หลังจากกลับมาที่หมู่บ้านโซว่หวาง กู้หว่านเยว่ก็หยิบหีบสีเทาออกมา “ท่านพี่ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร”ซูจิ่งสิงมองดูอย่างถี่ถ้วน “สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นหีบบรรจุเถ้ากระดูก”ด้านนอกหีบสีเทาไม่มีตัวอักษรใด ๆ นี่คือสิ่งที่หญิงลึกลับทิ้งไว้ เดิมทีกู้หว่านเยว่วางแผนที่จะศึกษาอย่างละเอียดพอยินมาว่ามันคือหีบบรรจุเถ้ากระดูก จึงชักมือกลับอย่างไม่พอใจ“ทำไมนางถึงเอาของสิ่งนี้ไปวางไว้ในศาลบรรพบุรุษของหมู่บ้านโซว่หวาง?”“น้องหญิง ขอข้าดูก่อน”ซูจิ่งสิงไม่อยากให้หีบใบนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ จึงเอื้อมมือไปเปิดหีบออกโชคดีสิ่งที่อยู่ข้างในไม่ใช่เถ้ากระดูก แต่เป็นเสื้อผ้าเก่า ๆ ตัวหนึ่ง“ระวังจะมีพิษ”กู้หว่านเยว่ยื่นถุงมือให้คู่หนึ่ง ซูจิ่งสิงสวมถุงมืออย่างเชื่อฟัง แล้วหยิบเสื้อผ้าออกมา“มันเป็นเสื้อผ้าของผู้ชาย ดูเก่ามาก มีอายุพอสมควร”หีบสีเทานี้ชัดเจนว่าเป็นหีบบรรจุเถ้ากระดูก แต่ข้างในกลับเป็นเสื้อผ้าตัวหนึ่ง”เป็นไปได้สูงมากที่เสื้อผ้าตัวนี้จะเป็นของใครบางคนที่มีความสำคัญกับหญิงลึกลับเนื่องจากไม่มีเถ้ากระดูกของอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงเก็บเสื้อผ้าตัวนี้ไว้ระลึกถึงกู้หว่านเยว่คาดเดาว่า “หญิ
เรื่องนี้เดิมทีไม่เกี่ยวข้องกับสกุลกงซุน นี่คือคำสั่งของฮ่องเต้ แรกเริ่มที่ยกทัพไปปราบหนานหลีอ๋อง พวกเขาสกุลกงซุนเพียงแค่จัดหาม้าศึกให้เท่านั้น“อย่างที่ท่านพูด หรือว่าจะเป็นคนของหนานหลีอ๋อง ที่กำลังแก้แค้นให้เขางั้นหรือ?”จะมีเสื้อผ้าที่พอดีตัวขนาดนี้ได้ ต้องเป็นคนใกล้ชิดกับหนานหลีอ๋องแน่ “หรือว่าจะเป็นชายาหนานหลีอ๋อง?”กงซุนหงส่ายหัว พูดอย่างยิ้มแย้ม “ท่านไม่รู้อะไรเลย หนานหลีอ๋องไม่เคยเสกสมรส ไม่เคยมีชายา ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้ก็จิตใจโหดร้าย ตอนนั้นนอกจากฮองเฮาแล้ว ผู้คนในจวนหนานหลีอ๋องล้วนตายกันหมด”“พูดแบบนี้ หรือว่าจะเป็นฮองเฮา?”ฮองเฮาเป็นน้องสาวของหนานหลีอ๋อง การแก้แค้นให้หนานหลีอ๋อง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลซูจิ่งสิงเตือนความจำ “ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยหลายโรค หมอหลวงในวังต้องคอยตรวจดูอาการอยู่เสมอ”และหญิงลึกลับผู้นั้นสวมชุดสีขาว เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ไม่มีทางจะเป็นฮองเฮาไปได้เบาะแสขาดหายไปอีกแล้วสองสามีภรรยาขบคิดแทบตายก็หาคำตอบไม่ได้กู้หว่านเยว่จึงเก็บเสื้อผ้ากลับมา อันที่จริงของสิ่งนี้ก็อยู่ในมือของพวกเขาแล้ววันหลังยังมีเวลาเสมอที่จะได้เผชิญหน้ากับหญิงลึกล
