คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร ทุกคนยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจก็พบว่าปรมาจารย์แพทย์กำลังมองเทียนอวี๋ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย ส่วนเทียนอวี๋ก็รู้สึกหวาดหวั่นเป็นระยะ ๆ กู้หว่านเยว่นึกขึ้นมาได้ทันทีว่ากงซุนหงเคยบอกว่า เดิมทีฮ่องเต้ไม่รู้จักหนานหลีม่านมีคนนำภาพวาดของหนานหลีม่านไปให้ฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น“ภาพวาดของหนานหลีม่าน เจ้าเป็นคนเอาไปให้ฮ่องเต้หรือ?!”กู้หว่านเยว่เกิดความคิดขึ้นมา จ้องมองไปยังเทียนอวี๋ เทียนอวี๋สายตาหลุกหลิก ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดนี้ดูเหมือนว่านางจะเดาไม่ผิด ภาพวาดนั้นเป็นฝีมือของเทียนอวี๋จริง ๆ ที่นำไปมอบให้ฮ่องเต้“เพื่อที่จะแยกหนานหลีอ๋องและหนานหลีม่านผลสุดท้าย กลับทำให้คนที่เจ้ารักต้องตาย”เวลานี้ กู้หว่านเยว่ได้รู้ความจริงทั้งหมดของเรื่องราวแล้ว “ความอวดฉลาดของเจ้า เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด”“ไม่ ไม่ ไม่ใช่! ข้าแค่อยากให้หนานหลีม่านไปจากท่านอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสายตาของท่านอ๋องก็จะไม่มองเห็นนางเพียงคนเดียว” เทียนอวี๋ส่ายหน้าสีหน้าของนางราวกับว่าคนทั้งโลกไม่เข้าใจนาง “ข้าไม่ได้อยากทำร้ายใคร แค่อยากได้รับความรักจากท่า
“ไม่ ไม่!”เทียนอวี๋ตัวสั่น ทันใดนั้นก็กระอักเลือดสีดำออกมา“ไม่ ข้าไม่ได้...”ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ตั้งแต่วินาทีที่นำภาพวาดนั้นออกมา นางก็ไม่มีทางถอยกลับแล้ว หลังจากที่หนานหลีอ๋องเสียชีวิต สิ่งที่นางทำมาตลอดหลายปีนี้ ก็แค่หลอกตัวเองเท่านั้น จนถึงตอนนี้ นางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่รักเขาข้างเดียวเท่านั้นหวงเหล่าหันไปมองกู้หว่านเยว่ “แม่นางกู้ ข้าขอร้องเจ้าสักเรื่องได้หรือไม่”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเทียนอวี๋ พอจะเดาได้ว่าเขาต้องการขออะไร“ชีวิตของเทียนอวี๋ เหลือน้อยเต็มทีแล้ว”นางเลี้ยงหนอนกู่ ฝึกฝนคาถาหุ่นเชิด สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลสะท้อนกลับ“ข้าเลี้ยงดูนางมา อยากพานางกลับไปที่เขาไท่ไป๋”หวงเหล่าเคยสัญญากับแม่ของนางว่า จะเลี้ยงดูเทียนอวี๋เป็นอย่างดีคงเป็นเพราะนางเหมือนมารดาของนางมากเกินไป ทั้งสองล้วนเป็นคนที่มีนิสัยคลั่งไคล้ผู้ชายกู้หว่านเยว่เหลือบมองเทียนอวี๋แวบหนึ่ง ในเมื่อเรื่องกาฬโรคไม่ใช่ฝีมือของเทียนอวี๋ และเทียนอวี๋ก็ใกล้เสียชีวิตแล้ว เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าให้สิ้นซากมิสู้ทำตามสถานการณ์ สร้างไมตรีกับหวงเหล่าดีกว่า“ตกลง ข้ารับปากท่าน”หากไม่ให้หวง
