ที่นี่คืองานประมูล ไม่ใช่ห้องเตียงใหญ่เสียหน่อย!“ท่านพี่ ท่านว่าคนอยู่เบื้องหลังหญิงคนนี้เป็นใคร? ฮ่องเต้ทูเจวี๋ยหรือ?”ซูจิ่งสิงส่ายหน้า “เป็นเหยลวี่เจิง”“เหยลวี่เจิงเป็นใคร?”กู้หว่านเยว่สงสัยมากยิ่งขึ้นซูจิ่งสิงอธิบายเสียงเครียด “ปีนั้นคนที่ต่อสู้กับข้าในสนามรบ แม่ทัพของทูเจวี๋ย”เขาพูดเสียงค่อย “เหยลวี่เจิงอายุไล่เลี่ยกับข้า วิชายุทธ์ล้ำเลิศ จิตใจล้ำลึก ในมือของเขายังมีกลุ่มหนึ่งชื่อว่าหอร้อยบุปผา ภายในล้วนคือหญิงงามอันดับหนึ่ง อาศัยขายความงาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือได้รับรายงานข่าว”กู้หว่านเยว่กะพริบตา “หญิงเมื่อครู่คนนั้น ก็คือคนของหอร้อยบุปผาหรือ?”“ถูกต้อง”ซูจิ่งสิงอธิบาย “หญิงของหอร้อยบุปผาล้วนมีรอยสักรูปดอกโบตั๋นบนอก รอยตรานั้นเว้นเสียแต่เฉือนเนื้อออกก็ไม่สามารถล้างออกได้ เพราะเหตุนี้หากเข้าหอร้อยบุปผาแล้ว ก็จะมีรอยตราของหอร้อยบุปผาชั่วชีวิต อย่าคิดว่าจะหนีไปได้”จู่ๆ เขาก็มีท่าทางประหม่า อย่างไรเสียบริเวณนั้นก็ชวนเก้อกระดากอยู่บ้าง“บนหน้าอกของหญิงเมื่อครู่คนนั้นก็คือลายดอกโบตั๋น”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยนี้สองสามีภรรยาฟังผ่านคำพูด
อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาดู ยังไม่ต้องพูดถึงเงาคน แม้แต่หนูตัวเดียวก็ไม่พบ“ข้างนอกมียามเฝ้ามากถึงเพียงนี้ ไม่มีวันมีคนเข้ามาได้ ไปเถอะๆ อีกเดี๋ยวก็จะถึงการประมูลหมายเลขยี่สิบสามแล้ว พวกเรายกกล่องหมายเลขยี่สิบสามไปก่อน”ยามเฝ้าอีกคนพยักหน้าอย่างสงสัย แปลกยิ่งนัก เมื่อครู่เขาได้ยินเสียง หรือว่าตนเองหูฝาดไป?ตรวจดูสองรอบอย่างไม่วางใจ แต่หาคนไม่พบจริงๆเขารีบยกกล่องออกจากคลังสินค้าพร้อมกับอีกคนหนึ่งแล้วจากไปได้ยินเสียงลงสลักที่นอกประตูคลังสินค้าแล้ว กู้หว่านเยว่มิได้พาซูจิ่งสิงออกมาในทันที แต่อยู่ภายในมิติต่ออีกครู่หนึ่งกู้หว่านเยว่อาศัยโอกาสนี้โยนถ่านเข้าหอแห่งโอสถเพื่อทดสอบ ทำเสียจนซูจิ่งสิงแปลกใจมาก“น้องหญิง ตกลงถ่านนี้มีความพิเศษอะไรหรือ?”กู้หว่านเยว่หยิบรายงานผลการทดสอบ พูดอธิบาย “ภายในถ่านมีพิษ เพียงแต่พิษนี้ไร้สีไร้กลิ่น พบเห็นได้ยาก หลังถูกจุดแล้ว ยาพิษจะค่อยๆ กำจายภายในอากาศ หากคนสูดดมยาพิษนี้เข้าไป ก็จะถูกวางยาพิษยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พิษนี้กำเริบ คนทั่วไปก็สังเกตไม่เห็น มันจะค่อยๆ ทำให้เส้นประสาทของท่านเป็นอัมพาต ทำให้ท่านกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนภายในระยะเวลาสองสามเดือน”
“ต้องรวยแน่นอน หากข้าร่ำรวยเหมือนเขาแล้วล่ะก็ ชาตินี้ก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว”เนี่ยชิงหลานเผยสีหน้าอิจฉา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันเจ้าของตลาดมืดอินซานร่ำรวยถึงเพียงนี้ เชื่อว่าไม่ขาดแคลนเงิน ก็ไม่รู้ว่าทูเจวี๋ยใช้สิ่งใดถึงทำให้เขายอมร่วมมือทำร้ายพวกเขาดูท่าแล้ว คืนนี้จะต้องจับผู้ดูแลเฉียนมาสอบสวนดีๆ สักรอบ“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านกลับมาแล้ว”หางตาของซูจื่อชิง มองเห็นสองคนเดินเข้ามาจากภายนอก“อืม” ซูจิ่งสิงพยักหน้า พากู้หว่านเยว่มานั่งลง ปรมาจารย์แพทย์เอ่ยปากอย่างหวังดี“อีกเดี๋ยวหลังงานประมูลจบลง ข้าจะลองจับชีพจรให้เจ้าดู”ทีแรกซูจิ่งสิงยังตอบสนองไม่ทัน เหตุใดต้องจับชีพจรรอจนกระทั่งดึงสติกลับมาได้แล้ว สีหน้าดำทะมึน สายตาตำหนิทอดมองกู้หว่านเยว่“น้องหญิง”เขาเสียสละเพื่อครอบครัวมากถึงเพียงนี้ ถึงขั้นถูกคนสงสัยว่านกเขาไม่ขันมุมปากกู้หว่านเยว่กระตุกริก เมื่อครู่นางคิดเพียงต้องการแย่งอ๋องหกประมูล คิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนจะเข้าใจผิดไป“แค่กๆ ปรมาจารย์แพทย์ ท่านเข้าใจผิดไปแล้ว ร่างกายสามีไม่มีปัญหาอะไร”ปรมาจารย์แพทย์เผยสีหน้าเข้าใจ “วางใจเถอะ วางใจเถอะ ข้ามิได้พูดว่าร่
ใบหูแดงเรื่อ ทันใดนั้นถึงขั้นไม่รู้ว่าสมควรเข้าไปหรือไม่ซ่งเสวี่ยเองก็ตกตะลึง ดึงสติกลับมาได้อย่างว่องไว เห็นท่าทางยืนลังเลอยู่หน้าประตูของอีกฝ่าย เอ่ยเตือนว่า“คุณชายโจวรีบเข้ามาเถอะ อย่ายืนหน้าประตูรถม้าเลย”โจวเซิงนี่ถึงดึงสติกลับมาได้ บัดนี้ยามเผชิญหน้ากับซ่งเสวี่ย ถึงขั้นเกิดความคิดวู่วามอยากหนีไปทำนองนั้นแต่เขาขึ้นรถม้ามาแล้ว ลงไปตอนนี้ กลับคล้ายยิ่งปกปิดก็ยิ่งเปิดเผยออกมานี่ถึงกัดฟันเดินเข้ารถม้า กลับไม่กล้านั่งข้างกายซ่งเสวี่ย พยายามนั่งที่มุมหนึ่งซ่งเสวี่ยนึกถึงเรื่องในวันนั้น เดิมทียังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับโจวเซิงเยี่ยงไร เพราะนางไม่แน่ใจว่าโจวเซิงได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นไปแล้วหรือไม่ขณะเดียวกันโจวเซิงหดตัวที่มุมหนึ่ง ท่าทางคล้ายกลัวทำให้คนอื่นอึดอัดนั้น กลับทำให้หลุดหัวเราะออกมาแล้ว“คุณชายโจว วันนั้นขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า”ที่แท้นางก็รู้ หัวใจโจวเซิงร้อนรุ่ม คำขอบคุณนี้ห่างไปนานทีเดียว“ไม่ต้องเกรงใจ สถานการณ์เช่นนั้นในวันนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือ”โจวเซิงรีบตอบ ท่าทางระมัดระวังของเขา ทำเสียจนซ่งเสวี่ยรู้สึกอยากขัน บรรยากาศไม่ตึงเครียดเหมือนเมื่อ
