อวิ๋นมู่กลัวว่านางจะคิดว่าแพงมาก แล้วจะไม่รับไว้หลี่ชิวเตี๋ยเดินเข้ามา เห็นแก้วในมือของกู้หว่านเยว่ก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่แก้วไม่ใช่หรือ ครั้งก่อนข้าอยากจะซื้อจากชาวต่างชาติ พอถามราคา ปรากฏว่าแพงกว่าทองเสียอีก ข้าตกใจจนต้องรีบเผ่น”“แพงขนาดนั้นเชียว?!”กู้หว่านเยว่ใจเต้นเล็กน้อย หรือว่านางจะสามารถทำแก้วออกมาขายได้“หว่านเยว่ นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอก”อวิ๋นมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่ไม่บอกก็เพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธ แต่ไม่นึกเลยว่านางจะรู้เข้าจนได้“แก้วนี้ คุณชายอวิ๋นมอบให้กับเถ้าแก่เนี้ยหรือ?”หลี่ชิวเตี๋ยรู้สึกเจ็บแปลบในใจ คุณชายอวิ๋นใจกว้างจริง ๆ นางรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย“อวิ๋นมู่ ของสิ่งนี้แพงเกินไปแล้ว”หลังจากที่กู้หว่านเยว่รู้ราคาของแก้วใบนั้น ก็ไม่ค่อยอยากจะรับไว้ แต่เมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดของอวิ๋นมู่ นางจึงเปลี่ยนใจ“ข้าหมายความว่าวันหลังข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทน ส่วนของขวัญข้าขอรับไว้ก่อน”“อืม”อวิ๋นมู่ยิ้มจนตาหยี ดีใจเหมือนเด็ก ๆ ซูจิ่งสิงฉวยโอกาสกล่าวขึ้น “ข้าจะเป็นคนเลี้ยงข้าวเจ้าเอง เพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้ามอบของขว
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าของที่ไม่ควรซื้อก็อย่าไปซื้อ เจ้าช่วยประหยัดเพื่อครอบครัวนี้บ้างได้หรือไม่?”กู้อู่เต๋อยืนตะโกนอยู่ในลานบ้าน ทำเอาอนุน้อยอวี๋ตัวสั่นเทานางรู้สึกน้อยใจ “นายท่าน ข้าแค่อยากจะซื้อเสื้อผ้าสักสองชุด เพื่อไปเข้าร่วมงานชมดอกไม้”“เข้าร่วมงานอะไรกัน ซื้อเสื้อผ้าไม่ต้องใช้เงินหรือไร? ชุดที่เจ้าใส่อยู่นั่นก็สิบกว่าตำลึงแล้ว เก็บเงินไว้ก็พอเลี้ยงคนทั้งบ้านได้ตั้งเดือนหนึ่ง”กู้อู่เต๋อนั่งลงด้วยความโมโห ตั้งแต่บ้านถูกขโมย อย่าว่าแต่เสื้อผ้าเลย แม้แต่รองเท้าสักคู่เขาก็ไม่กล้าซื้อ ชุดขุนนางที่ใส่ขึ้นราชสำนักก็มีรูขาดหลายรูแล้วแต่เขาจะทำอย่างไรได้?คลังสมบัติถูกขโมยโฉนดที่ดินและเงินทั้งหมดก็ถูกขโมยไปแม้กระทั่งเสบียงในครัว กระดาษชำระในห้องน้ำ ก็ถูกขโมยไปจนหมดเกลี้ยงเวลานี้ คนทั้งบ้านต้องอาศัยเงินเดือนของเขาเลี้ยงชีพ บ่าวไพร่ในจวนถูกไล่ออกไปเกือบหมดแล้วกลับไปจนอีกครั้ง!“โจรชั่วช้า ฟ้าดินลงโทษ ถ้าข้าจับมันได้ ข้าจะไม่ปล่อยมันไปแน่”กู้อู่เต๋อสีหน้าเหนื่อยล้า“งานเลี้ยง เจ้าไม่ต้องไปแล้ว เสื้อผ้าสองชุดนี้ เอาไปคืนเสีย”อนุน้อยอวี๋ขอบตาแดงก่ำ “นายท่าน ท่านเคยบอกว