หร่านถิงตัวสั่นทันที “มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด คุยกันดี ๆ ปีนี้ข้าเพิ่งอายุยี่สิบ ยังไม่ได้แต่งภรรยา ไม่อยากตายก่อนวัยอันควร”“ไม่อยากตายก่อนวัยอันควร แต่ก็ทำตัวน่าตายก่อนวัยอันควร?”“...จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด ท่านแม่ที่ป่วย ท่านพ่อติดการพนัน แล้วยังมีน้องชายที่กำลังเรียนหนังสือ”“หยุด!” กู้หว่านเยว่โยนพิณไปตรงหน้าเขา“เล่นให้ข้าฟังสักเพลง”หร่านถิงหยิบพิณขึ้นมาอย่างว่าง่าย การเล่นพิณเป็นงานถนัดของเขา เสียงพิณที่ไพเราะอ่อนหวานดังขึ้นมาอย่างไหลลื่นจากปลายนิ้วของเขากู้หว่านเยว่ตั้งใจฟัง พบว่าเหมือนกับคืนนั้น เสียงพิณของหร่านถิงมีเสน่ห์ดึงดูดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้วิเศษขนาดนั้น เพราะตอนนี้เป็นเวลากลางวันนางยกมือขึ้น “เจ้าชื่ออะไร?”“หร่านถิงขอรับ” เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว หร่านถิงรีบเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยชื่อหร่านถิงจริง ๆ แต่ไม่ใช่พ่อค้าจากทางใต้ ข้าน้อยเป็นนักดนตรีที่หอคณิกา”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายพูดความจริง นางก็จะไม่ทำให้ลำบากใจ“เถาเอ๋อร์ให้เจ้ามาทำอะไร”“ยั่วยวนท่าน” หร่านถิงส่งสายตาเจ้าชู้ “แต่พอได้เห็นท่านแวบแรก ข้าก็ตกหลุมรักท่านอย่างหมดหัวใจ”“พูดภาษา
หงเจายื่นน้ำเต้าหู้ให้กู้หว่านเยว่ พลางกัดเขี้ยวเล็ก ๆ “ลากเขาออกไปให้หมากิน”“เหตุใดเจ้าถึงเกลียดเขามากขนาดนั้น?” ปกติแล้วสาวน้อยผู้นี้เป็นคนอ่อนโยนหงเจาหน้าแดง “บ่าวแค่เกลียดผู้ชายเลว หลอกลวงความรู้สึก สมควรโดนหั่นเป็นชิ้น ๆ ”คืนนั้นนางก็ได้ยินเสียงพิณเช่นกัน ไพเราะมาก แต่น่าเสียดายที่เป็นของคนหลอกลวง! ซวยชะมัด!หร่านถิงยิ่งรู้สึกผิด กู้หว่านเยว่หมุนแก้วในมือ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม“เสียงพิณของเจ้า ไม่ได้ผลกับข้าแต่ได้ผลกับคนอื่น”หร่านถิงตาเป็นประกาย “ขอรับคำสั่งจากฮูหยิน”“เป็นคนฉลาด”กู้หว่านเยว่พอใจกับความเข้าใจของหร่านถิงมาก ช่วยให้นางไม่ต้องเปลืองน้ำลาย“ไม่ต้องรีบ สองวันนี้เจ้าอยู่ข้าง ๆ ข้าก่อน”“ฮูหยินวางใจ” หร่านถิงลังเลครู่หนึ่ง ดูเหมือนมีเรื่องจะพูด“ข้าอยากขอร้องฮูหยิน...”“ฮูหยิน หวงเหล่ามาแล้วขอรับ”เมื่อได้ยินฉู่เฟิงเข้ามารายงาน บอกว่าหวงเหล่าพาเทียนอวี๋มาลา กู้หว่านเยว่จึงรีบออกไปต้อนรับ หร่านถิงจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ“ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี”ซูจิ่งสิงเหลือบมองหร่านถิงด้วยสายตาเย็นชา สายตาที่เต็มไปด้วยคำเตือนนั้น ทำให้หร่านถิงตัวสั่นเทา“น้องหญิ