“น้องหญิง สองคนนั้นเป็นคนของอ๋องหก”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างโสตนางเสียงค่อย เสียงทำให้นางรู้สึกคันหูยุบยิบกู้หว่านเยว่มองตามสายตาของเขาไป ก็มองเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของทั้งสองคนที่กำลังจับตามองพวกเขา แสร้งเดินบนเส้นทางสายเดียวกับพวกเขา“ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเราออกเดินทางเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มเย็นทีหนึ่ง ในเมื่อกลางคืนต้องการมาสืบงานประมูลอีกครั้ง ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่คิดกลับเมืองอวี้ แต่ตัดสินใจวนอยู่ที่ละแวกใกล้เคียงหนึ่งรอบบังเอิญละแวกนี้มีโรงเรือนปลูกผักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สามารถไปดูได้กู้หวานเยว่กระโดดขึ้นรถม้า ซูจิ่งสิงมาขับรถม้าเห็นว่ารถม้าออกเดินทางแล้ว ใบหน้าอ๋องหกเผยสีหน้าเย็นชา“ตามไป ชิงผลต้นเกล็ดหิมะมาหากมีโอกาส ฆ่าพวกเขาสองสามีภรรยาไปเสียเลย”“พ่ะย่ะค่ะ” คนชุดดำหลายคนได้ยินคำสั่ง จากนั้นต่างพากันไล่ตามรถม้าของกู้หว่านเยว่ไปขณะเดียวกัน รถม้ามีเพียงกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองคน เพื่อความสะดวก พวกเขาไล่องครักษ์จันทราออกไปแล้วหลังรถม้าขับมาได้ระยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ เข้าสู่ถนนสายเล็กมีคนน้อยมาก“มาแล้ว”สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชา สังเกตเห็นว่าข้างหลังมีคนกำลังเข้าใกล้รถม้าอย
“เจ้าคิดจะ...”คนชุดดำทั้งสองสวดภาวนาให้อ๋องหกของพวกเขาภายในใจ นี่โหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องใส่ใจ อย่าคิดเล่นลูกไม้”กู้หว่านเยว่ตวัดสายตาคมกริบมองไป คนชุดดำต่างพากันเงียบกริบ“พวกเรารับปากเจ้า มอบยาถอนพิษให้พวกเราเถอะ”ยาพิษนี้ทรมานคนเกินไปแล้ว คนชุดดำขอร้องอ้อนวอนกู้หว่านเยว่โยนยาให้สองเม็ด “นี่คือยาบรรเทาอาการ หลังเสร็จงานแล้ว ข้าค่อยให้ยาถอนพิษกับพวกเจ้า”ทั้งสองคนรีบกินยาลงไป รู้สึกว่าความเจ็บปวดภายในร่างกายลดลงไม่น้อย โล่งใจขึ้นมาพวกเขารู้ตอนนี้ชีวิตของตนอยู่ในเงื้อมมือกู้หว่านเยว่ ไม่กล้าโกหก“ท่านอ๋องอยู่ที่โรงเตี๊ยมห่างจากตลาดประมูลไม่ไกล”“นำทาง”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงใส่ผ้าปิดหน้าสีดำคนชุดดำทั้งสองนำทางไป พวกเขามิได้ออกห่างมากนัก ผ่านไปไม่นานก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมของอ๋องหกขณะเดียวกันอ๋องหกกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายอยู่ภายในห้อง“จะต้องเอาผลต้นเกล็ดหิมะมาให้ได้ เสด็จแม่ต้องพึ่งผลต้นเกล็ดหิมะนั้น...”องครักษ์มีสีหน้ากระตือรือร้นเข้ามา “ท่านอ๋อง มือสังหารที่ส่งไปกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“จริงหรือ แล้วผลต้นเกล็ดหิมะเล่า?”“นำกลับ