เมื่อเขาได้ยินเสียง จึงเงยหน้าขึ้นมอง ทำเอาหญิงสาวที่หลงใหลพากันกรีดร้อง“หล่อมาก ๆ นี่คุณชายบ้านไหนกัน หล่อเกินไปแล้ว”กู้หว่านเยว่กระตุกมุมปาก “ชีวิตในเมืองอวี้สุขสบายขึ้น ทุกคนก็ว่างงานกันแล้ว”มีเวลามามองชายหนุ่มรูปงามชิงเหลียนเฝ้าอยู่หน้าประตู เห็นหญิงสาวพวกนั้นพากันชมอวิ๋นมู่ และอวิ๋นมู่ก็เป็นคนขี้อาย หน้าแดงไปหมดแล้ว นางจึงปิดประตูเบา ๆ “ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหญิงสาวเหล่านี้คลั่งไคล้เกินไป เขาไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรจริง ๆ “ไม่เป็นไร”ชิงเหลียนตอบรับเบา ๆ รู้สึกดีใจเล็กน้อย แค่ได้คุยกับคุณชายอวิ๋นสักประโยค นางก็มีความสุขแล้ว“กุ้งเมามาแล้ว กุ้งเมามาแล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์ยกกุ้งเมาขึ้นมาชั้นบนอย่างมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส“กุ้งเมานี่ข้าลองทำมาหลายรอบแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ลองชิมดูสิว่าใช่รสชาติในความทรงจำของท่านหรือไม่”ซูจิ่นเอ๋อร์วางกุ้งเมาไว้ตรงหน้ากู้หว่านเยว่ก่อนอืม ดูออกเลยว่าใครสำคัญที่สุดในครอบครัว“ได้กลิ่นหอมแล้ว”ซูจิ่นเอ๋อร์ลงมือทำอาหารเอง กู้หว่านเยว่ก็ต้องให้เกียรติ คีบกุ้งเมาตัวหนึ่งมาใส่ไว้ในจานเวลานี้ ฉู่เฟิงก็รีบเข้ามา แล้วกระซิบบ
สายตาที่ชั่วร้ายนั้น เห็นแล้วรู้สึกใจหายวาบ“ลุงใหญ่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ พวกข้าไม่ได้ล่วงเกินท่านเสียหน่อย”ซูจิ่นเอ๋อร์โกรธมากจริง ๆซูจิ่งสิงขี้เกียจจะพูดคุยไร้สาระกับเขา จึงให้ฉู่เฟิงค้นตัวเขาเสียเลย“นายท่าน พบผงหนึ่งซองในตัวเขา น่าจะเป็นยาพิษที่เขาใช้”ฉู่เฟิงส่งผงยาให้ซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่รับมาดม“ยาพิษกระเรียนแดง”ยาพิษที่มีความเป็นพิษสูงทุกคนคุ้นเคยกับพิษนี้ แค่ดื่มเพียงเล็กน้อย ก็สามารถตายได้ในทันที“ยาพิษกระเรียนแดง?” ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านอยากให้พวกข้าตายจริง ๆ จิตใจของท่านไม่ชั่วร้ายเกินไปหน่อยหรือ ถึงยังไงพวกเราก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน”ซูจิ่นเอ๋อร์ซักถามอย่างไม่อยากจะเชื่อยังคิดว่าเป็นพวกยาระบาย ผลปรากฏว่าเป็นยาพิษซ้ำยังเป็นยาพิษที่มีความเป็นพิษสูงอีกด้วยซูหัวหยางเกลียดพวกเขามากเลยหรือ? ซูจิ่นเอ๋อร์คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ“ครอบครัวเดียวกันหรือ? ข้าเคยคิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่พวกเจ้าเห็นย่าของพวกเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา พวกเจ้ากลับรู้สึกเฉย ๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันอีกต่อไปแล้ว”ซูหัวหยางมองพวกเขาอย่างเย็นชา ในขณะที่แววตาของซ