หวงเหล่าครุ่นคิดพลางมองดูท้องฟ้า “ได้เวลาแล้ว ข้าพาเทียนอวี๋ไปก่อน”กู้หว่านเยว่รีบไปส่งหวงเหล่าที่หน้าประตู เมื่อเข้าใกล้รถม้า ก็ได้ยินเสียงพึมพำของเทียนอวี๋ดังมาจากข้างใน“ทำไม ทำไมกัน? ข้ารักท่านมากกว่าหนานหลีม่าน ข้าเป็นคนที่รักท่านที่สุดในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงมองไม่เห็นข้าหนานหลีม่านที่ท่านพยายามปกป้องอย่างสุดกำลัง กลับไปซบอกศัตรูหลังจากท่านตายนางไม่คู่ควร นางไม่คู่ควร...ท่านพี่ ท่านพี่...”“เทียนอวี๋แก้แค้นมาตลอด แต่เหตุใดถึงไม่ลงมือกับหนานหลีม่าน?”ชิงเหลียนในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าตอนนี้หนานหลีม่านจะเป็นฮองเฮาแล้วแต่ด้วยความสามารถของเทียนอวี๋ หากอยากจะลงมือกับนาง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก“เขารักใครนางก็รักด้วย”กู้หว่านเยว่ละสายตา เพราะหนานหลีอ๋องรักหนานหลีม่านมากเกินไป ดังนั้นแม้เทียนอวี๋จะเกลียดชังมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถลงมือกับหนานหลีม่านได้”“ฮูหยิน ท่านว่าหนานหลีม่านเป็นผู้หญิงที่หลงใหลในลาภยศสรรเสริญจริงหรือ? หนานหลีอ๋องรักนางมากเช่นนั้น นางกลับไปเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ นางไม่รู้สึกผิดต่อหนานหลีอ๋องเลยหรือ?”หลังจากที่ชิงเหลียนได้ฟังเรื่องราวความรักความแค้นระหว่
“ไม่เลว ๆ ”ปรมาจารย์แพทย์เห็นว่ากู้หว่านเยว่อายุก็ยังไม่มาก ไม่เพียงแต่มีฝีมือทางการแพทย์ ยังเชี่ยวชาญด้านพิษอีกด้วย“ให้ทำงานแบบนี้ ข้าไม่มีแรงจูงใจหรอก ให้ห้องครัวเอาของอร่อย ๆ มาเพิ่มหน่อย”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางกำชับหงเจาหนึ่งประโยค ให้นางไปบอกพ่อแม่ของเฉียวโต้วว่า ให้ทำกับแกล้มมาส่งที่เรือนนี้เพิ่มอีกหนึ่งที่กู้หว่านเยว่รู้สึกยินดีมากที่ได้ให้ที่พักพิงแก่ครอบครัวนั้น ทั้งสามคนเป็นคนที่ไม่สร้างความหนักใจ เฉียวโต้วแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ไม่ได้กินอยู่ฟรี ๆ ช่วยพ่อแม่ส่งผักไปตามเรือนต่าง ๆ ทุกวันพ่อแม่ของเฉียวโต้วคนหนึ่งรับหน้าที่ซื้อผัก ส่วนอีกคนเป็นคนทำอาหาร จัดการเรื่องอาหารการกินของจวนกู้ได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยให้กู้หว่านเยว่ประหยัดเวลาได้มาก“แหะ ๆ กับแกล้ม เจ้าเด็กบ้า เจ้าเข้าใจข้าดีจริง ๆ ”ปรมาจารย์แพทย์ดีใจอย่างยิ่ง ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานจากข้างนอก ในที่สุดฟู่หลานเหิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก“หว่านเยว่ เรื่องโรคระบาดไม่ได้ลุกลามไปที่อื่นใช่หรือไม่?หร่านเหยียนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง จับตัวพวกพ้องของนางได้หรือยัง?”ปรมาจารย์แพทย์แบะปาก “เจ้าเด็กนี่อยู่เฉยไม่เ