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่มาครั้งนี้ ก็เพราะมีคำพูดต้องการถามอ๋องหก ดังนั้นจึงไม่พูดไร้สาระกับเขา มัดคนไว้กับเก้าอี้แล้ว ก็เริ่มสอบสวน“อ๋องหก พระชายาของข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า เหตุใดเจ้าต้องฆ่าคนชิงของด้วยเล่า”ถูกสองสามีภรรยาจับจ้อง อ๋องหกเผยสีหน้าเก้อกระดาก หงายไพ่แสดงท่าทีน่าสงสาร“เจิ้นเป่ยอ๋อง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็ไม่คิดเป็นปรปักษ์กับพวกเจ้า เป็นเพราะข้าต้องการผลต้นเกล็ดหิมะ เมื่อครู่ข้าส่งคนชุดดำไปเจรจากับพวกเจ้า เดิมทีต้องการใช้เงินซื้อผลต้นเกล็ดหิมะมาจากพวกเจ้า คิดไม่ถึงพวกเขาเหิมเกริมตัดสินใจด้วยตนเอง ลงมือกับพวกเจ้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า”เพียงสองสามประโยคอ๋องหกก็ทำให้ตนเองหลุดพ้นอย่างสะอาดหมดจดแล้วซูจิ่งสิงยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้า?”ดูท่าแล้วไม่ใช้ความรุนแรง เขาก็ไม่มีวันสารภาพ“ได้ยินมาว่า เสด็จแม่ของเจ้ากำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่อาศรมชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”อ๋องหกได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป สุ้มเสียงเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเป็นพิเศษ“ซูจิ่งสิง นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเรา ไม่เกี่ยวอันใดกับเสด็จแม่ของข้า”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มเรียบเฉย “ตอนนี้อ๋องหกยอมพูดคว
“ถูกต้อง”อ๋องหกเกลาศีรษะด้วยความกังวลใจ “ข้าถูกควบคุมโดยผู้อื่นนานแล้ว อีกอย่างร่างกายของเสด็จแม่ของข้าก็ทรุดลงทุกวัน”เขาเป็นกังวลมาก ยาพิษนั้นยังอยู่ในร่างกายของอวี้ไท่เฟยมาโดยตลอด และยังกระจายทั่วร่างกายของนางอย่างรวดเร็วนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจเสี่ยงเก็บผลของต้นเกล็ดหิมะ และออกตามหาผู้เชี่ยวชาญมาหลอมยาถอนพิษ ให้อวี้ไท่เฟยก่อนตราบใดที่ยาพิษในร่างกายของอวี้ไท่เฟยได้รับการถอนแล้ว เขาก็ไม่ต้องกลัวผู้ลึกลับนั้นอีกต่อไป“ดูไม่ออกเลยว่าท่านจะกตัญญูถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่ทอดถอนใจ อ๋องหกจึงจ้องมองนางด้วยความขุ่นเคือง“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เจ้าคิดจะแย่ผลต้นเกล็ดหิมะจากข้า?”“ไม่ใช่เพราะท่านหลอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกหรือ?”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางโต้งแย้ง เขาสองคนไม่เคยล้วงเกินอ๋องหกก่อน“ข้าพูดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะต่อกรกับพวกเจ้า ข้าแค่ทำตามคำสั่ง”อ๋องหกกลอกตาอย่างเหลืออด “หากพวกเจ้าให้ผลต้นเกล็ดหิมะนั้นกับข้า ข้าจะบอกพวกเขาว่าคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังเป็นใคร”“เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าท่านไม่รู้สถานะของอีกฝ่ายมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์ ภายนอกข
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป