอกเป็นสามีภรรยา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นกษัตริย์และขุนนาง องค์หญิงต่างหากเป็นนายหญิงของบ้านเพียงแต่ซูจิ่นเอ๋อร์อุปนิสัยอ่อนโยนและพูดง่าย นี่จึงไม่สั่งให้ฟู่หลานเหิงไปอยู่กับนางภายในจวนองค์หญิงที่เมืองหลวง ส่วนนางไปเป็นเพื่อนเขารับราชการที่อื่น และมอบความเคารพที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่พึงได้รับแก่นางต่อให้เป็นองค์หญิง แต่ยังมาเยี่ยมคารวะแม่สามีทุกวันกลับคิดไม่ถึงเลยว่าความอ่อนโยนและใจกว้างของนางจะแลกมากับการถูกคนหมิ่นแคลนฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายถูกเหยียบหางก็มิปาน สีหน้าไม่สบอารมณ์ตอนทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน เหตุเพราะลูกชายนางแต่งกับองค์หญิง นี่จึงมีบารมีไม่น้อยยามอยู่ภายนอกหลังอยู่ร่วมกันแล้ว เห็นว่าซูจิ่นเอ๋อร์ไม่วางอำนาจขององค์หญิง กอปรกับนางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นี่จึงเกิดความคิดบงการขึ้นมาคำพูดของซูจิ่นเอ๋อร์ นางไม่สามารถโต้แย้งได้ทำได้เพียงพูดว่า “จิ่นเอ๋อร์ นี่เจ้าไม่รู้ความแล้ว ชายใดไม่มีสามภรรยาสี่อนุบ้างเล่า? หากแม้แต่อนุคนเดียวเจ้าก็ยอมปล่อยผ่านไม่ได้ เล
สัญชาตญาณบอกซูจิ่นเอ๋อร์ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลอย่างมากสายตายามสตรีนามว่าเซียนเอ๋อร์คนนี้สบมองฟู่หลานเหิงแปลกประหลาดอย่างมาก ยิ่งไปกว่านี้เหตุใดนางต้องเรียกแทนตนว่าพี่หญิงด้วยเล่า?ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่กล้าคิดต่อแขนเสื้อกำแน่น ร่างกายโงนเงนหลินเซียนเอ๋อร์พูดเสียงนุ่มนวล “พี่หญิง ข้าคือญาติผู้น้องของใต้เท้าฟู่ ครั้งนี้ตั้งใจมาเพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่า”ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่จูงมือของหลินเซียนเอ๋อร์ ปรบมือ พูดยิ้มๆ “เซียนเอ๋อร์รู้ความยิ่งนัก เพียงข้าได้เห็นนางก็รู้สึกชมชอบ คิดพานางมาอยู่ข้างกาย องค์หญิงน่าจะไม่ถือสากระมัง?”ซูจิ่นเอ๋อร์สมควรพูดอย่างไร? นางย่อมถือสา! สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าฟู่และหลินเซียนเอ๋อร์แสดงออกชัดเจนอย่างมาก“ข้า”ซูจิ่นเอ๋อร์อยากพูดบางอย่าง หลินเซียนเอ๋อร์ชิงพูดก่อน “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สบาย ข้าอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อปรนนิบัติดูแลนาง พี่หญิงน่าจะไม่ถือสากระมัง?”ซูจิ่นเอ๋อร์อยากพูดแต่กลับติดอยู่ในลำคอตอนนี้นางพูดว่าถือสา นั่นจะยังไม่ถูกตราหน้าว่าอกตัญญูอีกหรือฮูหยินผู้เฒ่าฟู่เองก็พูดยิ้มๆ “จิ่นเอ๋อร์ นิสัยของเซียนเอ๋อร์ดีมาก อ่อนโยนนุ่มนวล ไม่มีวันทำให้เจ้าเดือด
หมอบอกว่ามารดาของเขาเป็นลมชัก ต้องมีคนคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ฟู่หลานเหิงไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงให้ซูจิ่นเอ๋อร์กลับเมืองหลวงไปก่อนตามลำพัง ส่วนตนเองอยู่ดูแลมารดา แต่ใครจะรู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์เพิ่งจากไปได้เพียงวันเดียว มารดาที่เคยนอนซมอยู่กับเตียงกลับลุกขึ้นมาเดินเหินได้ตามปกติสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ ยังคิดจะหาอนุภรรยาที่บ้านเกิดให้เขาอีกด้วยฟู่หลานเหิงไม่ใช่คนโง่เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา เขาก็พลันเข้าใจได้ในที่สุด โรคลมชักเป็นเรื่องโกหก การที่จงใจส่งซูจิ่นเอ๋อร์ไปก่อนต่างหากคือเรื่องจริง“ท่านแม่ ข้าเคยบอกแล้วว่า ข้าจะไม่รับอนุภรรยา”สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ฉายแววมืดมน “ไม่รับอนุภรรยา แล้วจะให้สกุลฟู่สิ้นทายาทหรือไร? ซูจิ่นเอ๋อร์นั่น มีลูกไม่ได้!”สีหน้าของฟู่หลานเหิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านแม่โปรดระวังคำพูด จิ่นเอ๋อร์ไม่ได้มีปัญหา เป็นปัญหาของข้าเอง!”“เจ้าถึงกับแบกรับความรับผิดชอบไว้ที่ตนเอง เพื่อจะปกป้องนางอย่างนั้นหรือ?”ความไม่พอใจที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่มีต่อซูจิ่นเอ๋อร์ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกส่วน นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ใต้หล้านี้บุ