เมื่อเห็นซูจิ่งสิงสีหน้าเหนื่อยล้า กู้หว่านเยว่ใช้นิ้วเรียวยาวนวดขมับให้เขาเบา ๆ “ข้าจะนวดให้ท่านเอง”“ขอบคุณ”ซูจิ่งสิงจับมืออันนุ่มนวลของกู้หว่านเยว่เอาไว้ แล้วอธิบายว่า “ข้ากำลังจัดการกับทหารใต้บังคับบัญชาของหนานหยางอ๋อง”กู้หว่านเยว่หยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาดู “ท่านวางแผนจะส่งพวกเขาไปที่ไหน?”“ให้ประจำการอยู่แถบแม่น้ำมู่ตัน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า หนานหยางอ๋องเข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าต้องจัดการกับคนสนิทของเขาให้ดีทั้งสองคนตกลงกันปิดบังเรื่องการตายของฟู่เยียนหรานถึงแม้ฟู่เยียนหรานจะชั่วร้ายอย่างยิ่ง แถมยังแทงข้างหลังหนานหยางอ๋อง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของหนานหยางอ๋องสายเลือดตัดไม่ขาด ต่อให้หนานหยางอ๋องรู้ ก็มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจ ไม่รู้ยังจะดีเสียกว่า“ศพของเยียนหรานเล่า?”“เผาไปแล้ว” ดวงตาของซูจิ่งสิงฉายแววเย็นชาไร้เยื่อใย เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ครุ่นคิด เขาก็ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย“จริงสิ ข้าได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากผู้เฒ่าโจว ข้างในมีจดหมายที่ซ่งเสวี่ยเขียนถึงเจ้าด้วย”“รีบเอามาให้ข้าดูหน่อย”เมื่อได้ยินชื่อของซ่งเสวี่ย ดวงตาของกู้หว่านเยว่ก็เป็นประก
“ห้ามบอกว่าข้าอยู่ในจวนเด็ดขาด บอกว่าไม่รู้จักข้า”ปรมาจารย์แพทย์หงุดหงิดมาก เหมือนตาแก่ขี้บ่นที่น่าสงสาร เขาก็แค่รักษาคนไข้ ช่วยชีวิตผู้คน ไปทำให้ใครไม่พอใจกัน“ครอบครัวนี้ช่างตามตื๊อไม่เลิก ข้าหนีมาถึงที่นี่แล้ว ยังไม่ยอมปล่อยข้าไปอีก”เดิมทีปรมาจารย์แพทย์คิดว่าเมื่อเขาย้ายออกจากเรือนหลังเล็กที่เคยอยู่ ครอบครัวนั้นคงคิดว่าเขาจากไปแล้ว คงจะเลิกรา ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เหอะ ๆ “ไปเร็ว ๆ เข้า อย่าบอกว่ารู้จักข้า”ชิงเหลียนมองไปยังกู้หว่านเยว่ เห็นว่าฮูหยินพยักหน้า จึงรีบออกไป“เป็นครอบครัวของหญิงชราที่ท่านผ่าตัดลำไส้ให้ครั้งก่อนหรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตา นึกถึงเรื่องที่ปรมาจารย์แพทย์เคยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนั้นพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวนั้นจะบุกมาถึงจวนกู้“ใช่พวกนั้นแหละ พวกเขาตามตื๊อข้าไม่เลิก”ปรมาจารย์แพทย์เกาหัว อยากจะวางยาพิษพวกนั้นให้ตายไปซะทั้งหมด“ก่อนที่ข้าจะรักษาก็บอกแล้วว่า ลำไส้ส่วนนั้นเก็บไว้ไม่ได้ ต้องตัดออก พวกเขาก็ตกลงอย่างดี พอผ่าตัดเสร็จ กลับไม่ยอมรับปรมาจารย์แพทย์ผู้นี้ มีชีวิตอยู่มานานหลายปี ยังไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเลยคนที่รู้จักเขารู้ดีว่าเขานิสัยไ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้