“บุคคลที่อยู่เบื้องหลังท่านคือใคร” กู้หว่านเยว่ซักถามอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยคนสกุลซูกลุ่มนี้ตามหลอกตามหลอนจริง ๆ“ข้าไม่รู้” ซูหัวหยางขบฟันแน่น ไม่ยอมพูด“ท่านจะไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นหรือตายก็ได้ แต่ลูกเมียของท่านก็ไม่สนใจด้วยเหมือนกันหรือ?”ซูจิ่งสิงโบกมือ ฉู่เฟิงจับกุมพวกเขาเข้ามาทันทีที่อยู่ของพวกเขาทั้งหลายอยู่ในมือขององครักษ์จันทรามาโดยตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าซูหัวหยางใช้ช่องโหว่เข้ามาสร้างความโกลาหลตั้งแต่เมื่อใด“ท่านพ่อ ท่านพี่!”นางจินและซูเช่อถูกจับเข้ามา ทั้งสองถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น น่าเวทนายิ่งนักซูเช่อเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ซูจิ่งสิง ท่านกำลังทำอะไรอยู่? ครอบครัวของเราถูกท่านทำร้ายจนน่าสมเพชพอแล้ว ทำไมท่านยังไม่ยอมปล่อยพวกเราไปอีก?”เมื่อก่อน เขาให้ความเคารพพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเขามากแต่ตั้งแต่ที่ถูกเนรเทศ ครอบครัวของพวกเขาก็น่าสมเพชลงเรื่อย ๆ แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่มแต่ครอบครัวของพี่ชายลูกพี่ลูกน้องกลับค่อย ๆ รุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ดี ๆ เช่นนั้น ภายในจิตใจของเขาเริ่มรู้สึกไม่สมดุลทั้ง ๆ ที่ซูจิ่งสิงทำให้พวกเขาต้องถูกเน
“ข้า...”ซูเช่อหดคอลง เขาเป็นคนอ่อนแอไร้ความสามารถมาโดยตลอด ไม่กล้าต่อต้านอำนาจของพ่อ“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ...ว่าจะไปศูนย์พักพิง เพื่อทำงานหาเลี้ยงตัวเองน่ะ?”ซูเช่อถามอย่างอ่อนแรง ทั้งเขาและนางจินได้งานทำกันหมดแล้วกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เห็นทีเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของซูหัวหยางเพียงคนเดียวซูเช่อและนางจินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย“ข้าเป็นถึงนายท่าน เจ้าจะให้ข้าไปใช้แรงงานขนอิฐหรือ?”ซูหัวหยางส่ายหัว “ที่ข้ามีวันนี้ทั้งหมดมันเป็นฝีมือของพวกเขา ข้าย่อมต้องการแก้แค้นพวกเขาเป็นธรรมดา”“ท่านพี่...”นางจินโขกหัวให้กู้หว่านเยว่ในทันใด“หว่านเยว่ จิ่งสิง เรื่องนี้เป็นฝีมือของเขาคนเดียว พวกข้าสองคนไม่รู้เรื่องด้วย ปล่อยข้ากับลูกชายไปเถอะ”“ท่านแม่?”ซูเช่อตกใจ ในความทรงจำ แม่เชื่อฟังคำพูดของพ่อเสมอเขาไม่คาดคิดว่าในช่วงเวลาที่สำคัญ มารดาจะพูดอะไรเช่นนี้ออกมาได้แต่ภายในใจของเขาก็เห็นด้วยถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดที่จะวางยาพิษเลยจริง ๆแม้ว่าในส่วนลึกของหัวใจจะมีความเคียดแค้นอยู่ก็ตามแต่ก็เพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ในอนาคตหากสามารถซื้อเรือนหลังเล็ก ๆ ในเมืองอวี