ซูจิ่นเอ๋อร์พยักหน้า เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่พูดกับนางมากมายแล้ว นางเองก็รู้ว่าควรทำอย่างไร นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลงมาจากรถม้าซูจิ่นเอ๋อร์พาไฉ่จวี๋สาวใช้ที่กู้หว่านเยว่จัดหาให้ เดินไปยังหน้าประตูบ้านสกุลฟู่ ทันใดนั้น ก็มีรถม้าหลายคันมาถึงหน้าประตู พ่อบ้านได้สังเกตเห็นแล้วเขาจำซูจิ่นเอ๋อร์ได้ในทันที สายตาฉายแววประหลาดใจ “องค์หญิงใหญ่? ท่าน ท่านกลับมาได้อย่างไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะกลับมานี่มันกะทันหันเกินไปแล้วไฉ่จวี๋ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “นี่มันท่าทีอะไรของเจ้า! หรือว่าองค์หญิงใหญ่จะกลับมา ยังต้องรายงานให้บ่าวรับใช้เช่นเจ้ารับทราบด้วยหรือ?”“มะ ไม่ใช่ขอรับ” “ยังไม่รีบคุกเข่าอีก”ไฉ่จวี๋ตวาดเสียงเย็น ซูจิ่นเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ในใจรู้สึกผิดเล็กน้อยแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงใหญ่ แต่เวลาอยู่ข้างนอกนางไม่เคยวางอำนาจแบบองค์หญิงใหญ่ โดยเฉพาะต่อหน้าคนสกุลฟู่แล้ว ยิ่งพูดจาด้วยง่าย ไฉ่จวี๋ดุดันเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งแต่ไม่คุ้นเคยก็ต้องปรับตัวไฉ่จวี๋เป็นคนที่พี่สะใภ้ใหญ่ส่งมา พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้เพื่อสร้างบารมีให้นาง!นางต้องเรียนรู้ให้ดีซ
“ข้าต้องถามเจ้าอีกประโยคหนึ่ง ฟู่หลานเหิงรู้เรื่องนี้หรือไม่?”แม้ว่าจะไม่อาจแนะนำให้ซูจิ่นเอ๋อร์หย่าร้าง แต่ก็ต้องเข้าใจสถานการณ์อย่างละเอียด“ท่านพี่ไม่ทราบ เขาออกไปราชการนอกสถานที่ตลอด ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งยังบอกข้าเสมอว่า ไม่ต้องรีบร้อนเรื่องลูก และยังพูดกับแม่สามีบ่อย ๆ ว่าอย่ากดดันข้า เพียงแต่คำพูดของแม่สามีต่อหน้าท่านพี่นั้น พูดได้ไพเราะน่าฟังยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่พยักหน้า พอจะเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว นางตบลงบนมือของซูจิ่นเอ๋อร์เบา ๆ “เรื่องที่เหลือเจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว พี่สะใภ้จะไปที่บ้านสกุลฟู่กับเจ้าสักรอบ ช่วยเจ้าจัดการเอง”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าชื่นชม“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านดีกับข้าที่สุด”“อย่ามาปากหวานต่อหน้าข้าเลย อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ผู้สง่างาม แสดงบารมีขององค์หญิงใหญ่ออกมาหน่อยสิ”พี่สะใภ้กับน้องสามีสองคนพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันอีกพักหนึ่งเมื่อกู้หว่านเยว่มั่นใจแล้วว่าทางฝั่งซูจิ่นเอ๋อร์ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นางจึงวางใจไปเก็บสัมภาระคืนนั้นซูจิ่งสิงเรียกซูจื่อชิงและเว่ยเฉิงเข้าวังพร้อมกัน เพื่อมอบหมายงานในราชสำนักให้ทั้งสองคนจัดการ
ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ จนกู้หว่านเยว่ต้องใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของนางแรง ๆ “เจ้าเด็กโง่คนนี้ เจ้าคงไม่ได้คิดจริง ๆ ใช่หรือไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าฟู่จะอยู่ข้างเจ้า?”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ปฏิเสธว่าในโลกนี้มีแม่สามีที่ดีอยู่บ้าง อย่างเช่นนางหยาง เป็นคนมีเหตุผลมาก และไม่เคยทำให้นางลำบากใจแต่ทุกเรื่องก็มีลำดับความสำคัญ ความใกล้ชิดความห่างเหิน สำหรับแม่สามีแล้ว คนที่ใกล้ชิดที่สุดย่อมเป็นลูกชาย ไม่ใช่ลูกสะใภ้ ต่อให้ปกติจะพูดถึงลูกสะใภ้อยู่บ่อย ๆ แต่เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ย่อมเอาผลประโยชน์ของลูกชายมาเป็นอันดับแรกเสมอตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ตัดสินไปแล้วว่าซูจิ่นเอ๋อร์มีลูกไม่ได้ ไม่สามารถให้กำเนิดทายาทแก่ฟู่หลานเหิงได้ เพื่อพิจารณาเรื่องทายาทของสกุลฟู่แล้ว จะต้องคิดหาทางรับอนุภรรยาอย่างแน่นอน“มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่โง่ พอเจอเรื่องแบบนี้กลับไม่ยอมเปิดอกคุยกับสามียังจะแอบคิดหาอนุภรรยาให้สามีอีก หรือว่าจิตใจของเจ้ากว้างขวางถึงเพียงนั้นจริง ๆ พอถึงเวลาที่รับอนุภรรยาเข้ามาแล้ว สามีของเจ้ายอมรับนาง เจ้าจะนั่งมองพวกเขารักกันหวานชื่น แล้วก็มีลูกชายตัวอ้วนจ้ำม่ำสักสองคนอย่างนั้นหรือ?”