เขายกถ้วยยาเข้ามา “เจ้าไม่จำเป็นต้องมาดูแลด้วยตัวเองจริง ๆ ข้าจัดการเองก็ได้”“ท่านช่วยข้าไว้” แก้มของกงซุนซวงแดงระเรื่อสองตาที่มองชายผู้นั้นเป็นประกายน้ำตา “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านล่อคนเหล่านั้นไป ข้าก็ไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในทางลับได้”เจียงหลินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรทำแล้ว ข้ารับปากกับผู้อาวุโสโซว่หวางเอาไว้ ว่าจะปกป้องลูกสาวของเขาเป็นอย่างดี”“ใต้เท้าเจียง ท่านให้ข้าได้ดูแลท่านบ้างเถอะ”ไม่ยากเลยที่จะมองออกว่า ดวงตาของกงซุนซวงเต็มไปด้วยความชื่นชมน่าเสียดายที่เจียงหลินไม่มีอารมณ์จะพูดจาในตอนนี้ นอนอยู่บนเตียงบ่ายเบี่ยงว่าไม่สบายเนื้อตัว แล้วไล่กงซุนซวงออกไปกงซุนซวงถอนหายใจ กังวลว่าหากฝืนอยู่ที่นี่ต่อ จะทำให้เจียงหลินรู้สึกรังเกียจ จึงเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์“น้องหญิงห้า เจ้าบอกข้าทีว่า ตอนนี้หมู่บ้านต้องการการบูรณะใหม่ ทำไมเจ้าถึงเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่ผู้ชาย?”กงซุนหงเข้มงวดเพื่อหวังให้ดีขึ้นน้องหญิงห้าเป็นคนฉลาดเรื่องความรัก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานางเห็นอีกฝ่ายออกมาจากห้องของเจียงหลินไม่ใช่แค่ครั้งเดียว“เขาคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของข้า ข้าแค่
เมิ่งเหยียนมีความคับข้องในใจอยู่แล้ว แล้วจะทนกับการเย้ยหยันเช่นนี้ได้อย่างไร?ไม่พูดอะไรสักคำก็ร้องไห้วิ่งออกมา สุดท้ายก็พบกับกู้หว่านเยว่เข้าพอดี“แทนที่เจ้าจะร้องไห้อยู่ในนี้ สู้ไปอธิบายให้เขาเข้าใจดีกว่า”ลั่วหยางนั่งอยู่ในห้องคัดแยกสมุนไพร ชำเลืองมองเมิ่งเหยียนอย่างจนปัญญา“ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่รู้ตัวตนของเจ้าเช่นกัน พูดไปไม่กี่คำ เจ้าก็เจ็บปวดเจียนตาย”ลั่วหยางพูดอย่างจนปัญญา“สู้บอกเขาไปตรง ๆ ว่าเจ้าเป็นใคร ต่อให้ต้องตายก็ตายอย่างเข้าใจ”สองวันมานี้เมิ่งเหยียนร้องไห้สะอึกสะอื้นมาโดยตลอด ลั่วหยางรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว“ข้า ข้าก็อยากจะพูดเหมือนกัน แต่เขาเกลียดข้า”เมิ่งเหยียนเช็ดน้ำตานางย่อมต้องการบอกความจริงออกไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรที่มาเขตซีเป่ยในคราวนี้ ก็เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นแต่ไม่นึกว่า พี่ชายลูกพี่ลูกน้องโกรธมากกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก ในคำพูดเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเย้ยหยันที่มีต่อนางแล้วเมิ่งเหยียนจะพูดออกมาได้อย่างไรไม่พูดออกมา อย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังสามารถได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายยังสามารถฉวยโอกาสจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บของอีกฝ่
ทันใดนั้นแววตาของกู้หว่านเยว่ก็เป็นประกาย ความจริงแล้วมีความคิดนี้มานานแล้ว แต่กลับได้พูดออกมาอย่างระมัดระวังเป็นครั้งแรก“ข้าคิดว่า เป็นไปได้”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว นอกจากหนานหยางอ๋องและหมู่บ้านโซว่หวางแล้ว ยังมีเว่ยเฉิงและสกุลอวิ๋นที่ตอนนี้ล้วนภักดีต่อพวกเขา“หากมู่หรงอวี้ตาย ฮ่องเต้ชั่วต้องได้รับข่าวแน่นอน”เมื่อกล่าวถึงมู่หรงอวี้ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกปรารถนาเหลือเกินนางรู้ว่ามู่หรงอวี้ยังมีคลังส่วนตัวจำนวนหนึ่งอยู่ในมือเขาทันทีที่มู่หรงอวี้ตาย คลังส่วนตัวเหล่านั้นก็ไม่มีเจ้าของ ต้องหาวิธียึดคลังส่วนตัวเหล่านั้น“พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ในคืนฝนตก บ่าวรับใช้ที่กู้หว่านเยว่ทิ้งไว้ในป่ารกร้างทยอยลุกขึ้นทีละคน“ดูสิ เหมือนพวกคุณหนูจะกลับบ้านไปแล้ว”หนึ่งในนั้นชี้ไปที่ธงประจำสกุลกงซุนด้วยความตื่นเต้น“ดีจังเลย พวกเรารีบกลับไปเถอะ”บ่าวรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นคนรับใช้ของสกุลกงซุนมาหลายชั่วอายุคน ผูกพันกับสกุลกงซุนมาเป็นเวลานาน ตอนนี้รู้สึกยินดีจากใจจริงแต่ละคนต่างประคับประคองซึ่งกันและกัน รีบกลับไปที่หมู่บ้านโซว่หวาง“คุณหนูใหญ่ แล้วผู้อาวุโสโซว่หวางล่ะ?” พ่อบ้านผมหงอกขาว
สุดท้ายก็ประกาศว่า ต่อไปกู้หว่านเยว่จะเป็นนายหญิงตัวจริงของหมู่บ้านโซว่หวางแม้ว่าทุกคนจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านถึงอย่างไร ในเวลานี้สกุลกงซุนก็เห็นด้วยแล้ว พวกเขามีคุณสมบัติอะไรที่จะคัดค้าน?หลังจากประกาศข่าวนี้ออกไป กงซุนหงก็ได้มอบป้ายคำสั่งหัวหน้าสกุลให้กู้หว่านเยว่อย่างเป็นทางการ“แผนภาพการป้องกันหมู่บ้านโซว่หวาง หนังสือราชการ คดีความ และสมุดบัญชีในหลายปีที่ผ่านมาของเขตซีเป่ย ส่งมาให้ข้าทั้งหมด”ในเมื่อกู้หว่านเยว่จะมารับช่วงดูแลต่อในเขตซีเป่ย ก็ย่อมไม่เกรงใจพวกเขาเป็นธรรมดาอะไรควรถือไว้อยู่ในมือ นางต้องรู้ดีอยู่แล้ว“ขอรับ ฮูหยิน” ตอนนี้คนของสกุลกงซุนกำลังพากันเรียกกู้หว่านเยว่ว่าฮูหยิน“พลังของหมู่บ้านโซว่หวางจวงได้รับความเสียหายอย่างหนัก มอบหมายให้เว่ยเฉิงจัดการแล้วกัน”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย มองเว่ยเฉิงที่อยู่ด้านล่าง วิธีบูรณะของอีกฝ่าย นางไว้ใจได้“ข้าน้อยจะจัดการให้เป็นอย่างดีแน่นอน”เว่ยเฉิงรีบคุกเข่าลงพร้อมกับเอ่ยขึ้น“อยู่ในนี้ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนี้หรอก” กู้หว่านเยว่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนางรินชาถ้วยหนึ่งให้เว่ยเฉิง ส่งให้เขาเองกับมือ “พวกเราคือเพื
ทว่าเขาอยากหาโอกาสอยู่ตลอด พูดความในใจของตนต่อผู้อาวุโสโซ่วหวางให้ชัดเจนคิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ผู้อาวุโสโซ่วหวางก็ตายไปแล้วถ้อยคำของอีกฝ่าย ถึงขั้นกลายเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายไปเสียได้“เมื่อแรกท่านพ่อมิใช่พูดว่า ยกข้าให้ท่านหรือ?” กงซุนซวงเอ่ยปากหน้าแดงเรื่อ“ตอนนั้นข้ามิได้ตอบท่านพ่อ บัดนี้ท่านพ่อจากไปแล้ว ข้าอยากทำให้ผู้ชราเขาสมปรารถนา”ดวงตานางทอประกายระยับขณะผินมองเจียงหลิน“ข้ายินดีแต่งกับท่าน”“พวกเจ้าหมั้นหมายกันแล้วรึ?” เมิ่งเหยียนสั่นเบาๆ มองทั้งคู่อย่างเหลือจะเชื่อวันนี้นางมา ก็เพราะอยากพูดกับเจียงหลินให้เข้าใจคิดไม่ถึงยังไม่ทันเอ่ยปากพูดให้ชัดเจน ก็ได้รับข่าวชวนตกตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้หากว่าพวกเขาทั้งสองหมั้นหมายกันจริง เช่นนั้นนางยังสอดเข้าไป ยังมิใช่กลายเป็นมือที่สามอีกหรือ?“หมั้นหมาย?”กงซุนซวงเอ่ยปากหน้าแดงเรื่อ “ยังไม่นับว่าใช่ ตอนนั้นท่านพ่อข้าเพียงเอ่ยออกมาเท่านั้น แต่ข้ายินดีอยู่ภายในใจ ก็ไม่รู้พี่ใหญ่เจียงคิดเห็นเช่นไร ตอนท่านพ่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ พี่ใหญ่เจียงเองก็ไม่ปฏิเสธ”สายตานางมองเจียงหลินอย่างหลงใหล “ดังนั้นวันนี้ข้าถึงอยากถามพี่ให
“ขออภัยคุณหนูห้า ข้าไม่สามารถรับปากเรื่องแต่งงานกับเจ้าได้”กงซุนซวงอาศัยอาการมึนงงเมื่อครู่ของเจียงหลิน ยังคิดว่าทำสำเร็จแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่า อีกฝ่ายดึงสติกลับมาได้แล้วก็เปลี่ยนคำพูดทันใดนั้นหัวใจนางแตกสลาย พูดอย่างโศกเศร้า“เพราะเหตุใด? หรือท่านไม่ชอบข้า? ก่อนนี้มิใช่ท่านพ่อเห็นว่าพวกเราอยู่ด้วยกันแล้วเหมาะสมดีหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็เชื่อฟังคำพูดของท่านพ่อมากมาโดยตลอด ท่านเคยพูดว่าจะดูแลข้าดีๆ แทนท่านพ่อนี่”ขณะพูดกงซุนซวงไม่ใส่ใจต่อสิ่งใดอีกเจียงหลินปวดใจอยู่บ้าง“ขออภัยคุณหนูห้า ทำให้เจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว ผู้อาวุโสโซ่วหวางชื่นชมข้า ข้าย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจจริง เมื่อแรกมาที่ซีเป่ย หากมิใช่เพราะเขาชี้แนะ ข้าก็ไม่สามารถเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวมาโดยตลอด”เขาถอนหายใจมองทางกงซุนซวง“ข้ารับปากผู้อาวุโสโซ่วหวางจะดูแลเจ้าดีๆ ก็คือพี่ชายดูแลน้องสาว ข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์”เจียงหลินพูดอย่างชัดเจน “น้องหญิงห้าเหมาะสมกับคนดี”เขาก้มหน้า ใบหน้าเผยความเจ็บปวด“เจียงหลิน ภายในใจมีคนอื่นตั้งนานแล้ว”“ท่านกำลังพูดถึงอดีตคู่หมั้นคนนั้นกระมัง? แต่นางม
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้