นางจินพยักหน้า “ได้สิ ได้สิ ถึงข้าจะไม่รู้จักลวดลายนั้น แต่ข้าจำได้ว่ามันมีลักษณะยังไง”กู้หว่านเยว่รีบเอ่ยขึ้น “ไปเอากระดาษกับพู่กันมา”ซูจิ่นเอ๋อร์สั่งให้คนไปเอากระดาษกับพู่กันที่ห้องบัญชีมา กระดาษกับพู่กันวางลงตรงหน้านางจิน นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็วาดลวดลายที่มีชีวิตชีวาราวกับของจริงลงไปแม้ว่าทักษะการวาดภาพของนางจะไม่ดีนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าลวดลายนั้นมีลักษณะอย่างไร“ลวดลายนั้นมีหน้าตาแบบนี้ เพราะมันพิเศษมาก ข้าไม่เคยเห็นจากรถม้าคันอื่นมาก่อน ข้าจึงตั้งใจดูอย่างถี่ถ้วน”นางจินยื่นกระดาษและพู่กันให้พวกเขา ซูจิ่งสิงรับลวดลายนั้นมาดู ก่อนจะส่งให้ฉู่เฟิง“ไปตรวจสอบดู”“ขอรับ”ฉู่เฟิงรีบนำลวดลายนั้นออกไปนางจินพูดต่อ “ข้าบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ให้เจ้าฟังหมดแล้ว ปล่อยข้ากับลูกชายไปทีได้ไหม เราสองคนไม่รู้เรื่องจริง ๆ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ข้าพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อพวกท่านสองคนไม่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน ประเดี๋ยวข้าจะปล่อยพวกท่านไป”“ขอบคุณ” นางจินถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางดึงซูเช่อออกไปข้า
“ทรมานเขา อย่าให้เขาตายง่าย ๆ”แววตาของซูจิ่งสิงมีประกายเย็นชาบาง ๆบังอาจวางยาพิษ ให้ตายไป มันก็ง่ายดายสำหรับเขาเกินไป“แขวนคอประหารชีวิต”หางตาของกู้หว่านเยว่กระตุกเบา ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสามีของตัวเองก็ดูโรคจิตเล็กน้อยเช่นกัน“ซูจิ่งสิง เจ้าไม่ตายดีแน่ ข้าขอสาปแช่งเจ้า ให้สูญสิ้นทายาท ลูกหลานตายอย่างอนาถ!”ซูหัวหยางถูกลากออกไป ปากก็ยังตะโกนลั่นเหมือนเดิม คำพูดร้ายกาจยั่วให้กู้หว่านเยว่คลั่ง“แขวนคอ ยังเบาไป!”กล้าสาปแช่งลูกชายของนาง รนหาที่ตายเสียแล้ว!“ท่านพ่อ...”ซูเช่อคุกเข่าลงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองดูซูหัวหยางถูกลากไปทั้งเป็นซูจิ่งสิงพูดอย่างเฉยเมย “หวังว่าในอนาคตพวกท่านจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง แน่นอน หากเจ้าคิดจะแก้แค้นให้พ่อของเจ้าก็ทำได้”นางจินรีบพูด “เราจะไม่มีวันทำเรื่องชั่วร้าย เราจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง หายตัวไปจากสายตาของพวกท่าน จะไม่มารบกวนพวกท่านอีก”ว่าแล้วก็ดึงซูเช่อออกไปซูเช่อเอ่ยด้วยความเจ็บปวด “พ่อของข้า สมควรได้รับการลงโทษแล้ว”ยาพิษกระเรียนแดง ทำเกินไปจริง ๆ“ต่อไปข้าจะไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนพวกท่านอีก”“จิ่งสิง พวกข้าไปได้แล้วใช่ไหม?” นา
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้